วิจารณ์คณะรัฐมนตรีชุดใหม่

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 19 January 2012 เวลา 8:59 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1353

ครม. = คนรอเหมือบ?

 

สมการที่เป็นคำถามของหัวข้อบทความนี้จะถูกต้องหรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่ที่แน่ๆ วันนี้รายชื่อ ครม.ใหม่ออกมาแล้ว  ซึ่งทำให้ผมวิจารณ์ไม่เป็น เนื่องเพราะไม่รู้จักใครเลยว่ามีหัวนอนปลายทรีนมาจากไหน

 

ที่พอเคยได้ยินชื่อบ้างก็นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ  แกนนำเสื้อแดง   ก็พลอยยินดีกะท่านด้วยนะที่ทำงานเข้าตาจนได้ดี  แต่ก็ยังงงอยู่ว่าท่านมีวุฒิ ประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญใด จึงไปนั่งเป็น รมช. เกษตร ซึ่งเป็นกระทรวง”เทคนิค”  เสียด้วย

 

ส่วนรมต.ท่านอื่นๆ ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ (อย่าว่าแต่ผลงาน) พยายามไปค้นหาประวัติท่านเหล่านี้ก็หาไม่เจอในสื่อต่าง ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า สื่อบ้านเรา มันตื้นเขินกันจริงๆ  เรื่องสำคัญที่สุดของประเทศชาติ กลับเสนอข่าวกันแบบสั้นๆ ตื้นๆ แบบนี้เองหรือ ไม่มีการวิเคราะห์เจาะลึกอะไรเลย นอกจากว่าใครเป็นเด็กเส้นของใคร โควตาของส่วนไหน ..(เรื่องแบบนี้สื่อไทยเราเก่งมาก)

 

ในระบบการเมืองไทยเรานั้น นายใหญ่ (คนจ่ายเงินบำรุงพรรค) ต้องการตั้งใครเข้าไปบริหารกระทรวงใดก็ทำกันได้ง่ายๆ เพียงแต่ตะโกนสั่งลงไป  แบบว่าประเทศนี้เป็นของฉันคนเดียว

 

แล้วระบบ “คานอำนาจ” ที่เป็นหัวใจของปชต. หายไปไหน???

 

ที่ usa ก่อนที่ ปธด. จะส่งใครไปเป็น รมต. หรือ ผู้พิพากษาศาลฎีกา  ต้องผ่านการเห็นชอบของสภาสูงด้วย สภาสูงเขาจะซักประวัติ ความรู้ความสามารถกันนาน บางทีนานเป็นเดือน  มีการถ่ายทอดการซักถามให้ปชช. ชมด้วยในช่อง PBS เขาขุดคุ้ยไปหมด ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวในอดีต สมัยเป็นหนุ่มชอบกินเหล้า เคยสูบกัญชา ถูกแฉหมด

 

ผมถึงได้เคยเขียนบทความเสนอมาแล้วว่า ของไทยเราน่าจะ “ลอก” ระบบนี้ของเขามาใช้ เพียงแต่ว่าก่อนอื่นต้องทำระบบสภาสูงของเราให้เป็นกลางด้วย ไม่งั้น “นายใหญ่” ก็สั่งสภาสูงหันซ้ายขวาได้อีกตามระบบแบบไทยๆ เรา

 

ผมได้เสนอว่า สมาชิกสภาสูง ต้อง”ไม่มา” จากการเลือกตั้ง แต่มาจากการกำหนดโดยตำแน่งในองค์กรทางสังคม เช่น องคมนตรี นายกสมาคมวิชาชีพต่างๆ อธิการบดีม.ของรัฐเลือกกันมา 5 คน เป็นต้น  ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้มาจากการเลือกตั้งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งเป็น ปชต. ที่แน่นอนกว่าการเลือกตั้งทางตรงเสียอีก

 

ถ้า “คานอำนาจ” กันระหว่างการเลือกตั้งทางตรงกับเลือกตั้งธรรมชาติ แบบนี้ เราจะมีรมต. ที่มีคุณภาพมากขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยเราเจริญกว่านี้ได้อีกมาก เพราะนักการเมืองคือต้นธารแห่งการพัฒนาสังคม

 

…คนถางทาง (๑๙ มกราคม ๒๕๕๕)


ห้องน้ำประหยัดพื้นที่และพลังงาน

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 19 January 2012 เวลา 8:04 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2145

ห้องน้ำประหยัดพื้นที่ (และน้ำด้วย)

 

งานอดิเรกประการหนึ่งของผมคือการออกแบบบ้าน (ทั้งที่ตัวเองไม่มีบ้านอยู่) ผมว่ามันลับสมองดี บ้านในอุดมคติของผมต้องเล็กที่สุด ทุกตารางมิลลิเมตร ต้องเกิดประโยชน์ใช้สอยสูงสุด

 

ห้องที่ออกแบบสนุกที่สุดคือหัวครัวและห้องน้ำ (กินกะถ่าย อิอิ)

 

ผมไม่ชอบห้องน้ำที่ใหญ่โตมโหฬาร ผมว่ามันให้บรรยากาศที่เวิ้งว้าง ไม่อบอุ่น และเป็นส่วนตัว อีกทั้งเปลืองเนื้อที่ ห้องน้ำของผมจะมีขนาดเพียง 1 เมตร คูณ 70 ซม.เท่านั้นเอง

 

วิธีการคือโถส้วมเป็นแบบนั่งราบ (โถฝรั่ง) แล้วอ่างล้างหน้าก็อยู่หน้าโถนั่นแหละ เวลาใช้อ่างก็ปิดฝาโถ แล้วนั่งใช้อ่างบนฝาโถ (สบายดีเสียอีกไม่ต้องยืน แถมแปรงฟันไปอึไปพร้อมกันก็ยังได้ ทำให้ประหยัดเวลา)  ถ้าจะให้ดีต้องออกแบบฝาโถเสียใหม่ด้วย ให้นั่งสบาย และมีระบบกันน้ำเปียกวงรองนั่งด้านในด้วย

 

จะอาบน้ำพร้อมไปเลยก็ยังได้ เพราะฝักบัวจะห้อยอยู่บนหัว (เลื่อนสูงต่ำได้ด้วยการชักรอก)  เวลาอาบน้ำก็นั่งอาบบนฝาโถนั่นแหละ ซึ่งดีมากที่ทำให้ไม่ลื่นล้ม โดยเฉพาะคนแก่ที่กล้ามเนื้อการทรงตัวไม่แข็งแรง ทำให้ลื่นล้มกันบ่อยๆ   ข้อดีอีกประการคือ เด็กตัวเล็กๆ ก็ใช้อ่างได้ ด้วยการยืนบนฝาโถ

 

สำหรับประตูต้องทำเป็นประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่น หรือให้เปิดออกสู่ด้านนอก (ซึ่งแบบหลังนี้ไม่ดีนัก อาจเกิดอันตรายต่อคนเดินอยู่ด้านนอกได้)  พอเปิดประตูเข้ามาก็สอดขาเข้าใต้อ่างล้างหน้าและนั่งลงบนฝาโถส้วม (ที่เปิดหรือปิดแล้วแต่กรณี)

 

การที่ฝักบัวห้อยอยู่บนหัวนี้มีข้อดีอีกประการคือ การประหยัดน้ำ ทุกวันนี้ฝักบัวมันพุ่งออกมาจากข้างฝา ทำให้ต้องใช้น้ำแรง ถ้าฝักบัวห้อยบนหัว เราแค่ทำเป็นน้ำหยดลงมาก็เพียงพอแล้ว จะประหยัดทั้งน้ำ ไฟ และราคาซื้อเครื่องทำน้ำอุ่น (คือแทนที่จะเป็นขนาด 5000 วัตต์ ก็เพียง 500 วัตต์ก็เหลือเฟือแล้ว เพราะเราจะใช้น้ำน้อยลง ๑๐ เท่า )

 

สำหรับน้ำที่อาบนั้นไม่ควรทิ้งไป แต่ให้ทำถาดรองใส่ภาชนะไว้  เอาไว้ราดน้ำล้างโถส้วม จะประหยัดน้ำได้อีกต่อ 

 

ส่วนระบบคอห่านที่ประหยัดน้ำนั้น ผมก็ได้ออกแบบไว้หลากหลาย แต่เรื่องส่วนตัวแบบนี้เอาไว้สนิทกันมากกว่านี้แล้วจะโม้ให้ควัง

 

…คนถางทาง (๑๙ มกราคม ๒๕๕๕)


กินอร่อยคอยนรก (ตอน ของปลอม)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 18 January 2012 เวลา 2:56 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2356

กินอร่อยคอยนรก (ตอน  ของปลอม)

 

จริตการกินอาหารของมนุษย์เรานั้นคิดไปก็น่าขำ เช่น คนกินเจจำพวกหนึ่งที่ยังตัดใจในเนื้อสัตว์ไม่ได้ มักเอา”หมี่กึง”  (ภาษาจีน)  หรือ gluten (ภาษาหรั่ง) ซึ่งเป็นโปรตีนสกัดมาจากถั่วเหลือง เอามาปั้นประดิษฐ์ให้มีรูปลักษณ์ และรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์

 

ผมเคยคิดเล่นๆ แบบเสียดสีว่า พวกกินเนื้อสัตว์น่าจะเลียนแบบพวก”เจไม่ตัดใจ”พวกนี้บ้างโดยเอาเนื้อสัตว์มาปั้นตกแต่งให้เหมือนกับผัก จะได้รู้สึกดีว่า กำลังกินผักอยู่นะ  เช่น กินไก่ย่างก็ว่า กินผักคะน้าปิ้ง

 

เอาปลาราคาถูกมาบดอัดเข้ากับแป้งให้เป็น “ปูปลอม” ก็เอา เพื่อย้อมใจว่ากำลังกินปูราคาแพงที่แสนอร่อยอยู่นะ เรียกกันว่า ปูอัด

 

น้ำคั้นถั่วเหลืองก็เรียกกันว่า “นมถั่วเหลือง” เพื่อให้เกิดว่าอารมณ์ว่ากำลังกินนมสัตว์กระมัง  รวมถึงน้ำนมข้าว  ส่วนตรงกันข้ามก็คือ นมเทียม (เอาไว้ใส่กาแฟลดความอ้วนแต่ไม่ลดความอยาก อิอิ)

 

อาหารรสชาติอร่อยโดยธรรมชาติแล้วก็ยังไม่พอต้อง “ชูรส” ด้วยสารสกัดเข้มข้น กล่าวคือสารชูรสรูปแบบต่างๆ   ทั้งที่เรียกชื่อโดยตรงและแอบปั้นชื่อปลอมขึ้นมา  แบบนี้อย.น่าบัญญัติให้เรียกชื่อให้เหมือนกันหมดว่า “สารทำอร่อยปลอม”

 

สีกลิ่นรสเทียมในอาหารก็มีมากเหลือเกิน พวกชอบทานอาหารขยะ ลองอ่านตัวพิมพ์เล็กๆที่แอบซุกไว้ด้านหลังเพื่อให้ไม่ผิดกฎหมายดู จะพบภาษาอังกฤษว่า  artificial flavors added ถ้าเจ้าของบริษัทไม่เขี้ยวมากนักก็จะเขียนเป็นภาษาไทยพอให้พ่อใหญ่แม่อุ๋ยจบปอสี่ได้อ่านออกด้วยว่า เลียนแบบรส สี กลิ่นธรรมชาติด้วยสารสังเคราะห์ (เรียกเสียหรูที่แท้ก็สารเคมีนั่นแหละ)

 

 

ความกรอบ ก็ปลอม เช่นลูกชิ้นมักนิยมใส่สารบอแรกซ์ให้กรอบ แต่เดี๋ยวนี้มีบางร้านลูกโซ่โฆษณาหราว่า ลูกชิ้นของร้านไม่ใส่สารบอแรกซ์ (แต่ไม่ได้บอกด้วยว่าใส่สารอะไรแทนถึงกรอบแบบนั้น อาจเป็นสารตัวใหม่ที่มีพิษร้ายแรงกว่าบอแรกซ์เสียอีกก็เป็นได้)

 

ความนุ่มก็ปลอม เช่น ด้วยการหมักเนื้อด้วยสารเคมี หรือสารธรรมชาติ ต่างๆ  บางที่กลับเอาความปลอมมาเป็นจุดขายเช่น “ราดหน้าหมูหมัก”  ทั้งที่ควรเป็นข้อน่ารังเกียจว่าหมูคุณไม่ได้นุ่มตามธรรมชาตินะ  ส่วนบางที่ก็ตรงข้ามกลับชอบหมูเหนียวแข็ง เช่นเนื้อหมูป่า ถึงกับได้ยินว่าทำหมูป่าปลอมด้วยการเอาหมูมาเลี้ยงแล้วช็อตไฟให้วิ่งตลอดเวลา เนื้อมันจะได้แข็งกว่าหมูบ้านที่นอนเขลงทั้งวัน

 

มนุษย์เราลงทุน ลงแรง ปลอมแปลงธรรมชาติมากหลาย เพื่อสนองตัณหาตนเอง หลอกตนเองให้อยู่ในวังวนของ “รสชาติ” เป็นทาสอายตนะทั้ง ๖ (ตาหูจมูกลิ้นกายใจ)  ห่างไกลการกินอยู่ง่ายๆที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากเข้าไปทุกที ทั้งนี้เป็นไปตามกระแสทุนนิยมของฝรั่งนั่นเอง 

 

ประเด็นอาหารปลอมนี้ดูเหมือนไร้พิษสง เพราะเราถูกปั่นโดยทุนนิยมโดยอ้อมอย่างแยบยล มันเริ่มตั้งแต่ล็อบบี้ยิสต์อุตสาหกรรมอาหารที่ทำงานหนักกล่อมกรรมาธิการอาหารและยาในรัฐสภา ใน usa โน่น แล้วค่อยๆ ระบาดมาถึงเมืองไทย(อาณานิคมยุคใหม่)ในที่สุด 

 

ผมเห็นว่ามันเป็นการเสพติดที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง โดยเฉพาะรัฐเองก็ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมปลอมพวกนี้เสียด้วย แทนที่จะกำหนดว่าผิดกฎหมายร้ายแรงพอๆกับการค้ายาบ้า เพราะโดยหลักการแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับยาบ้า กล่าวคือ เป็นการสร้างความสุขอารมณ์แบบปลอม และก่อให้เกิดการเสพติด (นอกจากนี้ยังนำโรคภัยสารพัด)  โดยเฉพาะการเสพติดของคนทำอาหาร เช่น แม่ค้าส้มตำนั้นลองไปสั่งดูสิ ว่า ตำไทยไม่ใส่ผงชูรส รับรองว่ารสชาติจะออกมาแบบประหลาดมาก เพราะแม่ค้าจะพยายามชดเชยรสชาติทีคิดว่าขาดไปด้วยสารอื่นๆ จนรสมั่วไปเลย

 

แม้ผมจะไม่ได้เป็นสมาชิกสันติอโศก แต่ในประเด็นการกินอยู่นี้ต้องขอแสดงความชื่นชมว่าพวกนี้เขาที่คิดต่างทำต่างเป็นทางเลือกให้สังคม หรือ เป็นแรงกระตุกเตือนได้ดีทีเดียว  กล่าวคือ หันมากินมาอยู่ที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อีกทั้งไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีเหมือนพวกอามิช (Amish) …นับว่าเป็นทางสายกลางที่ดีตามวิสัยชาวพุทธ

 

…คนถางทาง (๑๘ มกราคม ๒๕๕๕)

 

 


กินอร่อยคอยนรก (ลิ้นลวงโลก ตอนที่ ๑)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 January 2012 เวลา 7:24 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1441

 รสอาหาร..ภัยอธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด

การติดในรสอาหารนั้น เป็นการเสพติดที่รุนแรงที่สุดอย่างหนึ่งในโลก แต่เราท่านมักอนุโลมว่าเป็นการเสพติดที่ยอมรับได้ กฎหมายก็ไม่ห้ามการเสพติดประเภทนี้อีกต่างหาก

 

มีคำสอนของพพจ.ว่าคนที่โกหกได้ ย่อมทำความชั่วได้ทุกอย่าง  พร้อมยกตัวอย่างประกอบที่น่าเชื่อถือ (แต่การโกหกที่ดีๆก็มีมากนะ  ลองคิดสร้างนิทานประกอบแข่งกับพพจ. ดูสิ)

 

ถ้าเราเอานัยยะแห่งการเสพติดรสอาหารมาเทียบเคียงคำสอนดังกล่าว ก็น่าสรุปได้ว่า คนติดในรสชาติอาหารย่อมทำความชั่วได้ทุกอย่าง  ซ้ำร้ายอาจรุนแรงเสียยิ่งกว่าการโกหก (การสงครามในโลกนี้ล้วนมีที่มาจากเรื่อง “ปากท้อง” เป็นส่วนใหญ่)

 

 เช่น พออยากกินก็สั่งฆ่าได้หมด ดังความในประวัติศาสตร์ว่า เมีย(น้อย)พระเจ้าบุเรงนองแพ้ท้อง เกิดอยากกินดินที่ใจกลางกรุงอยุธยาแห่งสยาม  ก็เลยสั่งบุกมาฆ่าชาวไทย คนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงตายไปหลายหมื่น เป็นต้น

 

นายหัวบุช สั่งบุก เกาหลี เวียตนาม อิรัก  อัฟกานิสถาน ลองตรองดูสิ มูลเหตุจากเรื่องปากท้องทั้งนั้น

 

อันว่าการติดในรสชาติอาหารนั้นมันแปลกประหลาดมากๆ ใครติดอะไรก็ว่าอันนั่นอร่อย เช่น คนอีสานติดในปลาร้า (ที่แสนเหม็น )  คนเหนือก็ลาบเลือด ต้มขม แอบอ่องออ (สมองหมู..แหวะ)  คนกลางก็กะปิ น้ำปลา คนใต้ก็ น้ำบูดู ขมิ้น(อาหารส่วนใหญ่มีขมิ้น แกงเหลืองอันแสนโอชะหลักๆก็คือแกงส้มของคนภาคกลางที่ใส่ขมิ้นและเผ็ดมากขึ้น)

 

ส่วนอาหารฝรั่งก็เนื้อย่าง (เสต็ก) นม เนย ชีส ทางแสกนก็ปลาดอง (คล้ายปลาร้าเรา)  เยอรมันก็ขาหมูผักดอง ญี่ปุ่นปลาดิบ เกาหลีกิมจิ อิสลามก็แพะ  ออสซี่ก็แกะ  ล้วนเหม็นๆ ทั้งนั้น (เช่นเนื้อย่างก็เหม็นคาวเลือดของสัตว์ตระกูลนั้นๆ)   หมูเนื้อไก่แกะแพะปลา ล้วนมีความเหม็นเฉพาะตัว (แต่พอกินไปนานๆจนชินก็ว่าหอม)

 

แม้แต่ผักก็เหม็นเสียมากเช่นผักแพว (ผมเป็นคนชอบกินผักแต่ผักแพวเนี่ย แพ้ทางกันจริงๆ)  ผักขะแยง ผักกาดฮินของอีสาน (หรือ mustard green ของมะกัน)  หรือไม่ก็ขม เช่น สะเดา สะตอ มะระ (ซึ่งคนชอบก็ว่าอร่อยไปอีกแบบ)  ผักที่คนเราว่าหอมเช่นตะไคร้หอม ยุงมันกลับบอกว่าเหม็นจนไม่ยอมเข้าใกล้

 

ใครมีจริตอย่างไรก็ว่าสิ่งนั้นๆ อร่อย หอม  ส่วนอีกพวกกลับเห็นว่าสิ่งเดียวกันนั้นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เช่นพวกอินเดียที่เป็นมังสะวิรัชมาแต่กำเนิด อย่าว่าแต่กิน เพราะเพียงได้กลิ่นสะเต็กเนื้อสันอันที่พวกฝรั่ง(และไทยที่ชอบกินตามฝรั่ง)ว่าแสนหอมนุ่มอร่อยนั้น พวกเขาก็แทบจะอ้วกโดยไม่ต้องเห็นด้วยซ้ำไป  ทั้งที่เมื่อก่อนพวกพรามหณ์ฮินดูพวกนี้ก็ฆ่าสัตว์บูชายัญกันมานักต่อนัก

 

 

พวกติดรสชาติผัก ก็ว่าผักอร่อย มักดูถูกพวกกินเนื้อว่าเป็นพวกบาปหนา ..เห็นบ่อยๆในเทศกาลกินเจของชาวไทยจีนที่มักขึ้นป้ายใหญ่ๆว่า กินเจแล้วได้บุญ  

โห..แบบนี้วัวควายกินแต่หญ้ามันคงสะสมบุญจนตรัสรู้กันหมดแล้วกระมัง

 

 

สรุปคือ..ใครมีจริตอย่างไรก็ติดในรสชาติอาหารอย่างนั้น

 

ส่วนผู้บรรลุพุทธธรรมขั้นสูงแล้ว ท่านพ้นการยึดติด กินอาหารรสชาติอย่างไรก็ได้  ก็อร่อยหรือไม่อร่อยเท่ากันเสมอ  มันกินเพื่ออยู่ทำประโยชน์ให้โลกไปงั้นเอง ไม่ได้กินเอามันเอาเผือกอะไร แบบว่ากินอาหารแบบกินเนื้อลูกตัวเองที่ป่วยตายกลางทะเลทราย (คำสอนท่านพุทธทาสภิกขุ)

 

คงเป็นด้วยเหตุนี้ที่พพจ.ท่านไม่ทรงบัญญัติให้พุทธศาสนิกต้องเป็นมังสะฯ กินอะไรก็ได้ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อความ “กำหนัด” ในรสอาหาร

 

 

เราชาวพุทธที่มุ่งหวังการหลุดพ้นแบบพุทธ จะกินอะไรก็กินไปเถิด อย่าไปยึดติดว่าเป็นโน่นเป็นนี่เลย แต่ควรกินด้วยสติ และระลึกถึงในพระคุณของผักหญ้าเนื้อและดินน้ำลมไฟ ที่ทำงานหนักจนกลั่นตัวมาเป็นอาหารให้เราประทังชีวิตและเมามันในรสลิ้นได้ถึงปานนั้น ดังที่ผมได้เสนอไว้ในบทความก่อนๆ แล้วว่า ก่อนกินอาหารมื้อใดควรสวดขอบคุณ “ธรรมชาติ” เสียก่อน ก็จะเป็นการเตือนสติที่ดี นักแล


พระพุทธเจ้าฉันปลาร้าหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 January 2012 เวลา 8:43 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1828

พุทธศาสนา”ไม่ใช่”วิทยาศาสตร์

 

นักวิเคราะห์หลายท่านมักแสดงความคิดว่า พุทธศาสนานี้ดี เพราะเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเอง ….ซึ่งผมว่าเป็นการ “ลบหลู่” ศาสนาพุทธประการหนึ่ง

 

อาจจะฟังยากสักหน่อยที่ว่าลบหลู่ศาสนา เพราะเราท่านที่เป็นชาวพุทธส่วนใหญ่จะบังเกิดความยินดีพอได้ฟังคำนิยมว่าศาสนาของเรานี้เก่ง “เท่า” วิทยาศาสตร์ของฝรั่งเชียวนะ

 

แต่ผมขอเสนอความเห็นแย้งว่า แท้จริงแล้วหลักศาสนาพุทธนั้น “สูง” กว่าหลักวิทยาศาสตร์มากนัก

 

หลักการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ของฝรั่งนั้น ไม่ต่างอะไรกับคำพังเพยไทยโบราณที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ไปได้ กล่าวคือ ใช้เวทนา ๖ แห่ง “ประสาทสัมผัส” เป็นเครื่องพิสูจน์  หนีไม่พ้นอายตนะทั้งหก คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ

 

ส่วนหลักการสำคัญของพุทธศาสนานั้น มันเลย “เวทนา๖” ไปเสียอีก ซึ่งเป็นหลักสำคัญของทฤษฎีปฏิจจสมุปบาท  ความตอนหนึ่งว่า เมือมีอายตนะ ก็มีผัสสะ(การสัมผัส)  ก็มีเวทนา ตัณหา อุปทาน   …อุปทานคือการยึดติด ในที่นี้ก็คือการยึดติดกับ “ความจริง” นั่นเอง

 

ผมได้เขียนบทความไว้หลายบทที่พยายามจะบอกว่า มนุษย์เราทุกวันนี้กำลัง “งมงายในเหตุผล” ที่มาพร้อมกับวิทยาศาสตร์และตรรกศาสตร์  ซึ่งผมว่ามันน่ากลัวยิ่งเสียกว่าการงมงายในไสยศาสตร์เสียอีก

 

วิทยาศาสตร์นั้น ผมว่าเป็นเพียงบันไดขั้นแรกของพุทธศาสตร์เท่านั้นเอง คือ ในช่วงแรกศาสนาพยายามใช้เหตุผลชักจูง ชี้นำ เพื่อให้บุคคลเกิดศรัทธาในศาสนา พอมีศรัทธาแล้วก็จะปฏิบัติหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหลุดพ้นในที่สุด

 

สภาวะแห่งการหลุดพ้นนั้นมัน “นอกเหตุเหนือผล” (วลีทีเด็ดของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง)  ฝรั่งอาจเรียกว่า transcendental หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านพุทธทาสภิกขุก็บอกว่า “จงหลุดพ้นเสียจากการหลุดพ้น”  ส่วนหลวงพ่อโตวัดระฆังก็สอนนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งที่เข้ามาสอดแนมในสมัย ร ๕ แบบกลายๆ ว่า “โลกเรานี้มีอายุเท่าอาตมานี่แหละ”

 

หลวงพ่อชาสอนอีกจุดว่า “คิดเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อหยุดคิดจึงได้รู้”   อันนี้ก็ต่างจากคำสอนของไอน์ไสตน์มาก ที่สอนว่า “จงคิด คิด คิด…แล้วท่านจะรู้”

 

สภาวะแห่งการหลุดพ้นนั้น ผมเชื่อว่า ไม่อาจ “คิด” เอาได้ เพราะถ้าเช่นนั้นคนจีเนียสที่ไอคิวสูงๆ คงตรัสรู้กันหมดแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน พวกโง่ปานบัวเหล่าที่สี่ก็คงยากที่จะตรัสรู้ได้

 

ท่านพุทธทาสเคยพูดว่า พวกฝรั่งมันฉลาดมาก ช่างคิดค้นอะไรในเชิงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีได้มากมายอย่างเหลือเชื่อ  ถ้าพวกเขาจะอุทิศเวลามาศึกษาพุทธธรรมกันมากๆ คงจะได้บรรลุกันมากหลายทีเดียว  แต่นั่นแหละจะไปสอนให้แมลงวันเลิกตอมอาจม แล้วหันมาดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ มันคงยากอยู่  แม้แต่คนเรา เช่น คนอีสาน นิยมกินปลาร้าเหม็นๆ คนเหนือกินแอบสมองหมู ลาบเลือด หรือคนภาคกลางกินน้ำพริกกะปิเหม็นๆ  ก็ว่ามันอร่อย จะไปสอนให้มาหัดกินเจรสจืด ก็แสนยากพอกัน

 

การทำจิตให้ว่างนั้น หาใช่ว่ามันว่างแบบไม่มีอะไรเลย แท้จริงแล้วมันมี ..แต่มันมีแบบไม่มี  (มุกนี้ท่านพุทธทาสภิกขุท่านหยอดไว้ได้ถึงใจดีนักแล)

 

…คนถางทาง (๑๗ มค. ๒๕๕๔)


ศาสนาและความรุนแรง(๒)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 January 2012 เวลา 4:03 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1457

ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ (๒)

 

ความต่างอีกประการของศาสนาพุทธจากศาสนาอื่น เท่าที่ผมมองเห็นคือ แนวทางในการเผยแพร่ศาสนา

 

พพจ.ทรงกำหนดหลักการที่สำคัญมาก คือ ห้ามพระ สอนสั่ง (เทศนาธรรม) ให้แก่ผู้ใด ..แม้เป็นชาวพุทธด้วยกันเอง โดยที่เขามิได้ “ร้องขอ”

 

ดังนั้นจึงเกิดธรรมเนียม อาราธนาศีล อาราธนาธรรม มาจนทุกวันนี้ไงเล่า ซึ่งคือการ “ร้องขอ” ให้เทศนานั่นเอง

 

ส่วนศาสนาอื่นบางศาสนานั้น มักเอาศาสนาแห่งตนไป “ยัดเยียด” ให้ผู้อื่นโดยเขามิได้ยินยอมร้องขอ  ..และนั้นแหละคือสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของความรุนแรง

 

การตายโดยอาวุธของมนุษยชาติที่ผ่านมากว่า ๓๐๐๐ ปีนั้น ลองไปทำสถิติดูเถิดครับ ผมรับรองได้ว่ามีสาเหตุมาจากศาสนาเสียกว่า ๘๐%  เช่น สงครามครูเสด สงคราม Holy Roman Empire  การฆ่าพวกก่อตั้งลัทธิโปรเตสแตนท์ในยุโรป  และการฆ่าพวกอินเดียแดงในอเมริกาเหนือและใต้เพื่อให้ยอมเข้ารีต  เป็นต้น  รวมถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพุทธในอินเดียจากพวกพราหมณ์และมุสลิม 

 

…คนถางทาง (๑๓ มค ๒๕๕๔)


ศาสนาและความรุนแรง

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 January 2012 เวลา 9:11 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1927

ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่….

 

หลายพุทธปราชญ์ได้นำเสนอความต่างของศาสนาพุทธจากศาสนาอื่น   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่พุทธไม่มี “พระเจ้า”   (แต่เราชาวพุทธก็ยังพยายามจะยกให้ พระพุทธ เป็น พระพุทธ”เจ้า” อยู่นั่นแหละ  ….ไม่พ้นเลียนแบบฝรั่งและแขกไปได้สักที)

 

ที่ผมคิดได้ในวันนี้อีกเรื่องคือ การแพร่ศาสนาพุทธนั้นไม่เคยเกิดความรุนแรง (เลือดตกยางออก) ทั้งในสมัยพุทธกาลและหลังจากนั้น

 

ในสมัยพุทธกาลนั้นไม่มีการเสียเลือดโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจากเรากระทำเขาหรือเขากระทำเรา ทั้งนี้ เดาว่าคงมาจากบารมีของพระพุทธนั่นเอง ที่ท่านพูดทำแต่สิ่งที่เต็มไปด้วยปัญญา จนฝ่ายตรงข้ามต้องยอมรับโดยไม่อาจโต้เถียงได้ (ยอมจำนนทางปัญญา)

 

แต่พอสิ้นพระพุทธ (หลังพุทธกาล) ชาวพุทธขาดพุทธบารมี มันก็ลดระดับลงมา  ทำให้เราทำได้เพียงแค่ไม่รุกรานหรือข่มเหงผู้อื่น ส่วนผู้อื่นนั้นข่มเหง เข่นฆ่าเราเป็นผักเบือ ก็ทำได้เสมอ ดังที่ได้มีบันทึกเรื่องนี้ไว้มากหลายในประวัติศาสตร์

 

ศาสนาพุทธนั้นนอกจากจะไม่เข่นฆ่าผู้อื่นแล้ว ยังช่วยยุติการเข่นฆ่าได้อีกด้วย เช่น กรณีของกษัติรย์อโศกมหาราช ที่ยุติการเข่นฆ่าหลังจากหันมานับถือศาสนาพุทธเป็นต้น

 

ลองหันไปมองศาสนาอื่นทุกศาสนา จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ว่าเต็มไปด้วยความรุนแรง ทั้งที่ถูกกระทำ และไปกระทำต่อผู้อื่น (ล้างแค้น) แม้ในช่วงเวลาที่เจ้าศาสดายังดำรงชีวิตอยู่ …… ในการถูกกระทำนั้นนับว่าน่าเห็นใจมาก แต่ถามลึกๆว่าแล้วเจ้าศาสดาของท่านไปทำอะไรเล่าจึงได้ถูกกระทำเช่นนั้น   ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าศาสดาของพวกเรา “ฉลาดเกินไป” ทำให้พวก “โง่และป่าเถื่อน” คิดไม่ออกและยอมรับไม่ได้ พวกมันจึงได้กระทำการโหดร้ายทารุณต่อพวกเรา

 

 …..แต่ผมขอท้วงว่า ไม่ใช่หรอก เพราะถ้าศาสดาของพวกท่านฉลาดพอ ท่านต้องสอนให้คนโง่ คนโหดร้าย กลายเป็นคนใจดี มีเมตตาได้สิ ..นี่อาจแสดงว่าศาสดาเหล่านั้นไม่ได้ฉลาดล้ำเพียงพอก็เป็นได้

 

เท่าที่นึกออกในขณะที่เขียนนี้  มี”ศาสนาอื่น”เพียงศาสนาเดียวที่ไม่มีความโหดร้ายมาเกี่ยวข้องคล้ายพุทธศาสนา คือ ศาสนาเชน ศาสนานี้มีอะไรคล้ายศาสนาพุทธมาก (กำเนิดก็ร่วมสมัยกันด้วย) แต่ว่าแนวปฏิบัติค่อนข้างไปทางสุดโต่ง (เช่น ชีเปลือย เดินไปกวาดถนนไปล่วงหน้าเพราะกลัวจะไปเหยียบแมลงตาย)

 

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้สังเกตคือ ศาสนาพุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ไม่มีแนวคิดหลักในเรื่อง “การเสียสละ” ซึ่งแนวคิดนี้มักเป็นหลักสำคัญในศาสนาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียสละเพื่อพระเจ้า จริงอยู่ศาสนาพุทธมีแนวคิดเรื่องการบริจาค (สละทรัพย์) อยู่บ้าง แต่เป็นเพียงหลักการย่อยเท่านั้น

 

ลองนึกดูสิครับ คำสอน 84000 พระธรรมขันธ์นั้นมีสักกี่ข้อที่พูดถึงการเสียสละ และที่พูดนั้นในบริบทที่สำคัญเพียงใด

 

ผมเห็นว่า “การเสียสละ” นี่แหละคือต้นเหตุสำคัญของความรุนแรง  เพราะการที่คิดว่าตนเองเสียสละนั้นคือ “การยึดติด” พอยึดติดก็ยิ่งเห็นความสำคัญของตน (กว่าคนอื่น) ดังนั้น ตัวตนก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นหน่อเนื้อแห่งความรุนแรงนั่นเอง

 

หลักการของศาสนาพุทธคือ การฝึกตนจนหมดทิฐิแห่งตัวตน จนกระทั่งมีสมาธิและปัญญาในการทำหน้าที่แห่งตนได้อย่าง “เต็มที่” โดยไม่ต้องมาคิดว่าเป็นการเสียสละแห่งตนแต่อย่างใด (เพราะหมดตัวตนแล้ว) มันก็เลยหมดปัญหาไปได้หลายประการ….ดังนี้แล

 

…คนถางทาง (๑๑ มกราคม ๒๕๕๕)


ถนนห่วยๆ (ขับไปบ่นไป ๘)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 January 2012 เวลา 8:03 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1384

ถนนห่วยๆ (ขับไปบ่นไป ๘)

 

รัฐมักโทษพลเมืองว่าอบห. บนท้องถนนเกิดจากความผิดของปชช. แต่ผมได้เสนอไว้แต่ตอนที่ ๑ แล้วว่าผมเชื่อว่า ๙๐% เกิดจากความผิดของรัฐ ดังที่ได้อธิบายความไว้ทั้งโดยตรงและอ้อมใน ๗ บทที่ผ่านมา

 

ในบทนี้จะหันมาเจาะประเด็นคุณภาพถนนไทย (ที่โกงกินกันระนาวตามระบบการเมืองไทย) เรื่องหลุมบ่อเอาไว้ก่อน มันง่ายเกินไป

 

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สังเกตคือ การทาสีเส้นถนนให้ชัดเจน ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากในการเกิดอบห. (โดยเฉพาะในตอนกลางคืน)

 

สีเส้นถนนคือจุดเล็งสายตาให้รถวิ่งอยู่ในเลน ไม่เอียงไปโฉบเฉียวรถข้างเคียงที่แล่นมาในระยะประชิด หรือไม่ตกถนน (โดยเฉพาะตรงทางโค้ง) แล้วถ้าคุณมองไม่เห็นเส้นถนนล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น???

 

สังเกตว่าถนนในเมืองไทยเรานั้นจะตีเส้นถนนเพียงครั้งเดียว คือหลังจากสร้างถนน จากนั้น กี่ปีให้หลังไม่มีการทาซ้ำอีกเลย จนมันเลือนหายไปในที่สุด โดยเฉพาะถนนเมืองไทยมีฝุ่นมากกว่าเมืองนอกสัก 200 เท่าเห็นจะได้ (หล่นมาจากรถขนดิน)  ฝุนมันหล่นมาทับเส้นถนนให้เลือนหายเร็วมาก   ….และรถก็ชนกันมากเป็นสัดส่วน

 

บ่อยครั้งถนนสร้างเสร็จไปแล้ว ๑ ปี ถนนก็ยังดำมืดอยู่ ไม่มีการตีเส้นถนน ปล่อยให้วิ่งชนกันตายระนาวอยู่อย่างนั้น  ไม่เห็นเส้นถนน แต่เห็นแต่เส้นสีพ่นเป็นวงๆ ของตำรวจเต็มไปหมด ทีเอามาพ่นตำแหน่งล้อของรถที่ชนกัน (ซึ่งก็ไม่รู้จะพ่นสีให้เปื้อนถนนและให้เป็นที่สับสน แยงตาของคนขับรถทำหะอะไร ทั้งที่กล้องดิจิตอล ถ่ายรูปไว้ก็มีให้ใช้หมดแล้ว)

 

ที่ร้ายกว่านั้นคือ พอสร้างถนนใหม่ทับถนนเดิม หรือขยายเลน เส้นถนนเดิมสีเหลือง ต้องลบออก ให้เป็นสีขาว ก็ไม่ลบ ปล่อยให้มันสร้างความสับสนเล่นงั้นแหละ…เรามีรัฐบาลมักง่ายแบบนี้ อบห. มันก็ต้องมากเป็นธรรมดา แล้วยังเจือกหน้าด้านมาโทษปชช. บักชิกหัย

 

ส่วนเส้นห้ามแซง แซงได้ มันก็มั่วมากๆ บางแห่งเห็นชัดๆว่าทางโค้ง ขึ้นเขา แซงไม่ได้ มันตีเส้นให้แซงได้เฉย ส่วนบางแห่งแซงได้ มันเจือกตีเส้นห้ามแซง  ผมพยายามคิดว่าวิศวกรอะไรมันจะงั่งปานนั้นหวา มาฉุกคิดได้ภายหลังว่า อ๋อ..สงสัยมีใบสั่งจากผู้มีอำนาจ เพื่อให้มันเกิดอบห.มากๆ และหรือ ฝ่าฝืนกฎจราจรมากๆ พวกเขาจะได้มี “รายได้” จากการเกิดอบห.

 

 …โห..แบบนี้มันชั่วได้ใจยมบาลจริงๆ พับผ่า

 

…คนถางทาง (๑๑ มกราคม ๒๕๕๕)


สวัสเสดยเปยNew

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 January 2012 เวลา 5:26 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1477

ซัวเสดย…เปยหม่าย   (อีกหลักฐานว่า..เขมรไม่ใช่ขอม)

 

คำว่า”ซัวเสดย”  (หรือ “สวัสดี) ในภาษาเขมรนี้ มีนัยยะให้พิเคราะห์มากหลาย

 

ผมได้เขียนบทความที่ให้เหตุผลและหลักฐาน ไว้มากหลายว่า เขมรไม่ใช่ขอม  แต่ขอมคือสยาม  (ซึ่งไม่ใช่ไทยหรอกนะ อย่าเพิ่งหลงภูมิใจ)

 

ปมด้อยของคนไทยคือมักไปหลงงมงายว่าภาษาเราจำนวนมากนั้น “เลียน” มาจากเขมร ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เลียนหรอก แต่”ลอกมาทั้งดุ้น” ต่างหาก ทั้งนี้เพราะสยามกะขอมคือคนคนเดียวกัน (ส่วนเขมรนั้นไม่ใช่ขอม)

 

พระเจ้าอู่ทอง (ปฐมกษัตริย์แห่งอยุธยา) คือขอม ที่หนีตายมาจากนครวัด เพราะถูกพวกเขมรไล่ฆ่า ……นั่นคือทฤษฎีที่ผมตั้งไว้พร้อมอรรถาธิบาย…(ถ้าไม่เชื่อก็ลบหลู่ได้นะครับ แต่ก่อนจะลบหลู่ขอให้ไปค้นหาบทความเก่าๆผมอ่านให้ละเอียด และคิดให้แตกเสียก่อน ไม่งั้นอาจ”บาป” ที่บังอาจด่าผู้ให้ทานแห่งปัญญาก็เป็นได้นะจ๊ะ)

 

คนไทยเรามีจุดอ่อนสำคัญตรงที่…เป็นชนชาติทีมีปมด้อย  เช่น พอมีอะไรไปพ้องกับเพื่อนบ้านก็ต้องอนุมานไว้ก่อนว่า “เราลอกเขามา” โดยไม่คิดตรงข้ามบ้างเลยว่า “เขาลอกเราไป”  …. ยิ่งถ้าไปพ้องกับจีน อินเดีย อินโด  ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าไปพ้องกะเขาเมื่อไรนักวิชาการระดับหมา (ด๊อก) เป็นต้องสรุปได้ทันควันว่า เราลอกเขามาแหงๆ

 

ภาษา “ขอม”  ที่ปนมากับภาษาไทยจำนวนมากนั้นก็เช่นกัน นักวิชาการไทยระดับด๊อกสรุปกันแบบง่าวสุดๆไปนานแล้วว่า  เราลอก”เขมร”มา  …..ทั้งที่ขอมนั้นไม่ใช่เขมร และสยามกะขอมคือคนคนเดียวกัน …เฮ้อ ต้องให้ขะยม (กระผม) พิมพ์สักกี่ล้านครั้งหว่ากว่าพวกเขาจะ “get” กันสักกระผีก

 

คำว่า “ซัวเสดย” ในภาษาเขมรนั้น ผมวิเคราะห์ว่า ลอกมาจากคำว่า “สวัสดี” ของไทย ซึ่งมันมีที่มาแบบว่า นักวิชาการหรือชนชั้นสูงเขมร มาอ่านคำว่า สวัสดี ของไทยแล้ว”แยกคำผิด” เป็นสองคำ คือ สวั….สดี  จากนั้นอ่าน สวั   ว่า     ซัว     และ    สดี ว่า    เสดย 

 

อันว่าภาษาเขมรผมได้สังเกตเอาเองโดยไม่เคยเรียนภาษานี้แม้กระผีกว่า  เขาจะปรับสำเนียงไทยเป็นสำเนียงเขมรแบบที่แทบกำหนดตายตัวได้เสมอ ….เช่น อา ของเรานั้นเขมรจะออกเสียงเป็น เอีย เสมอ (พระ-เพรียะ วิหาร-วิเหียร์)      อี ของเราจะเป็น เอียน เสมอ เช่น มี เป็น เมียน …..ส่วน ไอเป็น เอย เสมอ ชัย เป็น เชย  ดังนั้น เมือง อู่ทองมีชัย   จึงออกเสียยงเป็น อุดงเมียนเชย   ส่วนเขาพระวิหาร ก็เป็น เขาเพรียะวิเหียร์ 

 

สำหรับเสียนง อีนั้น เขมรจะลอกเราแล้วออกเสียงเป็น เอย เช่น ปราสาทบันทายศรี ก็เป็น บันทายเสรย (บันทายสะเรย)

 

 

ดังนั้นพอเขมรลอก สวั-สดี   ของไทยเราไป  ก็เลยกลายเป็น “ซัว-เสดย”   นั่นเอง

 

สำหรับข้อที่อาจโต้แย้งว่า สวัสดี ออกเสียงเป็น สวั..สดี ได้งัยนั้น ก็ตอบได้ไม่ยากหรอกครับ เพราะคนไทยเราที่จบปริญญาเอกมาจากนอกด้วยซ้ำ ผมถามว่า คำอังกฤษเหล่านี้ออกเสียงอย่างไร   Howard,  Stewart, Fuel, Film, Determine  ผมรับรองว่าร้อยละ ๙๙ ออกเสียงไม่ถูกและหรือเน้นคำไม่ถูก (แม้แต่พวกสื่อ ศ.ดร. อดีตทูต usa ก็ปล่อยไก่กันมามากแล้ว)   ดังนั้นคำว่า สวัสดี นี้พวกเขมรที่ลอกไทยไปก็ทำนองเดียวกันนั่นแหละ

 

เอ๊ะ…หรือว่า คำว่า สวัสดี นั้นไทยเราลอกมาจาก “ซัวสะเดย” ของเขมร…๕ห้า5  

 

…คนถางทาง  (๑๐ มกราคม ๒๕๕๕)


ขุดคลอง”บาราย” แก้นำท่วมกทม. (ราคาถูก)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 January 2012 เวลา 7:03 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1348

วิธีแก้น้ำท่วมกทม. (และ เมืองอื่นๆ) แบบราคาถูก

 

ผมได้เคยเสนอวิธีนี้ไปแล้ว แต่คราวนี้มาเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น  วิธีการคือ การขุดคลองแบบ “บาราย” คือ ขุดดินแล้วเอาดินมาถมเป็นคันคูสูงสองข้าง (ได้สองต่อคือความลึกและความสูง) อาจขุดลึกสัก 10 เมตร กว่าง 100 เมตร คันดินสูงอีก 5 เมตร  ดินละแวกนี้แม้จะเป็นดินอ่อนแต่มีเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เป็นดินแข็งได้โดยไม่ยากนัก

 

การยกคันดินสูงแบบนี้จะทำให้เกิดหัวน้ำ (head) ที่สูงทำให้ช่วยให้เกิดการไหลที่รวดเร็ว

ที่ต้นน้ำตรงที่แยกจากเจ้าพระยา (ซึ่งจะแยกตรงไหนก็ต้องมาว่ากันอีกที)  ให้มีประตูน้ำและโรงสูบน้ำขนาดใหญ่ กำลังปั๊มคำนวณแล้วน่าจะประมาณ  150 เมกะวัตต์  เพื่อสูบน้ำให้ได้ 2000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้ได้สูงหัวน้ำ 5 เมตร  ทั้งนี้ต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งโรงไฟฟ้านี้จะมีราคาตกประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ทว่า ในยามที่น้ำไม่ท่วมเราก็สามารถขายไฟให้กฟผ. ได้ หรือขายให้กับอุตสาหกรรมรอบๆ ได้ ซึ่งในตอนน้ำท่วมโรงงานพวกนี้ก็ต้องหยุดทำงานอยู่แล้ว  (แต่พอมีระบบนี้น้ำก็ไม่ท่วม พวกเขาก็ไม่ต้องหยุด..ฮา แบบนี้เราขอร้องให้เขาหยุดก็ได้ เพราะถ้าเขาไม่หยุด น้ำจะท่วม… ฮาฮา )

 

อาจสร้างเฉพาะฝั่งตะวันตกที่มีค่าเวนคืนที่ดินต่ำกว่าฝั่งตะวันออก แต่แม้ฝั่งตะวันออกก็ทำได้ ถ้าเรามีการบริหารทีดี เช่น รัฐบาลรับประกันว่าค่าที่ดินริมคลองจะสูงขึ้นมาก (อย่างน้อยสองเท่า) ดังนั้นให้เวนคืนฟรี สำหรับคนมีที่น้อย ก็ให้แบ่งที่ดินคนที่มีมากมาให้ตามสัดส่วน (หรือรับประกันว่าจะได้ค่าขายที่ดินในอนาคตที่มีการขายที่)   …ค่าทีดินจะสูงขึ้นเพราะจะมีถนนตัดผ่านคู่ขนานกับคลอง (โดยอาจใช้ดินคันคูนั่นแหละทำถนน  หรืออาจใช้ดินแข็งจากที่อื่นก็สุดแล้วแต่)  …ซึ่งจะทำให้มีทั้งถนนและลำน้ำ เหมาะสำหรับสร้างโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่บ้านจัดสรร อีกทั้งการเลี้ยงปลาในกระชัง การกีฬาทางน้ำ จะตามมา …อย่าลืมทำสวนสาธารณะริมคลองบนคูน้ำด้วยนะครับ  เรียกว่ารายได้เพิ่มมหาศาลสำหรับคนอยู่ริมคลองนี้  ดังนั้น ไม่ต้องเสียเงินค่าเวนคืนที่ดินแต่ประการใด

 

ตกลงเราจะเสียแต่ค่าขุดคลอง ซึ่งผมได้เสนอวิธีขุดด้วยรถไฟไว้แล้วในบทความก่อน (หัวผาลขุดดินแบบนี้ผมออกแบบไว้แล้ว ทดลองในเสกลเล็ก เอาไปขุดหัวมันสำปะหลังได้ดีมาก คือ ใช้แรงน้อย หัวมันไม่หัก ไม่หลุด เหมือนหัวผาลแบบเก่า)

 

ส่วนค่าบำรุงรักษาเช่นขุดลอกคลองสักปีละครั้ง ก็ไม่ยาก ผมเสนอให้ใช้เรือสองลำ ลากจูงแขนหัวสูบแบบขวางเต็มลำน้ำ ทำการสูบดูดดินโคลน ปีละครั้ง  เวลาที่เหลือ เรือสองลำนี้ก็เอาไว้เป็นเรือนำเที่ยว ล่องไปตามลำคลอง เป็นภัตตาคารลอยน้ำก็ได้ หรือเอาไว้ขนสินค้าไปออกท่าเรือ โดยที่รถบรรทุกสินค้านั้นห้ามวิ่งเข้ามาชั้นใน แต่ให้เอาสินค้ามาลงเรือตรงบริเวณแถวๆ โรงสูบน้ำที่หัวคลองนั่นแหละ

 

การขุดคลองยาว 100 กม. แบบนี้ราคาพร้อมโรงไฟฟ้าไม่น่าเกิน 50,000 ล้านบาท แถมได้ประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมมามากหลาย  กล่าวคือในยามปกติที่น้ำไม่ท่วม ก็สามารถใช้เป็นระบบชลประทานเกษตร และการป้อนโรงงานอุตสาหกรรมริมคลอง  ยังการประมง  การท่องเที่ยว การคมนาคมทางน้ำ และทางบก (ถนนริมคลอง)  ที่จะมาพร้อมกับลำคลอง

 

…เรียกว่าได้ประโยชน์หลายต่อมาก  เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในตัวเองทั้งสิ้น ..แล้วได้การป้องกันน้ำท่วมมาเป็นของแถมฟรี

 

ผิดกับการขุดอุโมงค์น้ำที่ทางสภาวิศวกรเสนอ ซึ่งผมว่านอกจากจะราคาแพงแล้ว ยังไม่มีอรรถประโยชน์อื่นเพิ่มเติม  ยังการบำรุงรักษาอุโมงค์นั้นก็ใช่ว่าจะถูกกว่าการขุดลอกคลองนะครับ

 

…คนถางทาง (๑๐ มกราคม ๒๕๕๕)

 

 



Main: 0.1706109046936 sec
Sidebar: 0.017130136489868 sec