นอกจากดูแลขวัญให้มั่น ก็ยังต้องดูแลใจให้ผ่อง จึงจะดูแลใจคนอื่นได้
ในช่วงที่ได้เจอกับประสบการณ์นี้ ก็มีบททดสอบใจไปพร้อมกันอีกเรื่อง เป็นเรื่องราวคล้ายๆที่อุ๊ยสร้อยแลกเปลี่ยน
ต่างก็แต่เป็นเรื่อง “คนที่คิดว่ามีอำนาจเหนือทำกับคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ใต้อำนาจ แล้วคนที่มีอำนาจเหนือก็มาเล่าๆๆ” เป็นเรื่องราวสะสมมา ตั้งแต่ก่อนตัดสินใจจัดเวทีสานเสวนาโดยพี่น้องชาวเฮโน่นเลย
ก่อนนี้ คนมีอำนาจเหนือคิดและทำกับคนที่อยู่ใต้อำนาจ จนคนที่อยู่ในอำนาจทนไม่ได้ บอยคอตไม่คุยด้วย แต่ไปคุยระบายกับคนอื่นคล้ายๆคนที่อุ๊ยเล่า
เมื่อคนที่มีอำนาจได้ผ่านเวทีสานเสวนา คุณภาพการฟังของเธอเปลี่ยนไป ได้ยินเสียงคนอื่นมากขึ้น
เธอเปลี่ยนไป เห็นและเข้าใจคนที่อยู่ในอำนาจมากขึ้น พาตัวเข้าไปแบกรับปัญหามากขึ้น ดูแลตัวเองน้อยลง ใช้พฤติกรรมเชิงอำนาจปกป้องตัวเองน้อยลง
เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองจากกระทิงมีปีกเป็นหนูมีปีก ยังหลุดในยามเหนื่อย หรือเมื่อมีสิ่งเร้านำพา เมื่อไรอยู่ในสถานการณ์หลุด เธอจะกลับไปเป็นกระทิง วนไปเวียนมาแสดงบทบาทแบบนี้อยู่เรื่อยมา
ศักดิ์ฐานะในการงานที่เธอก้าวขึ้นมา เกิดจากผู้ใหญ่หนุน คนที่อยู่ใต้อำนาจไม่โอด้วย เหตุมาจากอายุงานไล่เรี่ยกัน
งานทุกอย่างเวลาลงมือ เธอจะสวมบทกระทิงมีหูหนู-มีปีกอินทรีย์ น้อยมากที่จะสวมเสื้อหมีด้วย
ดำเนินมาถึงวันนี้ เธอเจ็บปวด เมื่อเร็วๆนี้ มีเหตุการณ์ที่ผู้อยู่ใต้อำนาจเอาคืน ขอให้ชี้แจงเรื่องผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้อำนาจ ว่าเมื่อ 2 ปีก่อนมีกติกาพิจารณาจัดสรรให้อย่างไร
โชคดีที่กติกานั้น มีผู้รับรู้และร่วมตรวจสอบเกณฑ์การจัดการและร่วมบริหาร จึงพ้นมาได้ แต่กว่าจะพ้น ก็พาให้คนร่วมงานใจเสีย และไม่อยากเกี่ยวข้อง
ใจเธออ่อนไหว พยุงใจ พยุงกายเต็มที่ ก็ดูเหมือนไม่ไหว บางค่ำคืน ก่อนนอนมีน้ำไหลออกตา
ทีแรกไม่เชื่อว่า ทำงานมาถึงปูนนี้ คนเมื่อมีบทใหม่เป็นผู้มีอำนาจ จะไม่สวมเสื้อหมีเลยก่อนลงมือทำงาน
แต่เมื่อลงมือทวนสอบ วิธีคิด วิธีเตรียมตัว การครองตน ครองงานในหลายๆมุมของเธอก็อึ้ง ไม่น่าเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินจากปากเธอ เป็นไปได้อย่างไร
เรื่องที่เธอลงมือไว้ ไม่ได้มีอะไรเลวร้าย เพียงแต่ผู้อยู่ใต้อำนาจรู้สึก ว่าโดนปล่อยให้เผชิญกับงานหนักตามลำพัง โดยไม่รู้เลยว่า เธอเองก็ทำงานหนักมาก
รู้ก็เพราะเธอแวะมาคุยกับฉันบ่อยมาก กว่าจะได้กลับบ้าน แวะกินข้าวเย็นด้วยกัน หรือผละจากกันกลับบ้านนอน ล่วงเลยไปกว่า 2 ทุ่มบ้าง ใกล้เที่ยงคืนบ้าง แทบทุกวัน ตลอดกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
ยิ่งได้คุย ก็ยิ่งได้เห็นความอึดของเธอ ได้เรื่องอะไรที่พอช่วยได้จึงลงมือช่วยเติมความคิด บางเรื่องเป็นเรื่องผงเข้าตา เขี่ยให้ก็หาย บางเรื่องเป็นเรื่องหนามตำมือ แนะวิธีชักมือหนี เธอก็ไปลงมือทำ
ดำเนินมาแบบนี้ก่อนเจอเรื่องเอาคืนที่เล่าไว้ สังเกตว่าเธอเริ่มติิดพัน แวะมาขอความคิดมากขึ้น จึงรักษาระยะห่าง
เธอแวะมาหาอีก พบว่าเธอไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไรก่อนได้มาปรึกษา เมื่อไม่ให้คำปรึกษา แค่เป็นเพื่อนคุย การกลับเป็นว่า เมื่อกลับไปแก้ปัญหางาน สิ่งที่พยายามสางกลับยิ่งยุ่ง
ได้เห็นเธอสวมเสื้อหนูเยียวยาตัวเองมาเรื่อยๆ เรื่องของขาใหญ่ ก็เป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ที่เธอใช้เยียวยาตัวเอง หลังจากมาปรึกษา
วันนี้งานของเธอมีเรื่องใหญ่ระดับชาติอยู่ในมือ เคยชวนคุยเพื่อให้เธอได้เห็น ได้ยินเสียง รำลึกถึงสิ่งที่เธอเคยบริหารได้เป็นลำดับ รู้สึกเหมือนเธอไม่อยากเล่า
บางเวลาก็เล่าด้วยกิริยาเหมือนเบลอ พูดแล้ว หากขอให้พูดซ้ำ ลำดับจะสับสน เหมือนพูดให้จบๆจะได้หมดเรื่องไปมากกว่าเต็มใจเล่า ก็เริ่มเอะใจ “เธอกลัวตัวเองเสียหายเรื่องอะไร” คือคำถามที่ผุดขึ้นมา
เคยได้ิยินเธอเอ่ยบ่อยว่า “ไม่ไหวแล้ว” เวลาได้ยินก็แนะไปว่า “ไม่ไหวก็ตัดสินใจซะ จะเดินต่อกับฐานะแห่งอำนาจอย่างไร” หรือไม่ก็ชวนให้นึกถึงที่พึ่ง “อยากได้ใครเป็นตัวกลางที่ทำใำห้เธอกับผู้อยู่ใต้อำนาจคุยกันได้ จะไปบอกให้”
คำตอบที่ได้คือ เงียบ ก็ถามตัวเองอยู่บ่อยว่า รู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนเธอตัดใจละฐานแห่งอำนาจไม่ลง
ตอนนี้เริ่มเห็นว่า ตัวเองเป็นที่ปรึกษาให้เธอต่อไม่เหมาะแล้ว รู้สึกเหมือนว่าแต่ละครั้งที่พบหน้ากัน อารมณ์เหมือนจะพาลงไปติดหล่มร่องลบบ่อยกว่าบวกมาก มีปี๊ดหลุดบ่อยหลังเธอจากไป
ขวัญยังมั่นอยู่ พิสูจน์ได้จากกรณีที่ดูแล 2 หมอไปแล้ว แต่เวลาเธออยู่ใกล้ รู้สึกเหมือนเครียด รับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ใกล้ตัวอย่างเงียบๆยังไงไม่รู้ หรือว่านี่คือผลของแรงดึงดูดระหว่างโลกภายในของคน 2 คน ถ้าใช่ก็ร้ายจริงๆ
เรื่องนี้สอนว่า ดูแลคนอื่นใช้ขวัญอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใจผ่องด้วย
ปี๊ดแตก เป็นตัวเตือนว่า กฏแห่งแรงดึงดูดจะพาหมุนให้กลายเป็นโจรได้อีก….เหอ…เหอ…เหอ…..ระวั๊ง
26 มีนาคม 2555
« « Prev : จะดูแลขวัญคนอื่น ก็ต้องรักษาขวัญตัวเองให้มั่นไว้
Next : ไว้ใจ วางใจ ก็อย่าลืมประคองสติ » »
1 ความคิดเห็น
โยโย้แอฟเฟตจะแรงนะคร้า…อิอิ
เจออย่างพี่เล่า ถ้าไม่ปรี๊ดคงผิดปกติแล้วล่ะคร้า…..อิอิ