สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)
อ่าน: 1673สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)
หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ต่างไม่ทำหน้าที่ของตน ปล่อยปละละเลยเรื่องไฟติดรถ และ ไฟริมถนน … ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เรื่องเดียวน่าจะส่งผลถึงร้อยละ 50 ของอุบัติเหตุทั้งหมด (ผมเคยได้ยินแว่วๆ ว่าการมองไม่เห็น ไม่ชัด เป็นสาเหตุอุบัติเหตุถึง 70% ด้วยซ้ำไป)
เรื่องรถไฟตาบอด หรือไฟไม่สว่างพอนั้นไม่ต้องพูดถึง มีมากหลายทั้งรถยนต์ มอไซค์ รถเข็น รถพ่วงข้างมอไซค์ อีแต๋น ซี่งก่ออบห.ได้มาก แต่รถที่มีไฟที่ติดดี แต่ติดไฟผิด ซึ่งทำให้แยงตารถคันอื่นและก่ออบห. ก็มีมากหลาย
ที่เห็นมากที่สุดคือไฟตาหน้ารถสูงเกินไป ทำให้แยงตารถที่สวนมา ซึ่งไฟหน้านี้สูงได้ด้วยสามสาเหตุคือ หนึ่ง รถบรรทุกของหนักด้านท้าย ทำให้ท้ายต่ำหน้าสูง สองไฟหน้ารถไม่ได้รับการปรับแต่งตำแหน่งให้ถูกต้อง และสามเจ้าของรถจงใจปรับไฟให้สูงขึ้น เพื่อมองเห็นได้ไกลขึ้นโดยไม่สนใจสวัสดิภาพผู้อื่น
ผมเคยเอารถไปตรวจ ตรอ. (สถานตรวจรถเอกชน) เพื่อต่อทะเบียน แล้วผมขอให้เขาช่วยแต่งไฟหน้ารถให้ด้วย เขาบอกผมหน้าตาเฉยว่าตั้นแต่เปิดกิจการมาได้ประมาณสิบปี ผมเป็นคนแรกที่ขอให้ปรับไฟหน้ารถ
แต่เขาก็ยอมรับว่าทางกรมฯเขาก็บัญญัตินะว่าในการตรวจ ตรอ. ให้ตรวจไฟหน้ารถด้วย …ปรากฎว่าร้านนี้ก็มีเครื่องตรวจวัดไฟหน้าว่าสูงไปหรือไม่กะเขาด้วย (คงมีเอาไว้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานกรมฯตอนเปิดร้านเท่านั้นเอง จากนั้นไม่ได้ใช้อีกเลย) แต่พนักงานไม่มีความรู้ในการปรับแต่งไฟ พวกเขาปล้ำแต่งไฟหน้ารถผมกันอยู่นานประมาณครึ่งชม.ก็ก็ไม่สำเร็จ (ทั้งที่ควรใช้เวลาประมาณ 5 นาที) ในที่สุดผมทนรอไม่ไหว ประกอบกับกลัวว่าไฟตาผมมันจะบิดเบี้ยวไปกว่าเดิมมากกว่านั้น จึงบอกพวกเขาว่าต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยววันหลังไปหาทางปรับแต่งเอาเองก็ได้ (ซึ่งผมว่าผมแต่งเองได้ไม่ยากนักหรอก แต่ต้องการถนนจริงที่ว่างๆ ในเวลามืดๆ)
ที่ usa รถต่อทะเบียนแม้เป็นรถใหม่ก็ต้องวัดไฟหน้าเสมอ เพราะของพวกนี้มันคลาดเคลื่อนได้ตามอายุกาการใช้งาน ไฟหน้าที่สูงแยงตาผู้อื่นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะทำให้ตาพร่าและลดวิสัยทัศน์ในการขับขี่
ไฟแยงตาที่หนักหนามากอีกอย่างคือ ไฟตัดหมอก ซึ่งส่วนใหญ่ 99.9% ประเทศไทยเราไม่มีหมอก ถึงมีบ้างก็หมอกบางๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ประการใด แต่นั่นแหละคนไทยเรามักเป็นนักบริโภคที่โง่และบ้าเห่อเสมอ..เห็นเขามีเราต้องมีกะเขาบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนดูถูกหรือไม่ได้รับคำชม และพอติดแล้วก็ต้องเปิดไฟตัดหมอกให้เขารู้ด้วยว่า “กรูก็คนมีสตังค์พอจะซื้อไฟตัดหมอกเหมือนกะมรึงเหมือนกันนะโฟ้ย” (ผมเห็นที่ไรอดภาวนาในใจไม่ได้ว่า ขอให้ไอ้พวกนี้มันมองไม่เห็นซึ่งกันและกันและชนกันให้ตายหมดประเทศคงจะดี อิอิ)
ไฟตัดหมอกนั้นวิศวกรเขาออกแบบไว้ให้ใช้ส่องในระยะใกล้กับหน้ารถมาก และใช้เมื่อขับรถช้ามากยามหมอกลงจัด หรือ มีหิมะตกหนัก พอเปิดไฟนี้แสงมันจะได้ไม่สะท้อนมาเข้าตาเรา อีกทั้งช่วยให้พอมองเห็นระยะใกล้ อีกทั้งให้รถที่สวนมามองเห็นเราและกะระยะเราได้ถูกเนื่องจากแสงไฟมันจะกระจายไปรอบทิศ โดยไม่มีการหักเหสะท้อนกลับเข้าแยงตาตนเองแบบแสงของไฟตารถธรรมดา
แต่การเปิดไฟตัดหมอกในขณะที่ไม่มีหมอกนั้นแทนที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยกลับกลายเป็นการช่วยเพิ่มอุบัติเหตุเพราะมันไปแยงตารถที่สวนมานั่นเอง รวมทั้งส่งผลให้เจ้าคนขับรถเองก็มองเห็นถนนได้น้อยลงด้วยเพราะมันเกิดการสะท้อนแสงจากถนนระยะใกล้มาเข้าตาเจ้าของเสียเอง…นี่มันโง่ยกกำลังสองเลย..เอ้ายกกำลังสามก็ได้คือ มันเปลืองไฟและเปลืองน้ำมันรถมากขึ้นกว่าปกติ (หลอดไฟก็เสื่อมมากกว่าปกติอีกด้วย)
ผมเก็บสถิติบ่อยๆว่าวันนี้รถออกใหม่จะติดไฟตัดหมอกประมาณ 70% ในจำนวนนี้จะเปิดไฟตัดหมอกตอนกลางคืนเสีย 90% ..ผมไม่โทษคนพวกนี้หรอกแต่โทษหน่วยงานของรัฐมากกว่าที่ไม่รณรงค์ให้เลิกใช้กัน หรือใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น แค่เอาป้ายไปติดเตือนตามริมถนนก็ช่วยได้มากแล้ว ดีกว่าเอาภาษีเราไปทำป้ายโฆษณาหน้าผู้กำกับการตำรวจท้องที่ที่นิยมติดกันเกร่อ เพื่อประโยชน์อะไรก็ไม่รู้
อ้อ..มีกฎกระทรวงคมนาคม ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่จำเป็นด้วยนะครับ ไอ้พวกด่านรีดไถเงินกั้นถนนนั้น ถ้ารีดไถไอ้พวกนี้บ้างก็คงดี ขอสนับสนุน
อีกพวกคือพวกไฟซีนอน ซึ่งเป็นไฟตารถที่ให้แสงส่องสว่างมาก เป็นไฟสีขาวออกน้ำเงิน เห็นติดกันประมาณสัก 10% ของรถทั้งหมดเห็นจะได้ ไฟแบบนี้มันดีสำหรับเจ้าของคนขับ แต่มันเลวสำหรับรถที่สวนมา เพราะมันแยงตามาก ใน usa มีการบ่นกันมากในเรื่องนี้ทำให้ไฟซีนอนไม่เป็นที่นิยม (คนขับเขาละอายใจไปเอง ไม่กล้าซื้อมาติด) ส่วนเมืองไทยเราบ่นกันปากฉีกก็คงไม่มีใครฟังหรอก
ว่าไปแล้วการติดไฟซีนอนนั้น ถ้าติดให้ดี ตรงตามหลักวิชาการ มันก็โออยู่หรอก เสียแต่ว่าเมืองไทยเราวิชาการมันต่ำ ก็ติดกันผิดๆ แม้แต่ใน usa ก็ยังติดกันผิด จนคนบ่นกัน จนไม่มีใครกล้าติดกัน ทั้งที่ไม่ผิดกฎหมาย
ไฟสารพัดรูปแบบ ทั้งไฟท้าย ไฟหน้า ไฟหลัง คนไทยเราจะหาซื้อมาติดกันเต็มคันรถไปหมด มีหลากสีไปหมด เช่น ไฟสีเขียวติดท้ายรถ ไฟสีฟ้า สีม่วง มีกระพริบด้วย ไฟราวพราวรอบคัน (โดยเฉพาะรถบรรทุก และรถบัส) ไฟพวกนี้ทำให้สับสน ก็ช่วยเพิ่มอุบัติเหตุอีก และผมเชื่อว่าผิดกฎหมายแน่ๆ
แต่ด่านตำรวจท่านก็กักด่านตรวจดู แล้วก็ปล่อยไปทุกราย ไม่เห็นว่าอะไร..เออแปลกดีประเทศไทย (สงสัยพวกรถ ตร. ก็ติดกะเขาด้วย ..อยากโก้กะเขาบ้าง โก้แบบโง่ๆ กันทั้งประเทศ)
ไฟติดรถก็แย่แล้ว ยังไฟริมถนน และกลางถนนอีกที่แยงตาอีก โดยเฉพาะที่มาจากร้านค้า โรงงานริมทาง ที่ชอบเอาไฟหลากหลายเฉดสีมาติดไว้ให้แยงตาคนขับรถ ไฟพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะบอกว่า ถึงร้าน บริษัท ของฉันแล้วนะ ดังนั้นมันต้องแยงตาให้มากๆ จึงจะเป็นที่สังเกต บางแห่งทำเป็นไฟกระพริบด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือด่านตำรวจเองก็เอากะเขาด้วย มีตั้งแต่ไฟกระพริบ ไฟหมุน สีเหลือง เขียว ขาว ฟ้า จ้ามากจ้าน้อยต่างกันไป บางด่านทำเป็นไฟราว สรุปคือไร้มาตรฐาน จนประชาชนไม่สามารถบอกได้ว่าข้างหน้ามีอะไรแน่ จะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ได้ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุ
เกิดมาเป็นคนไทยใช้ถนน อันตรายรอบด้าน ขับรถมายาวไกลหลายสิบรอบประเทศไทย รอดตายมาเล่าเรื่องได้ในวันนี้ แสดงว่าผมคงทำบุญไว้โขอยู่ (แต่พอเล่าแล้วไประบุความผิดจนท.ผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเขาหมั่นไส้มากๆ ผมอาจจะอายุสั้นก็ได้นะ หึหึ)
…คนถางทาง ( ๙ มค. ๕๕)