จากกันเพื่อพบกันใหม่อีกครั้ง ด้วยชีวิตใหม่

โดย สาวตา เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:34 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1076

ใหญ่เริ่มต้นกิจกรรมวันนี้ด้วยโจทย์ว่า สมมติว่าตัวเองขึ้นไปยืนบนยอดเขาสูง มองลงมาในเวทีการเรียนรู้ที่ผ่านมาแล้ว 4 วัน รวมทั้งหลังจากผ่านเมื่อคืนไปแล้ว มีอะไรได้เรียนรู้บ้าง  ก่อนที่จะเล่าเรื่องของตัวเองออกมา ผู้เข้าร่วมแต่ละคนมีพฤติกรรมที่แปลกไปตรงที่ล้วนมีการใคร่ครวญก่อนพูดทุกคน มันคือการฝึกการคิดวิเคราะห์ด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ นี่แหละค่ะที่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องดีๆของ KM ที่บรรดาครูทั้งหลายน่าจะนำไปใช้ให้คล่องแคล่ว มันเป็นลูกเล่นที่ดีมากในการทำให้เกิดการเรียนที่สนุกค่ะ  

 

เรื่องที่ฉันเล่าไปมีว่า เมื่อเช้านี้เองตอนกำลังอาบน้ำ ความคิดหนึ่งมันก็ผุดขึ้นมาบอกว่าการจะนำกระบวนการไปใช้สร้างคนให้เรียนรู้ตน คนมีวาระของเขาเองว่าจะเรียนรู้ถึงระดับใด การนำพาไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ได้ ทำได้แต่กำหนดทิศ การเรียนรู้เป็นเรื่องของคนเรียนที่จะเลือกเองโดยที่ผู้นำพาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เขาเลือกที่จะเรียนรู้อะไร เพราะผู้เรียนเท่านั้นที่ตั้งโจทย์ของการเรียนเอง และบทเรียนไม่ได้มาจากกระบวนกร หากแต่อยู่ในตัวตนของคนเรียน แต่ละเวลาแต่ละกิจกรรมผู้เรียนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะเปิดบทเรียนบทไหนขึ้นมาเรียน  การเรียนที่ดำเนินไปช้าๆทำให้มีโอกาสได้ใคร่ครวญสิ่งที่เรียนรู้และเลือกบทเรียนที่จะเปิดขึ้นมาเรียนแล้วให้ประโยชน์กับตนเองในเรื่องการดำรงชีวิตในวิถีและเชื่อมโยงมันให้เป็นธรรมชาติธรรมดา  

 

กระบวนการที่ดำเนินไป ฉันมองว่ามันเป็นกระบวนการวิจัยที่นักวิชาการคุ้นชิน ตรงที่มีการกำหนดสมมติฐานอยู่เรื่องหนึ่งแล้วเกิดความรู้ใหม่ของผู้เรียนออกมา มีบทเรียนคือเรื่องราวในชีวิตของผู้คนที่ซ่อนอยู่ภายในตัวตนที่ไร้สำนึกเป็นวัตถุดิบของการวิจัย  กระบวนกรเป็นแค่ผู้ลงมือทำงานวิจัยภายใต้ระเบียบวิธีวิจัยที่ตนเองกำหนดขึ้น การนำพาก็คือวิธีดำเนินการวิจัยของพวกเขา ผู้เข้าร่วมคือตัวอย่างของงานวิจัยชิ้นนี้ เมื่อจบการดำเนินการแล้วผู้วิจัยเก็บเกี่ยวผลการวิจัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอบสมมติฐานหรือไม่ มีอะไรที่ได้เรียนรู้เพิ่มหลังจากรวบรวมงานวิจัย มีองค์ความรู้ใหม่อะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง   

 

หากถามว่า มันเป็นกระบวนการที่มีการวางแผน กำหนดเป้าหมายไว้แล้วว่าต้องการให้คนเกิดความรู้อะไร มีตัวชี้วัดเกิดขึ้นมาแล้วด้วยแบบแผนวิธีการสอนที่มีการกำหนดขึ้นมาให้แล้วเหมือนการพัฒนาคนในห้องสี่เหลี่ยมใช่ไหม ฉันว่าไม่ใช่ ความพิเศษของการเรียนแบบนี้คือ เป็นการเรียนแบบไม่ต้องเรียน มันหลุดกรอบการเรียนที่เคยคุ้นชินในระบบโรงเรียนแบบเดิมๆ เป็นการเรียนที่มีรสชาติที่ผู้เข้าเรียนสนุกและสนใจอยากเรียนด้วยโจทย์แรกที่ทำให้เขาทึ่งกับการเรียนรู้ตัวเอง กระบวนการจึงนำพาให้เขาเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวที่จดจำไว้ เรียบเรียงใหม่ออกมาเป็นเรื่องราวคำอธิบายพฤติกรรมที่กลายเป็นวิถีที่เขาดำเนินชีวิตอยู่แล้วเชื่อมโยงกลับเข้าสู่วิถีของชีวิตเขาให้เกิดธรรมชาติและความเป็นธรรมดาที่เป็นจุดสมดุลที่เหมาะกับแต่ละคนเท่านั้น และเป็นสมดุล ณ กาลเวลานั้นเท่านั้น

 

บทเรียนรู้วันนี้จบลงที่มีการ check out อีกครั้ง เพื่ออำลาจากกัน วันนี้น้าอึ่งพูดยาวๆเป็นครั้งแรก เป็นการพูดที่ไม่หยุดไม่สะดุดเลยค่ะ การเรียบเรียงเรื่องราวลื่นไหลมีรายละเอียด ไม่เหมือนสไตล์การพูดเดิมๆที่เคยเป็นไป ฉันรับรู้แวบหนึ่งว่าน้าอึ่งเกิดความปิติในใจ ตอนที่รับรู้นั้นมันมีแวบหนึ่งที่น้ำไหลออกตาจนต้องหลับตาฟังค่ะ อ้อ ที่พูดได้ยาวนั้นตอนแรกๆน้าอึ่งหลับตาพูดนะค่ะ พูดไปได้สักพักจึงลืมตาพูดค่ะ

 

ใหญ่บอกน้าอึ่งว่าเขาได้รับเอาชาวแซ่เฮไว้เป็นญาติแล้ว ฉันพูดขอบคุณไปว่า การที่ได้มาพบทุกคนเป็นวาสนาที่มีชะตาต้องกัน เรื่องเล่าของวิถีของแต่ละคนเป็นความรู้ที่จะช่วยหนุนนำให้ฉันนำไปใช้กับคนป่วยไข้และเข้าใจเขาได้มากขึ้น ใช้ในการทำงานช่วยคนได้มากขึ้น 

 

หลังจาก check out แล้ว ใหญ่ก็บอกให้ทุกคนร่ำลากัน ฉันแวบนึกสนุกขึ้นมาทันทีว่าอยากกอดใหญ่ ใหญ่พูดยังไม่ทันขาดคำ ฉันหันขวับไปกอดเขาทันทีเต็มตัวเลยค่ะ ดูเหมือนใหญ่จะรู้และหัวเราะในใจ ใครอยากจะเห็นเอาไว้ดูรูปที่น้าอึ่งถ่ายไว้ให้ก็แล้วกัน เก่งที่นั่งอยู่ข้างซ้ายเข้ามากอดฉันแน่นๆเต็มตัว กอดอยู่นานทีเดียว ฉันเดินเข้าไปกอดนก แล้วจึงกลับมากอดโอและวินทีละคน วินยิ้มที่ถูกกอด โอนั้นยิ้มอย่างถูกใจยิ่ง มีอยู่คนเดียวที่ไม่กล้าเข้ามากอดฉัน คือ ตาล ฉันเดินเข้าไปหาเธอแล้วขอกอดเต็มตัว แล้วกลับมาขอกอดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แปลกที่ฉันรู้สึกว่าใหญ่เขาดูเด็กลงค่ะ

 

เราจากห้องนั่งเล่นมาราวบ่ายสองโมง แวะกลับไปกอดน้องน้อยเจ้าถิ่น บอกลาแม่ก่อนออกจากเชียงราย แวะกันที่วัดร่องขุ่นซื้อของที่เจ้าลูกชายเขาอยากได้และของฝากคนเชียงใหม่อยู่พักใหญ่ วันนี้อาจารย์เฉลิมชัยอยู่ที่วัดด้วยค่ะ

 

เรากลับถึงเชียงใหม่เลยห้าโมงเย็นเล็กน้อย แวะรับน้องสร้อยไปเดินเที่ยวและคุยกันถึงเรื่องราวที่มีความสนใจตรงกัน เราไปเดินเที่ยวและกินมื้อเย็นกันที่ถนนคนเดินค่ะ ระหว่างเดินกันไป ได้แวะเข้าไปชมวัดหนึ่ง แล้วเห็นพระประธานรู้สึกว่ามันงามมาก จึงชวนกันเข้าไปคารวะ มีความแปลกที่ฉันอธิบายไม่ได้ เรื่องแปลกที่ว่าก็คือ ระหว่างนั่งดูหน้าพระประธาน น้ำตามันไหลออกมาเองค่ะ

 

หลังเดินชมถนนหลักจนทั่วแล้ว เราก็หาที่นั่งคุยกันต่อ คุยกันยาวจนเกือบสี่ทุ่มจึงนำพาคนโสดกลับไปส่งที่พัก กอดลากันแล้วก็กลับมาบ้านน้า เจ้าลูกชายน้าดีใจมากที่แม่มันกลับบ้าน

 

วันนี้ฉันแปลกใจที่มันมาคลอเคลียกับฉันไม่ห่าง มีการเอาหน้ามาถูเนื้อถูตัวด้วย  รู้สึกดีแฮะ ที่แม้แต่หมามันก็รู้ว่าฉันรักมัน นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่า ฉันไม่ดุแล้ว หมามันรู้นะค่ะ ส่วนแม่มันยังดุไหมต้องถามมันเองค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

 

จัดการตัวเองแล้ว น้าอึ่งก็เปิดคอนเสิร์ตเบิร์ดให้ดู มีสองแผ่น ฉันดูไปฟังไปพิมพ์บันทึกไป หันไปดูอีกที อ้าว คนเปิดให้ดูนอนหลับไปแล้ว ขอกระซิบว่าคืนนี้ก่อนนอนน้าอาบน้ำแล้วนะค่ะ ใครอย่ามาว่าเด็ดขาด หนูไม่ยอม หนูไม่ยอม

 

 

บันทึกเพิ่มไว้อีกนิดว่า ฉันได้บอกอีกด้วยว่า ในความเป็นไปที่ฉันเห็น เมื่อคนมาอยู่รวมกัน การจัดการโดยไม่จัดการเกิดขึ้นได้เอง ฉันว่าธรรมชาติจัดสรรมีจริง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปจัดการเลยขอเพียงแต่แต่ละคนอยู่กับปัจจุบันและรู้เท่าทันตน

 

การอยู่กับปัจจุบันและรู้เท่าทันในความหมายนี้ ฉันหมายถึงการอยู่ปัจจุบันกับตัวเองอย่างเข้าใจว่าอะไรคือพลังที่โน้มนำตัวเราอยู่ เป็นพลังที่เกิดจากตัวตนแรกของตน หรือเป็นพลังที่เกิดจากตัวตนที่ซ่อนอยู่มันเปล่งพลังออกมา เป็นการรู้เท่าทันเพื่อที่จะได้ทำการปรับพลังของตัวตนทั้งสองส่วนให้ได้สมดุลกันให้มากที่สุดกับสถานการณ์ ณ เวลานั้นๆ

« « Prev : แล้ววันที่สี่ของกิจกรรมก็มาถึง

Next : ติดกรอบ กับ ลองของ ฉุกใจกับคำนี้ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

12 ความคิดเห็น

  • #1 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 0:46

    มาซึมซับอีกเช่นเคย มีความคิดอะไรดีๆผลุดขึ้นในสมอง ขอบคุณมากๆครับ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 3:19

    การรู้จักตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อาจจะเป็นของขวัญที่ถูกใจที่สุด ที่แต่ละคนสามารถจะสรรหามาให้ตัวเองได้

    ยินดีด้วยครับพี่

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 8:00

    ยินดีต้อนรับกลับสู่ “ตัวตน” ของตัวเองอีกครั้งค่ะ

    การรู้จักตัวเอง ค้นพบเสียงของตัวเอง ได้เห็นและสัมผัสกับตัวตนภายในที่อ่อนไหว เปราะบาง และเติบโต เป็นสิ่งที่วิเศษอีกสิ่งหนึ่งเลยนะคะ เมื่อเราพบตัวเอง พบความรัก พบน้ำพุวิเศษแห่งการฟังที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตัวเรา เราก็มีพลังในการเหนี่ยวนำ มีความสดใส อ่อนเยาว์ มีความสงบ อบอุ่น และความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

    การได้กลับไปทักทายเจ้าตัวเล็ก ไปคุยกับความเป็นเด็กที่สดใส ตรงไปตรงมา ไม่สนใจกรอบใดๆ ปราศจากความกลัว ..ในตัวเราเอง โดยละทิ้งโหมดปกป้องต่างๆ รวมทั้งภาวะความเป็นพ่อแม่ ความเป็นผู้ใหญ่ ที่เราแบกไว้เนิ่นนานจนอ่อนล้าแต่ไม่รู้ตัว ..ถือเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกที่ช่วยไขความลับในครั้งนี้ค่ะ

    ห้องแห่งความลับ..ได้เปิดให้เจ้าของได้เรียนรู้และสัมผัสมนตราอีกห้องแล้ว ^ ^

  • #4 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 10:34

    ดีใจมากๆที่ได้ทราบว่า น้าอึ่งและหมอเจ๊ได้ช่วยสร้างเครือข่ายระหว่างวงน้ำชากับชาวเฮฮาศาสตร์

    เราคงเพิ่งค้นพบวิถีที่จะทำงานกับตัวเราเอง คงต้องทะลายกำแพงอีกหลายชั้น อยู่ที่การฝึกปฏิบัติของเราเอง

    หวังว่าคงได้ร่วมแลกเปลี่ยนรียนรู้กันต่อไป ทั้งในโลกเสมือนและตัวเป็นๆ อิอิ

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 17:59

    มาซับแต่ไม่ซึม อิอิ แซวเล่น
    แน่นปึกเลยนะหมอ
    ได้จินตนาการมากทีเดียวครับ

  • #6 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 18:59

    #1 อิอิ ได้พ่อยกมาอีกคนแล้วนะนี่ ดีใจค่ะที่ได้มีโอกาสสะกิดให้ปิ๊งแวบอะไรดีๆให้พี่เหลียง

  • #7 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:01

    #2 สำหรับพี่นี่คือของขวัญชิ้นวิเศษที่ดีที่สุดที่ได้หามาเป็นรางวัลให้ตัวเองเลยค่ะ ความพิเศษของมันก็คือถ้าไม่ดั้นด้นหาก็ไม่สามารถได้มันมา ความพิเศษนี้จะไม่มีใครสามารถมอบให้เราได้ถ้าเราไม่ขวนขวายหามามอบด้วยมือเราเอง….แล้วจะลองแคะและแกะเรื่องภาษาเฉพาะของวงนี้เขามาแลกเปลี่ยนบ้างค่ะ

  • #8 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:05

    #3 น้องน้อยเอ๋ย ไม่เข้าร่วมก็คล้ายๆได้เข้าร่วม น้องคนสวยเป็นคนที่โชคดีที่โอกาสมันมาหาเองโดยไม่ต้องหามัน ใช้ประโยชน์จากมันด้วยนะน้องนะ
    ใช้ประโยชน์ในการให้มนตราบทเด็กน้อยที่สดใส มันช่วยทะลวงโจทย์ในใจที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่โดยเราก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ให้มันคลี่คลาย
    ใช้มันทั้งกับตัวเองและผู้อื่นนะน้องนะ

  • #9 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:08

    #4 ท่านพี่เจ้าขา วิถีอย่างพวกเราที่ควรหลุดและทะลวงผ่าน คือ กำแพงบางๆของเรื่อง “ติดกรอบ”
    น้องว่ากรอบสำคัญที่พึงพิศให้มากคือ “การกรอบความคิด” แล้วไม่รู้ตัวค่ะ
    บางครั้งเราเข้าใจว่าเราไม่ติดกรอบแล้ว ยืดหยุ่นแล้ว เมื่อได้มองย้อนกลับหลังผ่านเวลาเหล่านั้นมาแล้ว เรายังพบว่าเรา “หลง” และ “หลอก” ตัวเราว่าเราไม่ติดกรอบแล้วก็มีค่ะ

  • #10 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2008 เวลา 19:17

    #4 พี่บู๊ธขา น้องจะมีความเห็นที่บังอาจไปหรือไม่ก็ไม่รู้ น้องว่า ศาสนาพุทธตามแนวทางท่านติช นะเข้าใจง่ายกว่าที่บ้านเราใช้ดำเนินอยู่ ถ้าหากได้นำมาผสมผสานกันได้ละก็ สังคมนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย

    เท่าที่มองเห็นในขณะนี้นะค่ะ น้องแน่ใจว่าคนที่เข้ามาในหลักสูตรของที่นี่ทุกคน จะกลับไปแบบผู้ที่มีอีคิวถึงพร้อมและเหมาะกับสังคมที่เขาอยู่

    น้องว่าหลักสูตรที่นี่เหมาะสำหรับการสร้างคนที่สุดท้ายจะก่อผลให้เกิดสันติสุขในสังคมได้ค่ะ ขอเพียงให้มันแผ่ขยายออกไปทุกทิศทางและทุกภาค

    อำนาจของพลังแห่งคนที่มีอีคิวดีที่เป็นเครือข่ายกันจะช่วยกันเหนี่ยวนำสังคมให้หมุนไปหมุนไปอย่างสมดุล และเป็นสังฆะที่มีแต่คนใจสงบอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมายค่ะ

  • #11 Iem ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 11:10

    มาตามอ่าน เหมือนเคยค่ะ วันที่ 6 - 9 พย 51 เด๋วนู๋จะไปโรงเรียนพ่อแม่แล้วอ่ะค่ะ

  • #12 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2008 เวลา 17:56

    #11 ไปเหอะๆ ใครไปที่วงน้ำชามาแล้ว อดใจไม่ได้หรอกที่จะไปอีกนะ ไปตามใจเรียกร้อง อีกทั้งไปเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ตัวตน ดีแล้วๆน้องอิ่มจ๋า ว่าแต่ไปแล้วกลับมาเขียนเล่าด้วยเน้อ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.13441514968872 sec
Sidebar: 0.2757887840271 sec