ศรัทธาของเมียนมาร์ต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ

อ่าน: 1802

ยังค้างการเขียนไปเที่ยวเมียนมาร์อีก 1 ตอน คือการไปเที่ยวพระธาตุอินแขวน ที่น่าประทับใจยิ่งของผม เพราะ การเดินทางลำบาก(แต่ชอบ) และเห็นพลังศรัทธาของพี่น้องประชาชนเมียนมาร์ที่แห่กันขึ้นไปสักการะมหาเจดีย์พระธาตุอินแขวนที่อยู่บนยอดดอยสูงนั้น


รถแอร์ที่พาเราเดินทางจากเมืองหงสาวดีไปเข้าเขต Mon state ข้ามแม่น้ำหงสา แม่น้ำสโตง ไกด์โจก็เล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระแสงปืน ว่าไม่น่าที่จะเกิดขึ้นจริงเพราะความกว้างของแม่น้ำนั้นมากกว่าระยะทางประสิทธิภาพของปืนสมัยนั้นจะยิงข้ามได้อย่างแม่ยำ และไม่มีบันทึกเรื่องนี้ในประวัติศาสตร์เมียนมาร์และโปรตุเกส เราไม่ถกเถียงในเรื่องนี้เพราะเราไม่มีหลักฐานมาโต้ตอบกัน ก็แค่รับฟังไว้

รถแอร์พาเรามาปล่อยที่ตลาดแห่งหนึ่งเป็นท่ารถที่ใช้เดินทางขึ้นพระธาตุอินแขวนโดยเฉพาะ เป็นรถ 6 ล้อ ที่นั่งอยู่ด้านหลังดังรูปนั่น เขาอธิบายว่ารถนี้มีพลังแรงเหมาะสมใช้ปีนเขา ซึ่งมีความชันและโค้งไปมามากมาย ถนนก็ไม่กว้าง การเดินทางไปก็ต้องเป็นแบบวิ่งไปพร้อมๆกันทีละหลายๆคัน แล้วก็ไปหยุดกลางทาง เพื่อรอให้รถขาลงซึ่งลงมาทีละหลายๆคันเช่นกัน มิให้สวนรกันกลางทาง ผมว่าดีนะ ลดอุบัติเหตุ การเดินทางเราจะไปพักบนยอดดอยใกล้พระธาตุอินแขวน 1 คืน เราต้องเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเล็กไป ซึ่งทางบริษัททัวร์จะจัดเตรียมกระเป๋าเล็กนั้นให้เราคนละใบ


เมื่อรถหลีกกันแล้วก็เดินทางต่อไป แต่จะไม่ขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดนั่น จะจอดระหว่างทาง แล้วปล่อยสมาชิกเลือกว่าจะเดินขึ้นไปจนถึงยอดนั้น หรือจะนั่งเสลี่ยง 4 คนแบกขึ้นไป มีประชาชนท้องถิ่นรับจ้าง ไกด์ โจ สนับสนุนให้เรานอนเสลี่ยง เพราะเป็นการส่งเสริมอาชีพนี้แก่ประชาชนท้องถิ่น เขาก็จัดให้เราหมดเพราะบวกเข้าไปในราคาทัวร์แล้ว



ช่วงนี้เราหัวเราะกันใหญ่ เพราะ หัวหน้าทัวร์จะแจกเบอร์แก่ทุกคน ให้เดินหาลูกหาบที่เขาก็มีเบอร์ของเรา วุ่นวายแต่สนุก เหมือนเกมส์หาคู่ เมื่อเจอกันแล้วก็ดีใจและหัวเราะกัน เพราะว่า ลูกหาบเขาหวังว่าคู่ของเขานั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เบา แบกสบาย แต่เขามาจับคู่กับผม รูปซ้ายมือนั่นไงครับ เป็นเด็กหนุ่มเห็นผมเข้าก็หัวเราะ ขำ เอามือเกาหัว นัยว่า “ซวยแล้วกู ตัวใหญ่เบ่อเริ่มเลย”…ก๊ากสสส

เขาเดินเป็นจังหวะ แกว่งแขนเป็นจังหวะพร้อมกัน เมื่อเจ็บบ่าจะเปลี่ยนก็นัดกันเปลี่ยนทีละสองคนคู่หน้า คู่หลัง แบบคนขึ้นภูเขานั่นไม่ใช่ของเล่น ต้องพักสี่ครั้ง ห้าครั้ง แล้วแต่ลูกหาบ ไกด์ เตือนเราว่าเขาจะเรียกเงินบาทของเราเป็นการทิพ… ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เราก็สงสารเขาอยากจะให้ แต่บอกเขาว่าขอให้ช่วงขาลงก็แล้วกัน

มีโรงแรมสองสามแห่งข้างบนยอดดอยนั้นครับ พอใช้ได้ ผมนึกถึงดอยตุง แบบนั้นครับ อากาศเย็น เห็นทิวทัศน์ไกลสุดแดน


ไกด์ โจจะเล่าประวัติความเป็นมาของพระธาตุอินแขวน ยาวเหยียด มีความสำคัญหนึ่งในห้าแห่งของเมียนมาร์ ผมไม่บอกครับว่าที่เหลือมีอะไรบ้าง อิอิ

ผมประทับใจ ผู้คนมากมายมากราบ มานอนค้างบนลานวัดข้างบนนี้ หอบที่นอนแบบง่ายๆมา ทั้งหนุ่มสาว เยาวชน คนแก่คนเฒ่า ยังกะมีงานวัด แต่นี่ไกด์โจบอกว่า ปกติเป็นเช่นนี้ทุกวัน นี่คือความศรัทธาสูงสุดที่ชาวเมียนมาร์ฝันว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมากราบพระธาตุอินแขวน

ทำไมต้องนอนค้าง  ก็เพราะความศรัทธาซึ่งเชื่อกันว่า หากปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานกับพระธาตุและไปกราบไปปิดทองท่านสามครั้งในหนึ่งคืน ตอนหัวค่ำ ตอนดึกและตอนเช้ามืด นี่เป็นเหตุที่ต้องนอนค้าง และไม่ต้องการเสียเงินเช่าที่พัก นอนที่ลานวัดนี่แหละ เต็มไปหมด ผมว่านับพันคน ที่สำคัญคือ ทุกคืน…?????!!!!!

นี่คือศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธ ผสมผสานกับความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ไกด์ โจ ขยายความว่า เขาเองก็มาอธิษฐานขอให้มีงานทำตลอดไป และอธิษฐานสามครั้งในหนึ่งคืน เขาเล่าว่า กลับลงไปเขามีงานไกด์ตลอด ไม่ได้หยุดเลย เขาเสริมความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิแห่งนี้…

ตอนหนึ่งของประวัติความเป็นมาของก้อนหินที่ลอยเหนือหน้าผาแห่งนี้มานานแสนนานโดยไม่ตกหล่นลงไป เขากล่าวว่า The National Geographic มาพิสูจน์แล้วว่าเป็นหินที่ลอยโดยการเอาวัตถุลอดผ่านฐานก้อนหินนี้ได้ และเป็นหินทะเล..????? แต่มาอยู่บนยอดเขา ซึ่งตรงกับประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าของเมียนมาร์มาช้านานว่าเป็นหินที่เอามาจากมหาสมุทร…

จริงๆเรื่องนี้ผมไม่แปลกใจ เพราะเคยมีกรณีเช่นเดียวกัน ปรากฎการณ์ต่างๆคล้ายๆกันที่หิน หอย หรือซากฟอซซิลบนยอดเขานั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิตในอดีตที่อยู่ในทะเลมาก่อน แต่ที่มาอยู่บนยอดเขานั้นนักธรณีวิทยามีคำอธิบายมากมายครับ

การไหว้พระธาตุนั้นห้ามสตรีเข้าไปด้านใน อยู่แต่วงนอก หากจะปิดทองต้องฝากผู้ชายเข้าไปปิด ผมเองก็เข้าไปปิดทอง และช่วยไกด์โจ ที่รับแผ่นทองของเพื่อนทัวร์สตรีมาติดกำเบ่อเริ่ม ผมติดอยู่พักหนึ่งก็ร็สึกว่า หินที่เราติดนั้นอ่อนนุ่ม…เมื่อเอานิ่วมือกดลงไปเพื่อให้แผ่นทองติดแน่นกับหินฐานเจดีย์ ก็รู้สึกได้ว่านุ่ม อธิบายได้ว่ามีแผ่นทองมาติดจำนวนมากมายมหาศาล ทับลงไปทุกวันทุกคืนทุกเดือนทุกปีนานนับร้อยๆปีมาแล้ว เหมือนกับพระพุทธที่เมืองพะโค ที่ขึ้นชื่อว่าตัวพระท่านนิ่ม ก็เพราะเหตุเดียวกันคือความศรัทธาที่มหาชนเมียนมาร์และชาวต่างชาติมากราบไหว้และเอาแผ่นทองมาบูชา ปิดทับมากมายมหาศาลนานแสนนานมาแล้ว จึงหนามากๆจึงเป็นเหตุทำให้องค์พระพุทธรูปนิ่ม ไปเสริมความเชื่อ ความศรัทธามากขึ้นไปอีกถึงอภินิหาร….

ผมไม่วิจารณ์ในเรื่องเหล่านี้ แต่ตรงข้ามผมส่งเสริม เพราะการทำเช่นนี้มัยผูกพันไปถึงการพยายามปฏิบัติตัวที่อยู่ในเส้นทางศาสนา ซึ่งเป็นฐานที่สำคัญแห่งการอยู่ร่วมกัน ส่วนการก้าวข้ามไปนั้นเป็นอีกขั้นหนึ่งของการเข้าถึงธรรม ก็เป็นปัญญาของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ผมเห็นมหาศรัทธาของประชาชนเมียนมาร์ต่อศาสนสถาน ของเขา

เอ ยังมีอีกตอนนา ที่น่าเขียนถึง ฤษี ในเมียนมาร์…เก็บเอาไว้ก่อนนะ…


จากย่างกุ้ง ไป เนปิดอ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 15, 2012 เวลา 9:31 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 2302

ไกด์ โจ เล่าให้ฟังว่า การย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปที่ เนปิดอ นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เพราะรัฐบาลไม่เคยแพร่งพรายให้ประชาชนทราบมาก่อน ไม่มีการรับฟังความเห็นเหมือนในไทยหรืออื่นๆ เพราะเป็นรัฐบาลทหาร จู่ๆ รัฐประกาศว่าย้ายเมืองหลวงไปเนปิดอ ก็ย้ายเลย


มีการค้นหาเหตผลว่าทำไม…

โจ เล่าว่า มีผู้อธิบายว่าเพราะรัฐบาลเมียนมาเกรงอเมริกาหากเกิดความขัดแย้งหนัก ก็จะเอากองทัพเรือมาบุกปากอ่าวแล้วยึดประเทศได้โดยง่าย บางเหตุผลก็ว่าที่ เนปิดอ มีทำเลที่เหมาะสมหากมีสงครามก็สามารถต่อสู่ได้เพราะ เนปิดอ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขากว้างใหญ่ การเอากองกำลังไปตั้งไว้ตามยอดเขาต่างๆรอบเมืองก็สามารถต่อสู่ศัตรูได้ โดยเฉพาะการสู้รบโยเครื่องบิน แต่เหตุผลที่รัฐอธิบายต่อสาธารณะคือ ที่ย่างกุ้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถสร้างตึกสูงได้เพราะจะไปสูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งประชาชนไม่ยอม


แต่โจสรุปว่า ทุกเรื่องที่กล่าวมานั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายแก่สาธารณะโลก แต่เบื้องหลังนั้นรัฐบาลทหารเชื่อหมอดู ที่แนะนำให้ย้ายเมืองหลวง…? (เท็จจริงอย่าไรนั้น ผู้สนใจอาจค้นคว้าต่อไป)

ในทางสังคมศาสตร์นั้น เราเรียนรู้กันถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป แต่มักมีซ่อนอยู่ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ปากก็บอกว่าตัวเองเชื่อในเรื่องเหตุเรื่องผล แต่ที่บ้านยังกราบไหว้สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่คอยังห้อยพระอยู่

ผู้ปกครองจำนวนมากจะรับคนเข้าทำงานยังดูโหงวเฮ้ง เอาวันเดือนปีเกิดไปแอบดู ก่อนตัดสินใจ มีครับมีจริงๆ ยิ่งคนที่มีเงินทองมากๆ มีตำแหน่งสูงๆ ก็ยิ่งกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้นาน ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะมั่งมีต่อไป อยู่ในตำแหน่งต่อไปให้ชั่วฟ้าดินสลายได้ยิ่งดี….

ไกด์ โจ กล่าวว่า นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งต้องการสร้างเจดีย์เสริมบารมีตน เหมือนเจ้าผู้ครองนครในอดีต แต่ชาวบ้านทักท้วงว่า หากไม่ใช่เชื้อเจ้าผู้ครองนคร ไม่ใช่ผู้มีบุญแท้จริงแล้วจะสร้างไม่สำเร็จ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจดีย์ที่สร้างคาราคาซังอยุ่จนปัจจุบันนี้ และนายทหารท่านนั้นก็ถูกจับติดคุกหัวโต เพิ่งจะออกมาจากคุกได้ไม่นานนี้…

ไกด์ โจ กล่าวว่ารัฐบาลไปสร้างเนปิดอ แบบเนรมิตเมืองใหม่ทั้งเมืองขึ้นมา มีตึกใหญ่โต ทันสมัย มีถนนชั้นดี วางแลนดสเคป สวยงาม มีบ้านพักและสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม และสั่งการว่า หน่วยวานรัฐทั้งหมดที่สังกัดรัฐบาลต้องย้ายไปที่ เนปิดอ และข้าราชการทุกคนที่สังกัดนั้นต้องย้ายไปด้วย หากใครไม่ย้ายไปรัฐจะไล่ออกพร้อมกับติดคุก 1 ปี….(ป๊าด…..อะไรจะปานนั้น)


สร้างความโกลาหล อลม่านให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการมากมาย กว่าจะปรับตัวได้ก็ทุรักทุเล เพราะ เงื่อนไขข้าราชการแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนรับราชการ มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ต้องดูแล พ่อแม่ก็ไม่อยากจะย้ายไป บางคนมีลูกเล็ก ครอบครัวมีธุรกิจที่ย่างกุ้งก็ไม่อยากไป บางคนเจ็บป่วยต้องการดูแลรักษาที่ย่างกุ้ง แม้ที่ เนปิดอจะมีโรงพยาบาลใหม่ แต่คุณภาพหมอยังสู้ที่ย่างกุ้งไม่ได้..ฯลฯ แต่ไม่ไปโดนไล่ออกและติดคุก

นี่คือรัฐบาทหาร เผด็จการ เด็ดขาด

น่าจับตาเมียนมาร์จริงๆ กำลังจะเป็นประธานอาเซี่ยน กำลังจะจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ กำลังจะมีรัฐบาลใหม่ที่มี ออง ซาน ซู จี เป็นหัวหน้า เป็นรัฐที่มีทรัพยากรพลังงานมาก ป่าไม้ ทองคำ หยก และมีชายแดนติดกับ อินเดีย จีน แค่สองประเทศก็มีตลาดมากกว่าครึ่งของอาเซียน เป็นประเทศเดียวในอาเซี่ยนที่มีพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็ง หิมะ คือส่วนเหนือของประเทศ กำลังทุ่มสร้างสาธารณูปโภคอย่างหนัก

ไทยเรามองเวียตนามว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่หลายอย่างเขาก้าวเลยไปแล้วทั้งๆที่เขาเผชิญสงครามมานานมาก ทางตะวันตก ไทยกำลังมีคู่แข่งที่สำคัญคือเมียนมาร์อีก

ไทยเรายังทะเลาะกันไม่จบ ยังควานหาการปรองดอง ไม่พบ

การไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับถอยหลัง


ทำไมชเวดากองไม่เป็นมรดกโลก..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 14, 2012 เวลา 21:47 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 3094

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมียนมาร์นั้นมีชนเผ่ามอญครอบครองมาก่อนพุทธกาลถึง 2400 ปี เรียกอาณาจักรสุวรรณภูมิ นับถือศาสนาพุทธ เถรวาท 92.3% ระหว่างเดินทางนั่งในรถผ่านตัวเมืองย่างกุ้ง เราเห็นพระเณร ออกมาบิณฑบาต โจ รีบอธิบายว่า พระไทยฉันท์สองมื้อ บางสำนักหรือบางรูปฉันท์มื้อเดียว และบิณฑบาต ตอนเช้าเพียงครั้งเดียว แต่ที่เมียนมาร์พระฉันท์สองมื้อเหมือนกัน บางรูปบางองค์ ฉันท์มื้อเดียว แต่บิณฑบาตสองครั้งคือมื้อเช้าและมื้อก่อนเที่ยง อย่างที่เห็นพระเดินริมถนนนั้น คือออกมาบิณฑบาตมื้อก่อนเที่ยง

ผมคิดไปว่า หากผมเป็นนกบินผ่านกรุงเทพฯ นกตัวนี้ก็จะเห็นแต่ตึกรูปทรงแท่งมากมาย แล้วก็เห็นวัดบ้าง แต่หากนกตัวนี้บินไปที่ย่างกุ้ง สิ่งที่ดึงดูดตาให้มองเห็นเด่นชัดเจนคือมหาเจดีย์ชเวดากอง และเจดีย์อื่นๆ รวมทั้งวัด ตึกนั้นไม่เด่นที่จะมอง วัดและเจดีย์ เขาตกแต่งสวยงามอย่างกับพระราชวัง เจดีย์ที่ศักดิสิทธิ์บางแห่งมุมมองของผมนั้นแต่งสวยงามมากกว่าพระราชวังเสียอีกทุกกระเบียดนิ้วจะต้องมีศิลปะที่ทา หรือลงรัก ปิดทอง หรือหุ้มด้วยทองแท้


แสดงถึงความศรัทธาต่อศาสนาพุทธ ความยิ่งใหญ่ของผู้อุปถัมภ์ และการร่วมแรงร่วมใจของมหาประชาชนที่มีต่อศาสนสถานนั้นๆ ทุกคนจะไม่ใส่รองเท้าเข้าวัด หรือมหาเจดีย์ จะกองอยู่ที่ประตู หลายแห่งจะมีคนเฝ้าให้ หรือรับจ้างเฝ้า คณะทัวร์นั้น ไกด์บอกแล้วว่ามาเมียนมาร์ต้องเที่ยววัด และต้องใส่รองเท้าแตะ หรือประเภทที่ถอด ใส่ได้ง่าย ผมเองไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะ ก็ต้องถอดถุงเท้ารองเท้าไว้ที่รถ แล้วเดินเท้าเปล่าไปชมวัด หรือเจดีย์ เป็นเช่นนี้ทุกแห่ง เจ้าของทัวร์เข้าใจคนไทยดีจึงจัดผ้าเช็ดหน้าเย็น แต่เอามาเช็ดเท้าทุกครั้งกลับขึ้นรถ

วัฒนธรรมไม่ใส่รองเท้าใดๆเข้าวัดนั้นมีมานานทั้งบ้านเราและแถบแหลมทองนี่ แต่ที่เมียนมาร์ดูจะเคร่งครัดมาก ผมสังเกตมีคนคอยยืนดูคณะทัวร์ทั้งหลายว่าปฏิบัติตามวัฒนธรรมนี้หรือไม่ โจกล่าวว่าเรื่องถอดรองเท้านี้ฝรั่งไม่เข้าใจและไม่ยอมปฏิบัติตาม สมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองเมียนมาร์นั้น ไม่ปฏิบัติจึงมีพระเมียนมาร์รูปหนึ่งประท้วงอังกฤษโดยการอดอาหาร และประชาชนเกิดการสนับสนุนการกระทำของพระรูปนี้มากขึ้น จนในที่สุดฝรั่งอังกฤษจึงยอมทำตามคือถอดรองเท้าทุกครั้งที่เข้าวัดและเจดีย์


ต่อมาพระรูปนี้ได้ถูกสร้างเป็นอนุสาวรีย์และติดตั้งไว้ที่วงเวียนจราจรใกล้กับเจดีย์ ชเวดากอง

คณะของเราเข้าชมมหาเจดีย์นี้เราพบว่ามีทัวร์กลุ่มอื่นๆมากันหลายกลุ่ม มีทั้งฝรั่งที่มาแบบเที่ยวกันเอง แต่ที่มากที่สุดคือประชาชนเมียนมาร์เอง เขาเอาลูกหลานมาด้วย เขามากราบ ที่ผมเรียกว่ากราบแบบหมอบราบคาบแก้ว กราบด้วยความศรัทธาเป็นที่สุด ผมเห็นเช่นนั้น พวกเราเองต่างหากที่ยังเก้ๆกังๆ นัยกลัวเปื้อน ยังตะขิดตะขวนใจที่จะนั่งลงที่พื้นเจดีย์ แต่ประชาชนเมียนมาร์นั้น เขาจะนั่งลงกราบตรงไหนก็ได้ที่เขาตั้งใจจะกราบ


ผมชื่นชมพื้นเจดีย์ เขารักษาความสะอาดได้ดีมากๆ ผมเห็นประชาชนหลายท่านนั่งลงทำสมาธิตรงไหนๆก็ได้ เพียงคนเดียว สองคน หรือเป็นกลุ่มสี่ห้าคน ผมเห็นบางท่านนั่งลงแล้วกางหนังสือสวดมนต์ ท่องบ่นไปเพียงคนเดียว ที่เป็นกลุ่มก็มี แต่มักจะไปนั่งรวมกันตามศาลาที่มีรอบเจดีย์ที่จุคนได้สัก 10-20 คน เสียงสวดมนต์ดังลั่น ผมมองเข้าไปเห็นแต่คนหนุ่มคนสาว..? ผมเห็นพ่อแม่ลูกมานั่งลงล้อมวงกินข้าวกัน แปลกมากครับ แต่ดี

ไกด์ โจ ได้บรรยายไว้ก่อนแล้วว่า รอบเจดีย์นี้จะมีพระประจำวันเกิด แล้วอธิบายว่าคนเมียนมาร์นั้นชอบมาทำบุญกราบพระประจำวันเกิดแล้วทรงน้ำพระประจำวันเกิดนั้นเท่ากับอายุบวกหนึ่ง ทางคณธทัวร์เราฮือฮากันใหญ่เพราะ คุณลุงคุณป้าที่มาด้วยนั้นอายุท่าน 70 เศษเข้าไปแล้วจะทำอย่างไร มิต้องตักน้ำทรงพระนานเป็นชั่วโมงเลยหรือ โจ ก็บอกว่า ส่วนใหญ่จะใช้วิธีระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ใช้เพียงสามขันน้อยๆก็ได้


บางพื้นที่มีลานกว้าง มีการฉายวีดีทัศน์ เท่าที่ยืนดูรูปในวีดีทัศน์นั้น เข้าใจว่าเป็นการเล่าถึงการขุดค้นพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การเล่าถึงประวัติศาสตร์ มีชาวเมียนมาร์มานั่งฟังกันมากขึ้น มากขึ้น ผมชอบวิธีการแบบนี้จัง ใช้สถานที่ศักดิ์สิทธินี้ส่งต่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ให้กับประชาชน

มีแต่ความอิ่มเอิบ ปลื้ม ที่ได้มากราบเจดีย์ชเวดากองศาสนสถานทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ความจริงผมว่าพระธาตุนครปฐมของเรานั้นใหญ่กว่า แต่ความอลังการ์นั้นอาจจะด้อยกว่า และกิจกรรมต่างๆนั้นอาจจะน้อยกว่า ผมไม่ได้ไปกราบพระธาตุนครปฐมมานานแล้วจึงไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นเช่นไรบ้าง

เมื่อเราเดินทางกลับ โจเล่าให้ฟังว่า มีคณะรัฐบาลทหารบางคนพยายามผลักดันให้เจดีย์ชเวดากองนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก กับยูเนสโก แต่แล้วเกิดการวิภาควิจารย์กันมากมายโดยท่านที่ไม่เห็นด้วย ลามลงไปถึงประชาชน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น และในที่สุดรัฐบาลเมียนมาร์ต้องขอถอนชื่อออกจากการเสนอให้เป็นมรดกโลก


เหตุผลที่สำคัญคือ “คณะกรรมการมรดกโลกต้องเข้ามาดูแลเจดีย์สิ่งศักดิสิทธ์นี้ เป็นฝรั่งมังค่าที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่ได้มีความศรัทธาในศาสนาพุทธ เขาจะปฏิบัติก็ในนามที่เป็นวัตถุเท่านั้น แต่ปวงชนประเทศนี้ศรัทธาศาสนสถานนี้ด้วยใจ ด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกภายในที่ฝรั่งไม่มี ด้วยความศรัทธาสูงสุด แล้วเช่นนี้จะยกให้เขามาดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธินี้ได้อย่างไร เราชาวเมียนมาร์ดูแลเองได้ และดูแลได้ดีด้วย”

โฮ สุดยอดจริงๆ……..สุดยอดจริงๆ



Main: 0.067859888076782 sec
Sidebar: 0.3115930557251 sec