ดูโหงวเฮ้งกันหน่อยดีมั๊ย
วันนี้เช้าขึ้นมาแม่ลูกชวนกันไปตลาดเพื่อแวะหาคนรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งได้คุยไหว้วานเอาไ้ว้ให้ช่วยเสาะหาแหล่งปลูกมะระจีนในเขตกระบี่มาบอกกันหน่อย ปรากฏว่าไม่มีแหล่งปลูกในกระบี่เหลืออยู่ให้ได้ไปชมต้นกันได้เลย เหตุที่พากันหาข้อมูลแหล่งปลูกของต้นดังกล่าวก็เพราะลูกสาวต้องการยอดไปทำแล็บกับอาจารย์ของเธอ
สำหรับเขตตรังนั้นน้องโสทรเอื้อเฟื้อเอาไว้ ว่าที่บ้านมีปลูก แล้วเจ้าต้นที่ปลูกอยู่นั้นเหลือรอดมาจากการเพาะเมล็ดแค่ 6 ใน 30 นับว่าเป็นพืชที่ปลูกได้ยากเย็นเหมือนกัน
ทางเดินของการค้นหาแหล่งปลูกมะระทำให้ได้รู้ว่า ในแถบภาคใต้มีแหล่งส่งลูกมะระมาจากนครศรีธรรมราช ก็เลยทำให้วันนี้ได้คุยกับลุงพูนเป็นครั้งแรก ลุงพูนบอกว่าไม่มีแหล่งปลูกพืชชนิดนี้ในอ.ทุ่งสง ได้เบอร์ลุงพูนจากน้องฑูร และขณะนี้ลุงพูนกินเจอยู่ที่ภูเก็ต
ตอนเช้าขณะอยู่ที่ตลาดแวะซื้อขนมอย่างหนึ่ง แล้วเจ้าลูกสาวขอแวะซื้อเผือกทอด ระหว่างที่รอรับสินค้าที่ออร์เดอร์ สายตาเหลือบมองสินค้ามีอะไรอยู่บ้าง โอ้โห มีแต่แป้งๆมันๆทั้งน๊านเลย แล้วมีน้ำจิ้มแถมให้ใช้เพิ่มรสชาดอีกด้้วย นึกถึงคนที่หวานไปทั้งตัวขึ้นมาทันที ฤดูเจนี่น่ากลัวเลือดจะหวานขึ้นจริงๆ แล้วแถมตัวจะกลมกลิ้งได้แบบลูกบอลได้ซะอีกนะ
น้องฑูรเป็นอีกคนที่ได้ถามไถ่ไปในเรื่องของแหล่งปลูกมะระจีนที่ภูเก็ต ได้ความคำตอบเดิม เขาปลูกผักแบบลอยฟ้าในน้ำสารเคมีกันส่วนใหญ่ ไม่มีไม้เลื้อยแบบมะระเพราะที่ดินแพง วางหูแล้วนึกเรื่องอาหารที่เห็นมุมขึ้นมาได้ จึงกริ๊งกลับไปถามใหม่ กินอยู่ยังไง นำพาให้ถามไถ่ไปในเรื่องความดันเลือดว่าเป็นยังไง
หลังจากนั่งทำงานวางแผนดูแลสุขภาพเจ้าหน้าที่ร.พ.ไปได้สักพัก ก็ชักจะรู้ตัวว่าวันนี้ลืมทำอะไรไปอย่าง หันขวับมองรอบตัว เอ๊ะ ลืมอะไรหว่า อ้อ ลืมเข้ามายังสถานที่คุ้นเคยอีกแห่งนี่เอง เข้าไปเช็คอีเมล์แล้วพบความเห็นของพี่บู๊ด ทำให้นั่งนึกทบทวนในเรื่องบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาอีก ก็เลยไปทวนอ่านบันทึกหลายเรื่องที่เขียนเอาไว้ในลานแห่งนี้ ก็พบมีประเด็นใหม่จากเรื่องเดิมๆให้เห็น ว่าควรจะเขียนบันทึกใหม่เพิ่มซะบ้าง เพื่อช่วยกันทำมาหากินเรื่องการผ่องถ่ายความรู้
จับแพะชนแกะชนไปเรื่อยๆ จากเรื่องของมะระจีน กับเรื่องค่าความดันเลือดที่น้องฑูรบอกมา ชนต่อกับเรื่องเค็มๆที่พี่บู๊ดมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย ชนต่อกับเรื่องเบาหวานของอ้ายเปลี่ยน ไปจบลงที่คำถามของแม่ยกที่อยู่ในบันทึกนี้
“สายตายาว สายตา คนแก่ ดูโหงวเฮ็งแบบหมอเจ๊ได้บ๋อ พอดีญาติสายตรงมีพี่สาวคนหนึ่งเป็นเบาหวานจากของแถมที่ได้มาจาก รักษาตัว….”
ก็เลยเกิดประเด็นที่นำมาเขียนบันทึกไว้สั้นๆ ในเรื่องเคล็ดลับของการกลั่นกรองโรคที่มาพร้อมเบาหวานที่เป็นยอดฮิต ซึ่งได้แก่ โรคตา โรคไต โรคหัวใจ
วันนี้ขอเล่าเรื่องโรคตาก่อนก็แล้วกัน ภาษาของคนหวานกันทั้งตัวเขาเรียกกันว่า เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) โรคนี้มีความรุนแรงแยกออกหลายระดับ เอาเป็นว่าขอเล่าแค่้จะรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดโรคนี้แล้วหรือยัง เพื่อจะได้ป้องกันหรือชะลอไว้ไม่ให้ไปถึงการเป็นนักกีฬาโรคที่เชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งกีฬาก็แล้วกัน
ส่วนใครที่เป็นผู้เชี่ยวชาญไตรกีฬาแล้ว (เบาหวาน+ตีนชา+ตามัว) การป้องกันมีทางเดียวคือพาตัวไปนอนให้หมอจี้ไฟฟ้าที่ลูกกะตาซะโดยดี อย่าเบี้ยว ขืนเบี้ยวตาบอดได้นะคะ เป็นการตาบอดที่จัดประเภทเรียกว่าสายตาเลือนลาง เห็นอะไรก็จะเห็นแค่เงาๆไหวๆ รายละเอียดหลายอย่างจะไม่สามารถเห็นได้ดั่งเดิม การไปจี้ซะก่อนจะช่วยหยุดการลุกลามของโรคและประคองสายตาไว้ไม่ให้ตาบอดค่ะ
จุดสำคัญที่เกิดโรคคือเส้นเลือดของจอตา ฉะนั้นเวลาจี้เขาจี้ทำให้เส้นเลือดที่มีปัญหาตันซะ ร่างกายจะได้นำพลังงานไปสร้างเส้นเลือดใหม่มาดูแลตัวเองแทน อย่าลืมนะคะ รู้ว่าต้องจี้ก็ไปจี้ซะอย่ารอช้า เจ็บปวดก็ควรยอมเพื่อไม่ให้กลายเป็นคนพิการให้เจ็บใจตัวเองเพิ่ม
ทีนี้มาถึงใครที่ยังไม่เข้าข่ายนักกีฬาแบบไตรกีฬา จะรู้ได้ยังไงว่ากำลังจะถูกคัดตัวเป็นนักกีฬาในไตรกีฬา มีทางรู้ได้จากผลน้ำตาลในเลือดและความดันเลือดของตัวเองค่ะ
ในค่าเลือดที่ตรวจสำหรับคนเบาหวานนั้น นอกจากสนใจค่าน้ำตาลเจาะหลังอดอาหารแล้ว สิ่งที่ควรสนใจอีกมี “ค่าน้ำตาลสะสม หรือ Hemoglobin A1C (HbA1C) ”
เจ้าตัวเอวันซีตัวนี้ มีประโยชน์ 2 อย่าง อย่างแรกใช้จับโกหกว่าคนไข้ช่วยรักษาความเครียดให้หมอหรือเปล่า ด้วยการพยายามอดอาหารก่อนถึงวันนัดพบหมอ ที่จับโกหกก็เพื่อจะได้ไม่เผลอไปรังแกคนไข้ ลดยาด้วยเข้าใจว่า คุมเบาหวานได้ดีแล้ว
การจับโกหกอย่างนี้เื้อื้อผลประโยชน์ต่อของหมอๆในการป้องกันไม่ให้คนไข้กลายเป็นนักกีฬาไตรกีฬาด้วยนะขอบอก ก็มันบอกว่า การคุมน้ำตาลของคนไข้ได้ผลดีหรือยังนี่นา มันช่วยให้หมอๆทำนายได้ด้วยว่าสามารถป้องกันโรคที่ตามมาขอเดินขนานกับเบาหวานหรือไม่
คนไหนที่ค่าเอวันซีนี้สูงเกิน 6 ตลอดเวลา จำไว้นั่นกำลังฟิตตัวเองให้เป็นนักกีฬาไตรกีฬาหรือทศกีฬาโดยไม่รู้ตัวอยู่
เจ้าตัวนี้ไม่ได้ตรวจกันพร่ำเพรื่อนะคะ ต้นทุนในการตรวจค่อนข้างแพงมากมายอยู่ ส่วนใหญ่จึงมักตรวจกันประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี
ทีนี้ถ้าไม่ตรวจเอวันซีจะมีทางรู้อย่างไรเล่าว่าเจ้าของกำลังจะฟิตซ้อมให้ตัวเองเป็นนักกีฬาไตรภาคีอยู่หรือเปล่า
ตอบว่ามีทางรู้จากได้จากการเจาะเลือดอดอาหารนะแหละ หากว่าค่าที่ตรวจได้เคยมีระดับสูงเกินกว่า 250 อยู่เรื่อยๆนานๆ น่านหละท่านกำลังฟิตซ้อมจะเป็นนักกีฬาไตรภาคีแล้วละคะ
ส่วนค่าของความดันเลือดนั้นให้นำมาใช้ร่วมด้วย เมื่อไรที่ค่าความดันเลือดของคนเบาหวานแตะที่ระดับ 120/80 มม.ปรอท ถือว่า คนตัวหวานนั้นเป็นนักกีฬาไบกีฬาแล้วนะคะ
ค่าข้างหน้าเรียกว่า ความดันค่าบน ค่าข้างหลัง เรียกว่า ความดันค่าล่าง จะค่าบนหรือค่าล่างแตะที่ระดับข้างบนนี้แล้ว ถือว่าจะใช่นักกีฬาตัวจริงของตีนชาไปแล้วนะคะในคนตัวหวาน
ส่วนในคนที่ไม่เป็นเบาหวาน ความดันเลือดในระดับนี้เตือนแล้วว่า มีการเล็งตัวเอาไว้และแอบดูการฟิตซ้อมอยู่โดยไม่รู้ตัว แล้วจู่ๆแมวมองจะมาสะกิดว่า เฮ้ ยู ไอขอเชิญยูไปร่วมในทีมนักกีฬาหน่อย เมื่อไรก็ได้ค่ะ
ถ้าหากผนวกค่าความดันเลือดกับค่าเลือดอดอาหารแล้วเกิน 250 มาตลอดเวลา หรือเป็นส่วนใหญ่ น่านหละคือสัญญาณบอกว่า กำลังจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงได้เลือกเป็นนักกีฬาไตรกีฬาแล้วค่ะ ให้รู้ตัวแล้วรีบตัดสินทำอะไรซะ หากไม่อยากได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวจริง
แล้วสิ่งที่จะต้องทำ (หากไม่ทำ อาจจะเป็นตัวจริง ถอยไม่ได้แล้ว) คือ การขอสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นนักกีฬา โดยทำแค่สะกิดคุณหมอที่ดูแลให้หันมาฟังซะหน่อย
คำขอเข้ารับการคัดเลือกให้บอกอย่างนี้ “คุณหมอครับ (ขา) ขอผม(อิฉัน) ตรวจตาดูซะหน่อยได้ไหม”
อย่างน้อยควรได้ตรวจปีละครั้งสำหรับคนตัวหวานนะคะ ไม่ควรรอให้เข้าข่ายนักกีฬาก็ขอตรวจได้ค่ะ
ก่อนจบขอกลับไปที่เรื่องมะระจีนอีกทีเพิ่งนึกขึ้นมาได้ คนรู้จักเขาเป็นคนปลูกผักปลอดสารพิษแหล่งใหญ่ที่สุดของกระบี่ (ไม่ใช่ไฮโดรโพนิกส์ ) เขาเล่าว่า มะระจีนปลูกแบบปลอดสารพิษให้ได้ลูกงามๆยากมากๆ ดังนั้นแทบจะไม่มีแหล่งไหนที่ลูกงามแล้วไม่ใช้ยาฆ่าแมลง
เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ของฉันเอง ขอนำมาเล่าสู่กันฟังสำหรับคนชอบมะระจีนนะคะ เผื่อว่าจะมีเทคนิคของการจัดการมะระจีนให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงว่าทำยังไงได้บ้างก่อนนำไปปรุง สามารถใช้วิธีจัดการวิธีเดียวกับผักชนิดอื่นๆหรือเปล่า
บันทึกอื่น
1. เบิกโรง
« « Prev : ชวนมาเรียนรู้เรื่องเค็มๆกันหน่อย
Next : ผักพื้นบ้านยอดนิยม ผสมเบาหวานแล้วอะไรดีบ้างเนอะ » »
2 ความคิดเห็น
มาทีไรก็เก็บความรู้ไปเสมอน่ะครับ
น่าสนใจมะระจีนปลูกยาก บางรายอาจใช้สารเคมีเพราะความยากของการปลูก..??
#1 พี่บู๊ดค่ะ ทั้งเกษตรกรที่น้องไปหาและลุงพูน บอกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า มะระจีนปลูกยาก ด้วยเหตุ 3 ประการค่ะ
ประการที่ 1 คือ เทคนิคการปลูก จะปลูกให้ขึ้นได้ดี ต้องแช่เมล็ดก่อนปลูก แช่น้ำอุ่น (น้ำเย็น+น้ำร้อน ผสมแล้วเอามือแช่แล้วรู้สึกอุ่น) ราวๆ 6 ชั่วโมง แล้วนำขึ้นใส่กระดาษที่อุ้มน้ำได้ เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษทิชชู ไว้จนเห็นรากงอก จึงเอาลงปลูกในดิน (เวลาสั้นที่สุด 1 คืน นานกว่าก็ไม่เกิน 3 วัน)
ประการที่ 2 คือ หลังลงดินแล้วก็เรื่องของการให้น้ำ มะระจีนเป็นพืชที่ต้องการน้ำมากในระยะที่กำลังเติบโต หากจังหวะของการให้น้ำไม่ดี จะไม่ออกลูกหรือตายได้ค่ะ แห้งน้ำก็ดึงให้แมลงศัตรูพืชบางตัวมากัดกินรากและใบค่ะ
ประการที่ 3 คือ เรื่องของแมลงที่เป็นศัตรู จัดการได้ยาก ใช้วิธีกางมุ้งก็เอาไม่ใคร่อยู่ ศัตรูมีพวกแมลงวันทอง เพลี้ยไฟ หนอนของผีเสื้อกลางคืน ถ้าจะใช้พืชธรรมชาติเป็นยากำจัดแมลง อย่างเช่น สะเดาก็ยังมีรายละเอียดของเวลาที่ให้เลือกพ่นยาเพื่อให้ยังมีฤทธิ์จัดการแมลงได้ ในทางปฏิบัติของการจัดการจึงมีเรื่องจุกจิกเยอะทีเดียว