จะทำอะไรได้บ้างละนี่
อาการสำคัญของหัวหน้างานที่ได้ข้อมูลมา พอมีร่องรอยให้แกะรอยเพื่อวินิจฉัย องค์กรป่วยหรือเปล่า ป่วยคู่ หรือป่วยกลุ่มหรือเปล่าอยู่บ้าง
ถ้อยคำที่เล่าว่า “หนูเดินหนี แต่พี่เขาก็ยังตามจิกตัวไม่เลิก ส่งเสียงดังแบบว่าคนที่เห็นยังกลัวว่าหนูจะถูกพี่เขาทำร้าย” สะท้อน “ภาษากาย” ของขาใหญ่ที่พอจะบอกถึง ปฏิกิริยาทางสรีระ และ พฤติกรรม ชี้ไปที่ “อารมณ์ลบ”
อย่างนี้ ขาใหญ่ ก็มีความป่วยทางอารมณ์อยู่ด้วยซินะ แต่ก่อนจะฟันธง จำเป็นต้องได้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็ไปได้ประวัติการทำงานของขาใหญ่เพิ่มมาว่า
“พี่เขาทำงานเก่ง เวลาทำงานก็มีความมั่นใจ ทำงานผ่านมาหลายงาน เป็นหัวหน้างานมาหลายงาน มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เคยส่งเสียงดังกับนาย และด่ากับนายมาแล้วด้วย….. กับนายคนสุดท้ายก่อนที่จะย้ายที่ทำงาน ก็ทำเรื่องฟ้องนายไปที่ศาลปกครองว่าถูกเลือกปฏิบัติ….ตอนที่ทำงานเป็นหัวหน้า ลูกน้องหลายคนก็เครียด มีหลายคนเหมือนกันที่ขอย้ายที่ทำงานไปเลย และหลายคนก็ไม่มีความสุขในที่ทำงาน เพราะโดนพี่เขาด่า….. ในช่วงที่อยู่กับนายคนสุดท้าย มีเพียงคนเดียวที่คุยกับพี่เขาแล้วไม่เคยขัดใจกันเลย คนนั้นเป็นรองหัวหน้าของสำนักงาน….มีอยู่หนหนึ่งพี่รองหัวหน้าสำนักงานอีกคน เขาเล่าให้หนูฟังว่า ระหว่างที่คุยกัน และมีปัญหาถกเถียงกัน พี่รองหัวหน้าเขาว่าต้องนั่งนับใบมะพร้าวไปด้วย จนแทบจะนับได้ทั้งต้น….พี่รองหัวหน้าคนนี้เคยเป็นคู่ที่ทำงานเข้าขากันมาก่อนกับพี่เขา…..”
ประวัติที่ได้เพิ่มให้ข้อมูลยืนยันว่า เวลาที่ขาใหญ่ขัดใจ เธอจะใช้ “เสียงดัง” สื่ออารมณ์ที่อยู่ภายในออกมา
อืม เห็นแล้วละ อารมณ์ “โกรธ” นี่เองที่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมที่แสดงออกมา แต่อะไรคือสิ่งเร้า และแรงจูงใจกันนะ
จะเข้าใจสิ่งเร้าและแรงจูงใจที่ทำให้รู้สึก “โกรธ” ของขาใหญ่ได้ ก็ต้องค้นหาสภาวะการรู้คิด ในส่วนของประสบการณ์ต่างๆของขาใหญ่ด้วย
สภาวะการรู้คิดที่พอจะจับได้จากประวัติการทำงานบอกให้รู้ว่า ขาใหญ่เป็นคนเก่ง สติปัญญาอยู่ในระดับแถวหน้าเชียวนะ
การปล่อยให้ความโกรธเข้าครองตนได้บ่อยๆ ดังปรากฏในประวัติการทำงานนั้น ทำให้เอะใจและมองเห็นความไม่เติบโตทางอารมณ์ที่ซ่อนอยู่
ความเอะใจนี้ทำให้เห็นภาพเพิ่มขึ้นอีกมุม ขาใหญ่ไม่มีเพื่อนเลยในที่ทำงานทุกแห่งที่ผ่านมา ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผู้คนที่อยู่รอบข้างของเธอมีน้อยกว่าน้อยที่รองรับอารมณ์ของเธอได้ คนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่รับความเป็นเธอได้และไม่ตอบโต้
มุมนี้ทำให้นึกไปถึงประวัติครอบครัวของเธอที่เพิ่งได้มา พ่อแม่เธอมีอาชีพค้าขาย เธอมี 2 แม่ น้องร่วมท้องแม่เดียวกันมี 8 คน แม่อีกคนมีลูกคนเดียว เธอเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัว น้องรองจากเธอเป็นผู้ชาย น้องๆทุกคนรักเธอและให้ความสำคัญกับเธอมาก ไม่มีน้องคนไหนเคยเถียงเธอ
ข้อมูลเหล่านี้สะกิดให้เอะใจกับการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวขึ้นมา วันนี้มองเห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่า จะมีความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวขาใหญ่มาเอี่ยวด้วย ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของการสะสมความรุนแรงทางอารมณ์ของขาใหญ่
จะเข้าใจแรงจูงใจของขาใหญ่ ในการหล่อเลี้ยงความไม่เติบโตทางอารมณ์ไว้กับตัวได้ ก็ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ประวัติการเลี้ยงดูที่เธอได้รับในช่วงอายุ 7 ขวบแรก ซึ่งเป็นช่วงนาทีทองของการบ่มเพาะทายาทเทพคือสิ่งที่ต้องการ
อืม ไม่ง่ายเลยที่จะได้มา แต่ก็น่าสนใจว่าทำไมขาใหญ่จึงอ่อนไหวง่ายกับการถูกขัดใจ
« « Prev : “ความรัก” คือ การเรียนรู้เพื่อเอาชนะความรุนแรงทางอารมณ์
Next : จะควบคุมหรือปล่อยไปดีละ » »
3 ความคิดเห็น
Anger is like an acid, it hurts the container most. น่าเอาป้ายนี้ไปติดไว้ให้เธอได้อ่านเอาบุญบ้างนะครับ
ความโกรธก็เหมือนกรด มันกัดรดเจ้าของหมองกว่าใคร
เจอคนที่เหมือนกันเลย พี่สาวตาเจาะต่อค่ะ
ตอนนี้เจอมากกว่าหนึ่งคน ที่โกรธแล้วเสียงดัง ใช้อารมณ์เอาชนะ
คนอย่างนี้เขาไม่รู้ว่ากำลังเผาตัวเอง อกพูนตะกอนโกรธ อารมณ์โกรธจะมากขึ้นๆ เป็นบ่อยขึ้นด้วยค่ะ