“ความรัก” คือ การเรียนรู้เพื่อเอาชนะความรุนแรงทางอารมณ์

อ่าน: 1502

โจทย์ของความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คู่ในสถานที่ทำงานเป็นเหตุให้จำต้องหวนมาถามตัวเอง เป็นการถามตัวเองเืพื่อค้นหาคำตอบต่อคำปรึกษาที่ได้รับ

เหตุการณ์ที่ก่อเกิดระหว่างคนคู่แรก เป็นเรื่องราวที่สั่งสมมากว่า 6 เดือน นับแต่ที่หน่วยงานหนึ่งภายใต้สังกัดหน่วยราชการหนึ่ง มีสมาชิกใหม่จากหน่วยงานอื่นมาทำงานช่วยราชการหนึ่งคน ความเป็นเด็กเส้นทำให้คนๆนี้ข้ามห้วยมาทำงานที่ใหม่ได้สบายๆ มาแล้วก็สร้างสารพัดเงื่อนไขเพื่อโชว์พาวว์

เมื่อคำขอคำปรึกษาจากหัวหน้างานจบลง “หนูจะทำอย่างไรกับความเป็นพี่ ความเป็นลูกทีม และคำขอให้ช่วยดูแลพี่คนนี้จากผู้ใหญ่นะ หนูจึงจะไม่เจอกับพฤติกรรมความเอาแต่ใจ ไม่ฟังใคร และการคุกคามของพี่เขา”  ก็อ้อกับเรื่องราวว่า การเข้ามามีสารพัดเงื่อนไขติดมาด้วย มองเห็นคู่สัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องไม่ต่ำกว่า 3 คู่ ซึ่งทำให้คนที่มาปรึกษาเกิดความขัดแย้งในใจ

เวลาหมอถูกปรึกษา สิ่งแรกที่มักทำจนอยู่ในสายเลือด คือ “วินิจฉัย”  เมื่อจะวินิจฉัย สิ่งที่เราต้องทำก่อน คือ ซักประวัติ และตรวจเพิ่มเติม

เรื่องที่บอกออกมาจากปากผู้มาพบ เราก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติที่ได้รับเพื่อการวินิจฉัยแล้ว  สิ่งที่คนให้ความสำคัญจนพาตัวมาหาหมอเพื่อขอให้ดูแล วงการหมอๆเรียกกันว่า “อาการสำคัญ”

ในรายนี้อาการสำคัญ แสดงอยู่ในคำสนทนา และภาษากาย ซึ่งบอกองค์ประกอบของอารมณ์ไว้ครบ 3 ( คำบอกเล่า บอกสภาวะความคิด การพาตัวมาพบเพื่อปรึกษา  บอกพฤติกรรม และปฏิกิริยาทางสรีระ )

ถ้อยคำที่สื่อส่งสัญญาณความน่าจะเป็นว่า คนตรงหน้ากำลังเผชิญการป่วยที่มีอารมณ์เป็นต้นเหตุ

ด้วยเรื่องราวที่ปรึกษาเป็นเรื่องของคู่สัมพันธ์ ข้อมูลจึงไม่พอให้ระบุว่า การป่วยนี้เป็นการป่วยคู่ ป่วยหมู่ หรือ ป่วยคนเดียว

ความป่วยทางอารมณ์มีความซับซ้อนอยู่มากมาย ป่วยคู่ ป่วยคนเดียว หรือป่วยหมู่ มีบริบทการดูแล การรักษาที่ต่างวิธีกัน

เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับองค์กรซึ่งเป็นสังคมขนาดเล็ก ขอบเขตของการวินิจฉัยเรื่องความป่วยของหมอในหน่วยงานเวชกรรมสังคม จึงมีขอบเขตเลยไปถึง การวินิจฉัยว่า “องค์กรป่วยหรือไม่” ด้วย

เมื่อคนตรงหน้าบอกความรู้สึกบางอย่างภายในออกมาให้สัมผัสได้ด้วยถ้อยคำที่ส่งผ่าน “การคุกคาม”  “ทำอย่างไรจึงไม่เจอ”

ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน ก็จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลเพื่อวินิจฉัยให้ตรง ก่อนลงมือดูแลหรือรักษา

ขอบข่ายของการรักษาก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่คน แต่ดูแลมิให้องค์กรป่วยไปด้วย หรือถ้าพบว่า องค์กรป่วยแล้ว ก็ต้องรักษา

ที่จริงคำว่า “ความรัก (love)” รวมความหมายแล้วจะแปลว่า “การเรียนรู้เพื่อเอาชนะความรุนแรงทางอารมณ์” ย่อมาจากคำ 4 คำ ถึงแม้มันจะเป็นภาษาฝรั่ง แต่ก็ให้ความหมายที่เข้าใจได้ชัด

L = Learning O = Over V = Violence E = Emotion

คิดถึงลุงเอกและหลักสูตร สสสส. ของลุงเอกเมื่อเห็นคำนี้  เห็นทีคราวนี้จะได้ใช้ความรู้ที่ลุงเอกจัดให้ด้วยความรักผู้คนอีกครั้งแล้วละ

ถ้าใช้ความหมายของความรักตามข้างบน ถ้อยคำที่หัวหน้างานเปล่งออกมานั้นคล้ายกับกำลังสื่อเรื่องความรัก

อย่างที่เคยคุยไว้แล้วว่า สำหรับคน สัญชาตญาณ อารมณ์ ความรู้สึก มีความใกล้ชิดกันมาก ภายใต้อารมณ์ สัญชาตญาณ ความรู้สึกก็มีสิ่งเร้าและแรงจูงใจ

ถ้อยคำที่ได้ยินแล้วนั้น ยังจับต้องสิ่งเร้าและแรงจูงใจของหัวหน้างานไม่ได้ว่า ที่เขาเข้ามาปรึกษา อะไรเป็นสิ่งเร้าและแรงจูงใจ สภาวะความคิดที่เปล่งผ่านถ้อยคำมีสิ่งเร้าและแรงจูงใจอะไรแฝงอยู่

ด้วยความซับซ้อนของเรื่องอยู่ที่ มีคู่สัมพันธ์กับหัวหน้างานอยู่มากกว่าหนึ่ง  ฉันจึงชวนให้เขาลองจำแนกอารมณ์พื้นฐานของตน เมื่อเขาเจอคู่สัมพันธ์แต่ละคน  อารมณ์พื้นฐานนี้มี 3 อย่างคือ โกรธ กลัว พึงพอใจ

การสนทนาต่อทำให้รู้ว่า เขากลัวความโกรธของตัวเอง ด้วยเวลาโกรธ เขาจะใช้ “เสียงดัง” ปลดปล่อยอารมณ์ออกมา ก่อนวันมาปรึกษา มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ขาใหญ่ตะโกนใส่เขาในระดับอารมณ์ที่คนรอบข้างวาดภาพว่า อาจมีการลงมือทำร้ายร่างกายเขาเกิดขึ้นได้

ทีแรกที่คุยกัน เขาไม่ยอมรับหรอกว่า เขากลัว จนกระทั่ง เขากล่าวคำพูดว่า เขาเดินหนี ไม่คุยด้วย แต่ขาใหญ่ยังตามจิกตัวให้คุยด้วยแบบไม่เลิก เขาใช้คำว่าอุตส่าห์อดกลั้น เดินหนีแล้ว ยังไม่ยอมอีก

เมื่อคำว่า อดกลั้น หลุดออกมาจากปาก คำถามว่า รู้สึกอย่างไร ก็ถูกฉันป้อนกลับ ซึ่งก็มีแต่คำตอบซ้ำๆจากเขาว่าทำอย่างไรไปบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับขาใหญ่

จนเมื่อชวนให้ทบทวนอารมณ์พื้นฐานทีละอารมณ์  การเข้าถึงความเข้าใจอารมณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อถึงคำว่า “กลัว”  เื่มื่อเขาสัมผัสความกลัวได้ ฉันจึงรู้ว่า คนเป็นนายเป็นคู่สัมพันธ์ในอารมณ์ของเขาด้วย

น้ำตาที่หลั่ง เมื่อเขาเข้าใจอารมณ์ความกลัว ทำให้ฉันค้นพบว่า สิ่งเร้าที่ทำให้เขาแจ้นมาปรึกษา เป็น ความคาดหวังของนายที่เขาจินตนาการขึ้นเอง “ความกลัว” นายผิดหวังกับตัวเอง เป็นแรงจูงใจในการนำพาตัวมาปรึกษา

ในฐานะที่เป็นนายคนหนึ่ง ฉันจึงบอกเขาไปว่า การตอบสนองต่อความคาดหวังของคนเป็นนายไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับคนเป็นนายมากมาย ฉันบอกเขาว่าฉันรู้จักนายของเขาดี จนรู้ว่าสิ่งที่นายของเขาคาดหวังจากเขาไม่ได้มากมายเกินความสามารถ เพราะคาดหวังแค่การลงมือทำงานทันที มีสิ่งที่นายของเขาหวังด้วย คือ เห็นลูกน้องทำงานแล้วมีความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นในงานจนวางใจได้

เมื่อเขารับรู้ความคาดหวังของคนเป็นนายแล้ว สัมผสบอกว่าเขาผ่อนคลายขึ้น  ความผ่อนคลายนำพาให้การสนทนาลงลึกไปแตะ “ความโกรธ” และ “ความไม่พึงพอใจ” ที่มีอยู่ในตัวเขาได้มากขึ้น

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล้ารับกับฉันว่า “โกรธ”  แต่ปฏิกิริยาที่สนใจฟัง เมื่อคุยกันเรื่องทางออกขณะเผชิญหน้ากับขาใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ก็บอกฉันว่า เขารับรู้ความโกรธในตัวเขาแล้ว

สุดท้ายก่อนจากกัน ฉันก็ชวนเขาให้กลับไปใคร่ครวญและไตร่ตรองว่า  แท้จริงแล้วเขาปรารถนาผลผลิตของความสัมพันธ์ กับขาใหญ่ที่เป็นบวกหรือลบ ถ้าต้องการบวก เขาก็ต้องฝืนลงมือทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยทำ เพื่อให้เกิดบรรยากาศอยู่ร่วมที่บวกกว่าเดิม

ย้ำกับเขาก่อนกลับว่า ให้ทำความเข้าใจความต้องการอย่างแท้จริงของตัวเองก่อนอื่นเลย

ช่วงค่ำของวันนั้น เขาได้ส่งอีเมล์มาขอบคุณและบอกว่า “หนูกำลังพยายามค่ะ แต่ตอนนี้หนูอ่อนแอเหลือเกิน”

« « Prev : ธรรมชาติของอารมณ์

Next : จะทำอะไรได้บ้างละนี่ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 กรกฏาคม 2011 เวลา 20:24

    ทุกอย่างเป็นวงจร ผมว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันมีวงจรของมันทั้งนั้น ต่อกันเป็นข้อๆ จะตัดวงจรตรงข้อไหน ก็ต้องหาทางวิเคราะห็กันไป วงจรนี้ยังไปพันกับวงจรโน้น ก็ยิ่งยุ่ง แก้ไปแก้มา กลายเป็นลิงแก้แหไปเสียอีก

    L oosing
    O besity
    V ia
    E xcretion

    Obesity ทางใจนะครับ ไม่ใช่ทางกาย หรือ จะเอาเป็น Obsession ก็ได้
    มันอ้วนมากเกินไป ก็ต้องถ่ายออก ให้กินยาถ่ายทางจิตเสียบ้าง

  • #2 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 กรกฏาคม 2011 เวลา 7:54

    ความรับผิดชอบทำให้เกิดความสนใจ ใส่ใจ และอยากหาทางอยู่ร่วมอยู่รอดอย่างที่สามารถรับผิดชอบส่วนของตัวเองได้ นะคะ

    เมื่อวานทำหน้าที่คล้ายๆกัน ให้กับศิษย์ที่เรียนจบไปแล้ว ไปเผชิญกับ การทำงานแบบคล้ายๆนี้ค่ะ
    มีประเด็นที่นายบางคนไม่กล้าเผชิญเองเอาลูกน้องไปเป็นหนังหน้าไฟเข้าไปล้วงลูกหน่วยงานที่ตัวเองมีข้อขัดแย้งอยู่

    ฟังๆ ก็คิดว่า อัตตาชนอัตตา ทั้งๆที่เป้าหมายเพื่อหน่วยงานตัวเองเหมือนกันน่ะค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.49731087684631 sec
Sidebar: 0.10861897468567 sec