ฮักถึงแก่น..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กุมภาพันธ 3, 2013 เวลา 2:09 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1156

 

ผู้มีอำนาจประสานกับนักธุรกิจ หรือบางทีก็เป็นคนเดียวกันคิดอ่านสร้างความเคลื่อนไหวทางกิจกรรมสาธารณะเพื่อให้ธุรกิจเดินสะพัด เช่น งานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ งานสงกรานต์ปิดถนน งาน…..และงาน “ฮักถึงแก่น” ในวันที่ 14 ก.พ. ที่ขอนแก่นนี้

มองคนละมุม : นักบริหารบ้านเมือง และนักธุรกิจเขาคิดอ่านแต่เรื่องจะทำอย่างไรจึงเกิดการเดินสะพัดของการเงิน เพื่อให้ธุรกิจเฟื่องฟู หากมีงานเช่นดังกล่าว ที่พัก ร้านอาหาร โดยเฉพาะไนต์คลับในรูปแบบต่างๆ ที่มีเครื่องดื่ม ดนตรี ที่วัยรุ่นชอบ หากมีงานคนจะมาเที่ยวมากก็จะใช้บริการเหล่านี้มาก เงินก็สะพัด หากมองในมุมนี้ ก็ไม่เห็นความเสียหายอะไร

แต่อีกมุมหนึ่ง ผมว่ามันมากเกินไป เพราะงานแบบนี้สิ่งที่มาพร้อมๆกับกิจกรรมสาธารณะเชิงสนุกสนานนั้นก็คือ การที่ใช้เงินเกินความจำเป็น เกิดปัญหาทางสังคม ยาเสพติดเดินสะพัด และไม่ได้สร้างสรรค์ให้สังคมมีความดีงามแต่อย่างใด ท่านอาจจะบอกว่า อ้าว งานสงกรานต์นั้นเป็นงานประเพณีมิใช่หรือ เขาส่งเสริมวัฒนธรรมไทยเรามิใช่หรือ

ชื่องานนั้นใช่ การอ้างอิงประเพณียิ่งใช่ใหญ่ แต่สาระ รายละเอียดกิจกรรมนั้น มันก็แค่วันเสรีแห่งการกระทำทางการบันเทิง พร้อมๆกับดึงเอาวัฒนธรรมเดิมๆมาขยี้ด้วยความสนุกสนานมากกว่าเพื่อคุณค่า ความหมายแท้จริง สิ่งที่ได้ก็คือธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้อง และทุกครั้งมีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ และพัฒนาความทุเรศในเรื่องการสาดน้ำ เต้นรำ และฯลฯ มากขึ้นทุกปี ดังเห็นว่าเมื่อปีที่ผ่านมาถึงขั้นเปิดเผยหน้าอกสตรีกันแล้ว หากสังคมไม่วิภาคย์กันหนักๆ ปีต่อไปอาจจะเห็นการแก้ผ้ากลางถนนเล่นน้ำก็ได้

เมื่อย้อนไปสมัยเราหนุ่มแน่น เราก็สนุกไปตามยุคสมัย แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรแผลงๆ แต่นั่นอาจจะเป็นเส้นทางเดินของพัฒนาการงานแบบนี้จากอดีตสู่ปัจจุบันก็ได้ เพราะแต่ละปีผู้จัดงานก็มักคิดที่จะทำอะไรที่ใหม่ๆ และแปลกๆ ซึ่งบรรยากาศงานก็สร้างพัฒนาการความต่ำทรามมากขึ้น

ไม่เคยมีนักวิชาการมาประเมินผลกิจกรรมทางสังคมแบบนี้

สังคมไม่เคยมีคณะกรรมการกลั่นกรองกิจกรรมสาธารณะเหล่านี้

สังคมไม่เคยมองมุมกลับย้อนไปหาคุณค่าที่ควรสร้างสรรค์ขึ้นจากกิจกรรมสาธารณะแบบนี้

จริงๆผมไม่คัดค้านงานสาธารณะ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการมองมุมเดียวเฉพาะในเรื่องเชิงบวก แต่ไม่มีใครมองเชิงลบบ้าง

อาจจะเรียกว่า Impact ของงานมีอะไรบ้าง ศึกษา วิจัยกันออกมาซิ มีงานที่สร้างสรรค์สาธารณะอีกมากมายที่ทำได้ ทำไมนักบริหารและนักธุรกิจไม่คิดมองมุมนั้นบ้าง เอาแต่เรื่องสนุกสนาน และสาระก็เป็นวัฒนธรรมนำเข้ามาจากต่างประเทศ มิใช่การต่อยอดจากฐานวัฒนธรรมของสังคมไทยเรา

สังคมเราถูกจูงไปด้วยระบบธุรกิจ และละทิ้งรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยของเรา นักบริหารบ้านเมืองก็ถูกบรรยากาศกระแสหลักพัดพาไปจนขาดสติในการไตร่ตรองให้มากๆว่าผลเสียมีอะไรบ้าง

แล้วแก่นแกนความเป็นไทยจะเหลืออะไรอีกเล่า…นอกจากอยู่ในตำราที่ท่องบ่นกันเพื่อเอาคะแนนกันเท่านั้น แต่ไม่เคยเข้าถึงคุณค่า ความหมายแท้จริงกัน…


NORM กับความทันสมัย

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 29, 2013 เวลา 15:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1175

 

เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมชนบท จึงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงสังคม นักวิชาการจะกล่าวถึงบ่อยๆว่าพลังหลักในการผลักดันสังคมให้เคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เรียกรวมๆว่าความเจริญนั้นก็คือ ระบบทุนนิยม

เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ดูที่นี่) ปี พ.ศ. 2293-2393 นั้น มีการพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ มนุษย์ก็นำความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาดัดแปลงใช้ในเรื่องต่างๆในวิถีชีวิต ซึ่งเข้ามาทดแทนสิ่งเดิม เพราะ สิ่งใหม่ดีกว่าในด้านความสะดวกสบาย รวดเร็ว ชัดเจน อธิบายได้ พิสูจน์ได้ ฯลฯ เกิดการพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยี และนำเอาเข้าไปเป็นหลักสูตรในการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษา

เมื่อคนคลุกคลีกับการพัฒนาสิ่งใหม่ๆนั้นมากเข้า หรือกล่าวอีกทีคือ สภาพสังคมเมืองที่รับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามามากมายนั้นเป็นเสมือนเบ้าหลอมระบบชีวิตของคนเมืองให้มีความแตกต่างจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดในชนบท ที่ด้อยกว่าหรือไม่มีสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ เนื้อหาสาระชีวิตใหม่ๆ วิถีใหม่ๆ (แต่ของใหม่ดีกว่าหรือไม่ดีกว่าเก่ายังไม่อภิปราย)

ประเทศชาติยอมรับความเจริญ เป็นเป้าหมายของการผลักดันสังคมให้พัฒนาไปในทิศทางนั้นๆ ซึ่งการเคลื่อนตัวของสังคมไม่เท่ากัน ไม่พร้อมกัน สังคมเมืองก้าวไปก่อน เพราะเมืองคือศูนย์กลางการบริหารประเทศ ประเทศจึงลงทุนในทุกเรื่องที่เมืองก่อน แล้วค่อยๆขยายลงสู่ชนบท

เกิดช่องว่างในสังคม ระหว่างคนเมืองกับคนในชนบท แม้ว่าปัจจุบันระบบสื่อสารไร้พรมแดน เช่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆจะเป็นตัวเชื่อมช่องว่างนี้ให้แคบลงมา แต่ก็เกิดความแตกต่างของความเป็นคนในสังคมเมืองกับคนในสังคมชนบท ผลกระทบของการพัฒนาก็เกิดการให้คุณค่าว่า เมืองเจริญแล้ว ชนบทไม่เจริญ เมืองก้าวหน้า ชนบทล้าหลัง เมืองเป็นวิทยาศาสตร์ ชนบทเป็นส่วนที่งมงายไร้สาระ เมื่อระบบทุนเมืองเชื่อมต่อกับระบบทุนโลกมากขึ้น โดยมีระบบทุนนิยม หรือระบบธุรกิจ เป็นพลังสำคัญในการเชื่อมและนำเข้าทิศทางการพัฒนา โดยมีระบบการศึกษารองรับ หนุนเนื่องการเคลื่อนตัวของระบบทุนดังกล่าว เช่น เมื่อระบบทุนสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาต้องการผู้มีความรู้ทางเทคนิคเฉพาะด้าน ก็เกิดวิทยาลัยอาชีวศึกษา ระบบธุรกิจผลิตสินค้า เกิดการแข่งขัน ก็ต้องการนักการขาย นักการตลาด ก็เกิดการผลิตนักศึกษาด้านธุรกิจไปรองรับ เกิดขยายตัวด้านสื่อสารมวลชน ก็เร่งทำการผลิตนักศึกษาด้านสื่อสารมวลชน และ ….ฯลฯ….

ระบบการศึกษาเคลื่อนตัวไปรองรับการเติบโตทางธุรกิจ ทางทุนนิยม รองรับการเคลื่อนตัวทางสังคม อันเนื่องมาจากการการเคลื่อนตัวของกระแสหลัก คือระบบทุน

ระบบทุนคืออะไร…. ทุนคือระบบผลประโยชน์ที่ต้องการกำไรสูงสุดจากการประกอบธุรกิจใดๆ ( ดูความหมายที่นี่) โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงแรกนั้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบทุนนิยมนั้น เขาไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการทำกำไรสูงสุด แต่ต้องการนำการสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามารับใช้วิถีชีวิตมนุษย์มากขึ้น ทดแทนความไม่มีประสิทธิภาพแบบเดิมๆ แต่พัฒนาการของทุนก้าวเลยความพอดีไปสู่ความต้องการสูงสุด มากที่สุด นั่นเอง

หากย้อนกลับไปดูวิถีชีวิตเดิมๆของสังคมเรา เราเรียกสังคมเกษตรกรรมที่รวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนที่มีองค์ประกอบความเป็นพี่น้อง คนชอบพอกัน รักใคร่กัน มีระบบสังคมที่ควบคุมการอยู่ร่วมกันคือ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา ศาสนา ระบบอาวุโสระบบอุปถัมภ์ บทบาท หน้าที่ ชายหญิง แม้จะไม่มีร่างออกมาเป็นตัวอักษร แต่มีบรรทัดฐาน (NORM) ของสังคมที่ยอมรับร่วมกันเป็นเสมือนกติกาสังคม ที่ไม่มีหลักสูตรในห้องเรียนแต่ระบบครอบครัว สังคมเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง

เช่น วันพระ พ่อแม่จะพาลูกๆไปทำบุญที่วัดร่วมกัน พ่อแม่จะบอกกล่าวการปฏิบัติตัวต่างๆระหว่างคนกับคน คือ ต่อพระต้องกราบไหว้ นอบน้อม รักษาระยะห่างเวลาพูดคุยกับพระ เป็นสตรีก็นั่งลงคุยกับพระ ต่อญาติพี่น้อง เด็กต้องไหว้ผู้ใหญ่ก่อนอย่างนอบน้อม หาน้ำมาให้ดื่มกิน บริการท่านในสิ่งที่ท่านต้องการหรือขอความช่วยเหลือ ต่อเพื่อนบ้าน เราเคารพผู้อาวุโส อายุน้อยกว่าเรียกผู้มีอายุมากกว่าว่าพี่ และพึงปฏิบัติต่อพี่ในสิ่งที่ควร ในเรื่องพิธีกรรมของวันพระ พ่อแม่ก็จะสอนสั่งว่าการใส่บาตรควรถอดรองเท้า ไม่ควรใช้ทับพีเคาะบาตรพระหากข้าวติดทัพพี ฯ เมื่อพระสวด ควรพนมมือ การนั่งควรนั่งแบบไหนถึงจะสมควรหากใกล้ชิดผู้ใหญ่ หากผู้ใหญ่นั่งแล้วเด็กจะเดินผ่านไปควรค้อมตัวและกล่าวคำสุภาพขอผ่าน หรือขออนุญาต หรือขอโทษ ตามเหตุผล เงื่อนไข เมื่อเสร็จพิธีบุญ มีการแลกข้าวและขนมกัน…ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่มีการเรียนการสอนในห้องเรียน แต่พ่อแม่พี่น้องในครอบครัวจะช่วยกันเป็นเบ้าหลอมลูกหลานให้เป็นคนที่พึงประสงค์ของสังคมที่ทีบรรทัดฐานของสังคมที่สะสมสร้างสรรค์กันมา

เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป พัฒนาไป ชุมชนในเมือง มีวิถีชีวิตที่ไม่ได้อยู่บนกิจกรรมการเกษตร และสภาพแวดล้อมต่างๆที่เป็นเบ้าหลอมชีวิตแตกต่างออกไปจากสังคมชนบท เด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมา นับครั้งได้ที่เข้าวัด และการเข้าวัดก็มิได้มีรายละเอียดเหมือนสภาพชุมชนดังกล่าวมาแล้ว เด็กมีความรู้จากโรงเรียน พ่อแม่ห่างจากวัฒนธรรม ประเพณีเดิมๆของสังคม เด็กก็ห่างออกไปจาก NORM เดิมๆของสังคม ในทางตรงข้าม ระบบสังคมเมืองมีสิ่งแวดล้อมใหม่ที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยี แต่ละวัน Perception ของเด็กคือความรู้ เรื่องราว วิถีของคนในสังคมธุรกิจ สังคมเมือง ที่มีค่านิยมแตกต่างสิ้นเชิงจากสังคมชนบท ถามเด็กในตัวเมืองขอนแก่นว่ารู้จัก ฮีต คอง อีสานไหม เขาไม่รู้จัก หรือเคยได้ยินแต่อธิบายไม่ได้ ตรงข้ามเด็กชนบท อาจจะอธิบายไม่ได้ แต่เขาดำเนินชีวิตคามครรลองของฮีต คองที่มีผู้ใหญ่ พ่อแม่ กำกับอยู่..

Norm จำเป็นแค่ไหน.. คนคือสัตว์ประเสริฐ ที่มีองค์ประกอบภายนอกและภายใน ภายนอกคือรูปร่าง แต่ภายในคือ จิตใจ ระบบคิด หากอยู่ในแนวทางที่ดีก็เป็นฐานของความเป็นผู้ประเสริฐ หากจิตใจ ระบบคิดมีแต่กิเลส ตัณหา เอาประโยชน์ส่วนตน ฯ ก็เป็นที่มาของคนที่มีรูปร่างภายนอกเหมือนคนทั่วไป แต่ข้างในปนเปื้อนไปด้วยระบบคิด จิตใจที่ไม่พึงประสงค์แห่งการอยู่ร่วมกัน

นี่เอง ศาสนาจึงเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับคนให้อยู่ในสิ่งอันควร ปฏิบัติในสิ่งที่พึงปฏิบัติร่วมกัน เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว ครอบครัวเดียว ตระกูลเดียว ชนชาติเดียว แต่เราอยู่ในชุมชน สังคม ฯ ที่หลากหลาย แตกต่าง แต่ต้องอยู่ร่วมกัน แม้ว่าเนื้อแท้ที่สุดของศาสนาคือการหลุดพ้น แต่หลักการของศาสนาก็เหมาะสมแก่การใช้เพื่อเป็นครรลองแห่งการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง หลากหลาย แม้ว่า Norm จะมิใช่กฎหมายที่ใช้บังคับ แต่ Norm คือข้อพึงปฏิบัติแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคม

Norm แห่งการอยู่ร่วมกันมีอะไรบ้าง เป็นคำถามที่น่าจะค้นหาจากเด็กสมัยนี้ว่า เขาเข้าใจและรู้จักมากน้อยแค่ไหน และน้อมนำมาปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน….??!!

เป็นเรื่องที่น่าจะช่วยกันหาคำตอบ และทบทวนกันให้มากๆ


องุ่น เด็ก และแม่ของเขา

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 18, 2013 เวลา 23:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1427

(ภาพนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่บันทึก แต่อยากเอามาใส่ไว้)

 

ครั้งหนึ่งนานพอสมควร เรายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่างจังหวัด เพื่อรอรถเมล์เข้าไปในเมือง ใกล้ๆแถวนั้นมีรถเข็นผลไม้ขาย แม่ค้าเป็นสตรีวัยกลางคน มีผลไม้หลายชนิด …

ใกล้ๆที่ยืนอยู่นั้นมีคุณแม่ท้องแก่คนหนึ่งยืนคอยรถเหมือนกันกับเรา มือขวาเธอจับมือลูกชายหน้าตามอมเชียว ลูกชายร้องให้พร้อมบอกแม่ว่าหนูอยากกินลูกไอ้นั่น พร้อมกับชี้ไปที่พวงองุ่น.. แม่ท้องแก่ปลอบลูกว่ามันไม่อร่อยหรอกลูก ลูกก็ไม่สนใจคำแม่ ร้องให้พร้อมกระตุกมือแม่ชวนให้ไปซื้อลูกองุ่นนั่น…

แม่ท้องแก่ตัดสินใจบอกลูกว่า

ลูก… แม่ไม่มีเงินซื้อ…ลูก… เรากลับบ้านดีกว่าเดี๋ยวรถเมล์มา ลูกชายหน้าตามอมแมมแหกปากดังขึ้นมากไปอีก พร้อมดึงมือแม่ว่า หนูอยากกินลูกไอ้นั่น แม่…

….

ทันใดนั้น แม่ท้องแก่ตัดสินใจจูงมือลูกไปหาแม่ค้าผลไม้นั่น พร้อมทั้งบอกแม่ค้าว่า

คุณพี่… ลูกหนูอยากกินองุ่น หนูไม่มีเงินซื้อ หนูขอที่มันหล่นๆสักสองสามลูกได้ไหมคะ…

แม่ค้าท่านนั้น..ยิ้มๆ..พร้อมกับเอามือไปกวาดองุ่นที่หล่นจากกองมากำมือ แล้วมอบให้เด็กนั่นไป เด็กยกมือไหว้แล้วก็หยิบใส่ปากตุ้ยๆๆ….

!!!!??????!!!!!????

ความรู้สึกผม….ความรู้สึกท่านคงไม่ต่างกันนะครับ….ต่อภาพอย่างนี้…..ต่อเรื่องราวแบบนี้….


พื้นที่ และหน้าผาแห่งการอยู่ร่วมกัน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 17, 2013 เวลา 14:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1171

เจ้าคุกกี้ หมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของผมตายจากไปแล้วเพราะจุดอ่อนของสายพันธุ์คือมะเร็ง ผมไม่รู้จักหมาพันธุ์นี้ จึงไม่เข้าใจพฤติกรรมของสายพันธุ์ เวลาเอาอาหารไปให้เขา อย่าเข้าไปนัวเนียเขาเป็นอันขาด เช่นจะไปลูบหัวเขาขณะเขากินอาหาร ไม่ได้ เขาจะขู่และกัดเราทันที ทั้งๆที่เราเป็นคนให้อาหาร…

ปลาที่มีลูกออกมาเป็นฝูง เวลาออกหากิน หรือแม่ปลาพาลูกปลาว่ายน้ำไป ใครเข้าใกล้ แม่ปลาก็จะแสดงอาการขู่เราทันที

นกทุกชนิด เวลาเลี้ยงลูก ก็จะวนเวียน หาอาหารให้ลูก หากนกตัวอื่นเข้ามาใกล้ๆ แม่นกก็จะบินเข้ามาโจมตีทันที แม้ว่านกตัวนั้นจะใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม

สัตว์ทุกชนิดมีสัญชาติญาณในการปกป้องดูแล หวงชีวิตลูกน้อยของเขา หรือสิ่งของ ต่างๆที่เขาแสดงความเป็นเจ้าของ รวมไปถึงมีอาณาเขต บริเวณ ที่เขาประกาศโดยธรรมชาติว่า พื้นที่ส่วนนี้ เป็นของเขา เขาหวงแหนใครเข้ามาก็ต้องแสดงความเป็นเจ้าของกันหน่อย

ผมเขียนบันทึกมาหลายตอนถึงการเลี้ยงดู เจ้า “กระถิน” กระรอกแถวบ้าน ที่มันมีครอบครัวเจ้า “กระโถน” ตัวสีแดง เจ้า “กระถาง” สีนวลๆ เป็นลูก

ผมไปตัดกิ่งสาเกที่กำลังออกลูกเพราะทั้งใบและลูกไปหล่นใส่เพื่อนบ้าน เกรงใจเขาก็เลยตัดออกไปเยอะ เจ้ากระรอกเลยหมดอาหารไป คิดสงสารเลยเอาตะกร้าใส่กล้วย อ้อย มะละกอ ฝรั่ง อะไรที่พอมี ที่เหลือกิน หรือตั้งใจจะเอามาให้เขา ชักตะกร้าไปที่ต้นหมากเม่าข้างบ้าน เจ้ากระถินก็มากิน และนับวัน จะคุ้นเคยกับเรามากขึ้น เพราะเราถ่ายรูปเขาบ่อยๆ ดูเขาจะไม่กระโดดหนีทันทีเหมือนแต่ก่อน สู้หน้าเรา ซึ่งเราก็ชอบใจ ที่ได้ดูเขาเต็มๆตา

เราแปลกใจที่เจ้า กระโถน และกระถาง ไม่มากินผลไม้ในตะกร้า แบบนานๆมาแล้วก็ผ่านไป ทั้งที่ผลไม้ในตะกร้านั้นมากมาย มากเกินที่เจ้ากระถินตัวเดียวจะกินหมด นอกจาก เจ้ากระถินจะกินตัวเดียวแล้ว ก็มีนกกระจาบวนเวียนมาบ่อยๆ วันก่อนเห็นพาคู่ของมันมากินด้วย

 

วันหนึ่ง ผมนั่งทำงานใกล้ๆหน้าต่าง ผมรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ต้นหมากเม่า เหลือบไปก็เห็นเจ้า กระโถนมาปรากฏตัว ทำท่าจะเข้าไปกินผลไม้ในตะกร้า พอผมขยับนิดเดียว มันก็กระโดดหายไป ผมอยากถ่ายรูปเขาชัดๆ ใกล้ๆ

สักพักเขามาอีก และทำท่าอยากเข้าไปกินกล้วยที่ตะกร้า แบบเก้ๆกังๆ เพียงไม่กี่วินาที มันก็กระโดดไปพร้อมกับมีเจ้ากระถินกระโดดไล่ตาม แบบว่าขับไล่ให้ไป จากต้นหมากเม่า ไปต้นอโศก ไปต้นสารภี ไปต้นมะยม ต้นปีบ….รอบบ้าน

ผมเข้าใจทันทีเลยว่า นั่นเจ้ากระถินกำลังประกาศเขต พื้นที่ หรือบริเวณขอบเขตของเขา มิให้ใครมายุ่งในบริเวณนี้ อะไรทำนองนั้น

สัตว์มีพื้นที่ของเขา มีอาณาเขต ที่ประกาศ

หมาไปไหนๆจะฉี่รดต้นไม้ เพื่อประกาศเขต หรือแสดงการมาของตัวมันในพื้นที่นั้นๆ หมาตัวอื่นมาก็จะไปเที่ยวดมกลิ่น หมาเจ้าของพื้นที่ก็จะเห่าขับไล่ไป

เจ้ากระถินเป็นสัตว์ชั้นต่ำ พัฒนาการทางสมองน้อยกว่ามนุษย์ แต่มีสัญชาติญาณ มนุษย์เราพัฒนาสมองมามากที่สุด เราเองก็มีพื้นที่ ทั้งทางกายภาพที่เป็นรูปธรรม และพื้นที่ทางนามธรรม เช่นพื้นที่ทางจิตใจ พื้นที่ทางอารมณ์ ความรู้สึก พื้นที่ทางจินตนาการ ฯลฯ….

พื้นที่ที่เป็นรูปธรรมนั้นเข้าใจง่าย เห็นได้ สัมผัสได้ รับรู้ได้ และจัดการได้ แต่พื้นที่ทางนามธรรมนั้น ตาเนื้อมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ไม่สามารถรับรู้ได้ ก็เลยจัดการไม่ได้ มีแต่เจ้าของตัวตนนั้นๆเท่านั้นที่จะพัฒนาพื้นที่ทางนามธรรมนี้ให้สร้างสรรค์ สงบสุข และมีเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมเล็กและใหญ่

ดูเหมือนว่ามีแต่หลักการทางศาสนาเท่านั้นที่เป็นองค์ความรู้ในการจัดการพื้นที่ส่วนนี้ ซึ่งนับวันมนุษย์ก้าวข้าม มองเลยผ่านไปไม่ใส่ใจในการแสวงหา เข้าถึง เรียนรู้ ฝึกฝนเพื่อสร้างผลแห่งสันติสุข ปล่อยให้อุดมการณ์ใหม่เข้ามาครอบครองพื้นที่ส่วนนี้จนหมดสิ้น ซึ่งมีแต่มาเสริมประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

เรากำลังก้าวไปสู่หน้าผาแห่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน..


กระถิน

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 10, 2013 เวลา 0:53 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1437

สวัสดี ฉันชื่อ “กระถิน”

เป็นกระรอกอาศัยอยู่ที่ต้นไม้บ้านลุงบางทราย

มีแฟน ชื่อ “กระโถน” อิอิ ชื่อไม่เพราะใช่ป่ะ ก็เขาเกเรบ่อยๆนี่

เรามีลูก ชื่อ “กระถาง” ซนซะ

 

ฉันมากินกล้วยอร่อยๆที่ลุงบางทรายเอามาใส่กระจาดแขวนไว้ให้ที่ต้นหมากเม่านี้

หน้าตาฉันตลกมากไหม อ่ะ….

ฉันชอบกล้วย บางทีฉันก็คาบเอาไปกินในที่ที่ฉันชอบ

ฉันมาที่กระจาดแขวนนี่ทุกวัน วันละหลายเที่ยว

ก็บางวันลุงบางทรายเอาฝรั่งสุกๆมาให้กิน อร่อย อ่ะ

แต่ไม่ชอบข้าวโพด และขนมปัง..มันไม่อร่อย..

 

แล้วพบกันนะ…….

ลงชื่อ “กระถิน”


กล้วย..และสายสัมพันธ์

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 31, 2012 เวลา 15:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1142

วันนี้นุชกับสามีเขาแวะมาหาผมพร้อมกล้วย 2 เครือใหญ่ มะละกอถุงใหญ่ และมะนาว และ…

นุชและหน่อยน้องสาวเคยมาพักบ้านผมในฐานะมาดูแลคุณแม่ที่ป่วยช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่บนเตียงตลอด 7 ปี โดยนุชผู้พี่ดูแลคนป่วยในเวลากลางวัน หน่อยคนน้องดูแลกลางคืน และทั้งคู่เรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง สองพี่น้องเป็นลูกชาวบ้านที่ พ่อแม่ทำการเกษตร ทั้งคู่คือเด็กบ้านนอกและหาเงินเรียนหนังสือเอง ขาดเหลืออะไรค่อยขอเงินพ่อแม่มาเพิ่มเติม เราก็เลี้ยงดูเด็กสาว 2 คนเหมือนลูกหลาน กิน ใช้เหมือนกันหมด เมื่อคุณแม่เสีย นุชผู้พี่ก็เรียนจบพอดี ส่วนหน่อยยังเรียนต่ออีก 1 ปี เราเลยส่งเสียเขาเรียนจนจบ

นุชแต่งงานกับหนุ่มบ้านนอกที่จบปริญญาตรีเหมือนกัน นุชไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนไปหางานทำกลับไปบ้านและทำการเกษตรโยการปลูกผักสวนครัวขาย สามีทำงานโรงงานใกล้บ้าน และช่วยภรรยาปลูกผักไปด้วย นี่เองที่ นุชและสามีเขาจึงเอาผลผลิตในสวนเขามาให้บ้านผมบ่อยๆ มากจนเรากินไม่หมดยังเผื่อแผ่ไปบ้านข้างเคียงซ้ายขวาด้วย

เราไม่ได้ สั่ง เรียกร้อง ถามหา หรือขอให้เขาเอามาให้ แต่เขาเอามาให้เอง บ่อยครั้งยังต่อว่าเขาว่ามากเกินไปนะ กินไม่หมด เขาก็ยิ้มๆซึ่งก็รู้ว่า เราก็เผื่อแผ่ไปข้างๆบ้านทุกที

เราคุยกัน ถามไถ่สุขทุกข์กัน เลยไปถึงพ่อแม่เขา การค้าขายพืชผัก การพัฒนาระบบการเพาะปลูก ซึ่งเท่าที่ติดตามมาก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ การปลูกผักขายนั้น มีรายได้ที่ดี มีรถปิคอัพ มีรถไถนาเล็กๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพทำสวนผักแบบสมัยใหม่มากขึ้น และเขามีความสุขที่ทำงานเช่นนี้

ผมนั้นมองเลยกล้วยหวีใหญ่ๆ มะละกอกองนั้น และอื่นๆ มองเลยไปถึงการที่เรานั่งคุยกันมันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เรามีต่อกัน สัมผัสจิตใจลึกๆของเขาที่มีต่อเรา ที่เรามีต่อเขา มันเป็นสายสัมพันธ์ที่สานต่อยืดยาวมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่คุณแม่เสียไป จริงๆก่อนหน้าที่เด็กสาวสองพี่น้องจะเข้ามาดูแลคุณแม่นั้นก็มีชุดอื่นๆผ่านไปแล้ว สามสี่ชุด แต่ละชุดอยู่ได้ 6 เดือนถึงนานที่สุด 1 ปี แล้วก็ลาออกไปหางานอื่นใหม่ หรือด้วยเหตุผลอื่นๆตามวิถีของแต่ละคน แต่เด็กสองคนนี้อยู่นานที่สุดจนคุณแม่เสีย วันที่คุณแม่เสีย หน่อยก็นอนในห้องเดียวกับคุณแม่ ดูแลจนวาระสุดท้ายทีเดียว

สังคมไทยเรานั้นผูกกันด้วยวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามเช่นนี้ การเอาสิ่งของติดไม้ติดมือไปมอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ญาติพี่น้อง แล้วให้เวลาคุยกันนั้นผมเห็นว่านี่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มันพัฒนาไปสู่ความสนิทสนม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ซึ่งบางคนอาจจะกล่าวเลยไปถึงว่านี่คือ จุดเริ่มต้นของระบบอุปถัมภ์ ผมก็ไม่ปฏิเสธ ซึ่งผมเองไม่กล่าวให้ร้ายเพียงอย่างเดียว เพียงด้านเดียวต่อระบบนี้ ผมกลับเสริมสร้าง สนับสนุนระบบการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน เพราะมันเป็นแรงเกาะเกี่ยวกันของสังคมของเรา

รายละเอียดเรื่องนี้มีมาก เช่น การฝากเอาสิ่งของไปให้โดยตัวเองไม่ได้ไป กับการที่ตัวเรานำสิ่งของไปให้เอง ให้เวลาและมีเวลาพูดคุยกันนั้นมันมีความหมายมากกว่า

ที่เขียนมานี้ไม่ได้เรียกร้องให้ใครต่อใครทำสิ่งเหล่านี้กันนะครับ เพียงผมสัมผัสความรู้สึกนี้เมื่อนุชกับสามีเขามาเยี่ยมเยือนและเอาของมาฝาก เรามีเงินเพียงพอที่จะซื้อกล้วยกินเอง จะเอาหวีสวยหรือใหญ่แค่ไหนก็ได้ แต่การรับกล้วยจากเด็กหนุ่มสาวที่มาเยี่ยมเรานั้นมีความหมายมากกว่าการได้กล้วยมากิน เรารู้สึกเมตตาเขา รู้สึกดีดีกับเขา ผูกพันกันกับเขา ขอบคุณเขา บอกกล่าวในสิ่งที่เป็นมงคลและเสริมสร้างแก่กัน

ขอบคุณนุชกับสามี หนุ่มสาวชาวสวนผักคู่นี้ครับ


เลี้ยงกะรอกเนื่องในวันเกิดลูกสาว..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 26, 2012 เวลา 21:17 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1330

เอาสาเกจากอ่างทองมาปลูกเป็นสิบๆปี ต้นมันโตเอ้าๆ ใบก็ร่วงไปใส่เพื่อนบ้านที่เป็นคนที่สะอาดมากที่สุด ตื่นตี 5 มากวาดบ้าน และหากไม่ไปไหน ทั้งวันก็เดินวนเวียนรอบบ้าน หากใบไม้หล่นหนึ่งใบก็เก็บ เห็นใบไม้แห้งปลิวจากบ้านผมไปติดต้นไม้บ้านเขาก็จะเอาไม้มาเขี่ยให้หล่น แล้วเอาไปทิ้ง…….สะอาดไหมล่ะ

ที่ร้ายคือลูกสาเกบ้านเราหล่นไปโดนฝาตุ่มเขาพังไป เราละอายมาก จัดการตัดต้นสาเกเสียเกือบเหี้ยน ขนาดมีกิ่งเล็กๆที่เหลือโผล่ชี้ไปทางบ้านเขา ยังร้องขอให้จัดการให้หมด เอากะแม่ซิ..

ความเกรงใจเราก็จัดการให้
จนยาหยีกลับมาบ้านเห็นเข้าก็โกรธ ทำไมตัดเสียไม่เหลือ อิอิ

ตายละกู….ซ้ายก็โดน ขวาก็โดน

ที่เสียใจคือ กะรอกหมดอาหารโปรดของมันไปน่ะซี เราเลยเอาตะกร้าผูกโบว์เอาลูกสาเกที่เก็บไว้ใส่ลงไปเอาไปห้อยที่ต้นหมากเม่าข้างบ้านตั้งใจจะให้กะรอกมากิน มันมาดมๆแล้วก็กินสองสามคำแล้วไม่มาอีกเลย สาเกแบบนี้มันคงไม่อร่อยเท่าที่มันห้อยที่ต้นโดยธรรมชาติ



เอาใหม่ วันนี้วันเกิดลูกสาว ซื้อกล้วยมา 1 หวีสุกพอดี เอาใส่ตะกร้าแทน เป็นการเลี้ยงกะรอกเนื่องในวันเกิดลูกสาว ได้ผล เขามากินจนพุงกางไปเลย

เอ น้องหมาตายไปสี่เดือนแล้ว ท่าจะมาเลี้ยงกะรอกแทนซะแล้ว….อิอิ อิอิ


สลัด ไม่อร่อย

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 23, 2012 เวลา 22:00 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1429

วันก่อนบินจากขอนแก่นไปสุวรรณภูมิ แวะซื้อผักสลัดและน้ำสลัดที่ร้านโครงการหลวง ผักสลัด 3 มัดใหญ่ น้ำสลัด 1 ขวดทำจากฟักทอง สามวันที่อยู่ กทม. ไม่เมล็ดข้าวตกถึงท้องสักเม็ด กินแต่ผักสลัด ยังเหลือให้ลูกสาวกินอีก อร่อยมาก

 

ขึ้นขอนแก่น ติดใจ ตกเย็นไปเดินซื้อผักสลัดในตลาดบ้านหนองใหญ่ ที่ใครต่อใครที่ชอบอาหารแบบบ้านๆ ต้องมาเดินที่ตลาดนี้ ผมซื้อผักสลัดสวย สามต้นใหญ่ จ่ายตังค์แล้ว ถามว่าผักสลัดนี้ปลูกที่ไหน…พ่อค้าหนุ่ม ตอบว่ามาจากประเทศจีนครับ… ผมถามใหม่อีกครั้ง พ่อหนุ่มก็ตอบเหมือนเดิม ผมถามใหม่อีก มีหลักฐานไหมว่ามาจากจีน เขาชี้ไปที่กล่องโฟมที่มีภาษาจีนกำกับอยู่ข้างกล่อง….????

 

ยาหยีที่บ้านเตรียมทุกอย่างสำหรับมื้อเย็น แน่นอนมีสลัดผักที่ซื้อมาด้วย ระหว่างที่เริ่มลงมือกิน เธอบอกว่า ผักสวยจังซื้อมาจากไหน ผมบอกว่าที่ตลาดหนองใหญ่ เลยเล่าเรื่องที่พ่อค้าหนุ่มบอกว่ามาจากประเทศจีน

 

เท่านั้นเองอาหารไม่อร่อยเลย จืดชืดไปหมด เพราะเธอบอกว่า คราวหลังอย่าซื้อมาอีก นี่มากี่วันแล้วกว่าจะมาวางขาย มียาเคมีกี่ชนิดที่ใบสวยๆนี่ …..

 

เป็นอาหารเย็นมื้อที่ไม่อร่อยเลยครับ…. อิอิ อิอิ…


บันทึกวันโลกแตก..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 22, 2012 เวลา 9:00 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1299

ไม่กี่วันที่ผ่านมา อดีตเลขานุการสำนักงานของผมมาเยี่ยม เธอคุยเก่งเหมือนเดิม เธอตัดสินใจลาออกจากงานสมัยนั้นเพราะต้องการให้เวลากับบุตรคนที่สองที่ไม่ค่อยแข็งแรง จะได้ให้เวลามากๆกับเขา สามีเธอเป็นวิศวกรประจำเทศบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เคยร่วมงานกับผมสมัยทำงานกับกรมชลประทานเมื่อสิบปีก่อน

ชีวิตสมัยนี้ต้องมีเงิน ยิ่งเป็นคนสมัยใหม่ไม่ได้ปลูกผักหรือทำสวนครัว ก็ต้องดิ้นรนไป เธอให้สามีทำงานที่ขอนแก่นต่อแต่เธอกลับบ้านที่จังหวัดรอยต่อภาคเหนือกับภาคอีสาน ในที่ดินเล็กๆที่ได้รับมรดกจากบุพการีนั้น เธอตัดสินใจทำห้องพักเล็กๆ 5 ห้อง อาศัยสามีมีความรู้เรื่องการก่อสร้าง เอาพี่สาวมาช่วยงานครัว จ้างแรงงานเพิ่มเติมมาทำอิฐเผาขายด้วย พร้อมกับ เอาบุตรชายให้หมอดูแลใกล้ชิด ทั้งหมดต้องกู้เงินเขามา กิจการก็พอไปได้ แม้จะเหนื่อยก็ยอม

แล้วโชคชะตาเอื้อให้ เมื่อทราบข่าวว่ามีตำแหน่งวิศวกรโยธาว่างที่เทศบาลเมืองนั้น สามีจึงรีบส่งใบสมัครและปรึกษากับเจ้านายเพื่อขอย้ายไปลงที่ตัวจังหวัดนั้นทันที ครอบครัวดีใจที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน จะได้สร้างครอบครัวให้ก้าวหน้า มั่นคง จะได้ช่วยดูแลบุตรชายที่ไม่ค่อยสบายบ่อย

ทุกอย่างราบรื่น ที่ทำงานใหม่ยินดีรับ …. แต่ความมืดก็เข้ามาปกคลุมชีวิตทันที รอยยิ้มกลับกลายเป็นความเครียดและหมกมุ่น ความยินดีปรีดากลับกลายเป็นความกังวลหมองหม่น เธอเล่าให้ผมฟังว่า …..พี่..ท่านนายกที่ทำงานเดิม……เรียกสามีไปพบว่า หากจะย้ายออกไปก็ทำได้แต่ต้องเอาเงินมาวาง 4 แสนบาท…

ความหวังดับวูบลง จะเอาเงินที่ไหนไปให้เขาล่ะคะ แค่วันวันก็หมุนเงินแทบขาดใจแล้ว เธอน้ำตาไหลริน เธอเล่าต่อว่า หนูก็พยายามหาลู่ทาง พบว่า ท่านนายกคนนี้สนิทและเกรงใจนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยเป็นใหญ่ที่ขอนแก่น เผื่อพี่จะรู้จักท่านจึงอยากให้พี่ช่วยหน่อย……

โธ่ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หน้าผมมืด บอกไม่ถูกคิดไม่ออก

เข้าใจ เห็นใจ เจ็บแทนและชิงชังสังคมเช่นนี้ ตลอดชีวิตผมที่เดินทางทางนี้ก็เพราะเรื่องเหล่านี้แหละ ผมไม่รับราชการก็เพราะเรื่องทำนองนี้ ผมเป็น Freelance ก็เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นอิสระชน ก็เรื่องชิงชังสังคมทรามเช่นนี้ พรรคพวกผมมีครับ มีมากด้วย แต่เป็นชาวบ้าน ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีตำแหน่ง แต่มีข้าวปลาอาหาร มีน้ำใจมีความเคารพนับถือด้วยใจกัน…..

น้องลากลับไปด้วยความผิดหวัง และทิ้งความเจ็บไว้ที่ผมอีกคน

ก่อนลาโดยไม่ได้อะไรไปจากผมนอกจากกำลังใจ…เธอกล่าวว่า พี่…หนูกลัวค่ะ หนูกลัวสามีหนูเขาจะบ้า ระเบิด.ขึ้นมาเอาปืนไปยิงนายก…คนนั้นตาย หนูเฝ้าปลอบใจว่าสู้ๆนะพ่อ เราคงมีทางหรอก….ค่อยๆหาทางกันไป

คนธรรมดา ครอบครัวใหม่ที่มีบุตรสองคน เจ็บป่วย ดิ้นรนด้วยสุจริต ทำมาหากินไปตามลู่ทางที่เปิดโอกาสให้ แล้วต้องเผชิญเงื่อนไขสังคมเช่นนี้ มันเจ็บ มันแค้น..เหมือนแรงกดดันที่ไม่มีทางออก….

ผมทบทวนเรื่องนี้หลายวันว่าจะช่วยน้องอย่างไรดี…. ทบทวนเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ภาวนาว่า เข้มแข็งไว้นะเธอ ปลอบปละโลมเธอด้วยวาจา กำลังใจที่พี่มอบให้กับน้อง…สาปแช่ง..มันผู้นั้น..

จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานทางสังคมของยุคสมัย..วันโลกแตก

แต่มันจะแตกด้วยเรื่องเหล่านี้นี่แหละครับ


แนะนำป่าห้วยขาแข้ง

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 21, 2012 เวลา 15:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2593

แนะนำห้วยขาแข้ง

เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแถบร้อน (Tropical Climate) และกึ่งร้อน (Subtropical Climate) ได้มีการแบ่งฤดูกาลตามปริมาณฯฝนออกเป็น 2 ช่วง คือ ฤดูแล้งที่เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่มีอากาศร้อนที่สุด โดยมีอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 39 องศาเซลเซียส และเดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำที่สุด ส่วนฤดูฝนอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดถึง 370 มิลลิลิตร ปริมาณน้ำฝนที่ตกโดยเฉลี่ยในพื้นที่คือ 1,552 มิลลิลิตรต่อปี ช่วงอากาศหนาวเย็นจะปรากฏเพียงช่วงสั้นๆในเดือนธันวาคมและมกราคม โดยอุณหภูมิต่ำสุด 0 องศาเซลเซียส จะพบในบริเวณยอดเขา อุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่อปีคือ 24.4 องศาเซลเซียส


สังคมพืชที่เด่นของพื้นที่ได้แก่ ป่าผสมผลัดใบหรือป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) ป่าเต็งรัง (Deciduous Forest) ป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) และยังพบว่ามีสังคมพืชกลุ่มย่อยที่น่าสนใจปรากฏอยู่ เช่น สังคมพืชดอนทรายริมลำห้วยสังคมพืชผาหิน กลุ่มไม้สนเขา เป็นต้น


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นป่าผืนใหญ่มีเนื้อที่ 1,737,587 ไร่ หรือ 2,780.14 ตารางกิโลเมตร มีแนวเขตติดต่อกับพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ คือ ทิศเหนือติดต่อกับอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ทิศตะวันตกมีแนวเขตเชื่อมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ทุ่งใหญ่นเรศวร ส่วนทิศใต้ติดกับอุทยานแห่งเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติพุเตย เมื่อพิจารณาตามการแบ่งเขตการปกครอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจะมีพื้นที่อยู่ในพื้นที่ของอำเภอบ้านไร่และอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก


ภูมิประเทศภายในพื้นที่ประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนโดยมี “ยอดเขาปลายห้วยขาแข้ง” ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพื้นที่เป็นยอดเขาที่มีความสูงที่สุดคือ 1,678 เมตร มี “ลำห้วยขาแข้ง” ที่มีความยาวราว 100 กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี ไหลพาดผ่านกลางพื้นที่ทำให้เกิดที่ราบทั้งสองฝั่งของลำห้วย โดยปลายทางจะไหลลงสู่ลำน้ำแม่กลอง ส่วนแหล่งน้ำที่มีประโยชน์ต่อการทำการเกษตรกรรมของเกษตรกรในจังหวัดอุทัยธานี เกิดจากแนวเทือกเขาสูงทางด้านทิศตะวันออกของพื้นที่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำห้วยทับเสลา ลำห้วยคอกควาย และลำห้วยน้ำวิ่งโดยลำห้วยเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำสะแกกรังก่อนที่จะไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาต่อไป

(ข้อมูลทั้งหมดมาจากหนังสือชื่อ เสือ Now or Forever โดย ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ซิ้มเจริญ อัจฉรา ซิ้มเจริญ สมโภชน์ ดวงจันทราศิริ ถ่ายภาพโดย ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ)



Main: 1.1505799293518 sec
Sidebar: 0.28710913658142 sec