กินอร่อยคอยนรก (ลิ้นลวงโลก ตอนที่ ๑)
รสอาหาร..ภัยอธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด
การติดในรสอาหารนั้น เป็นการเสพติดที่รุนแรงที่สุดอย่างหนึ่งในโลก แต่เราท่านมักอนุโลมว่าเป็นการเสพติดที่ยอมรับได้ กฎหมายก็ไม่ห้ามการเสพติดประเภทนี้อีกต่างหาก
มีคำสอนของพพจ.ว่าคนที่โกหกได้ ย่อมทำความชั่วได้ทุกอย่าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบที่น่าเชื่อถือ (แต่การโกหกที่ดีๆก็มีมากนะ ลองคิดสร้างนิทานประกอบแข่งกับพพจ. ดูสิ)
ถ้าเราเอานัยยะแห่งการเสพติดรสอาหารมาเทียบเคียงคำสอนดังกล่าว ก็น่าสรุปได้ว่า คนติดในรสชาติอาหารย่อมทำความชั่วได้ทุกอย่าง ซ้ำร้ายอาจรุนแรงเสียยิ่งกว่าการโกหก (การสงครามในโลกนี้ล้วนมีที่มาจากเรื่อง “ปากท้อง” เป็นส่วนใหญ่)
เช่น พออยากกินก็สั่งฆ่าได้หมด ดังความในประวัติศาสตร์ว่า เมีย(น้อย)พระเจ้าบุเรงนองแพ้ท้อง เกิดอยากกินดินที่ใจกลางกรุงอยุธยาแห่งสยาม ก็เลยสั่งบุกมาฆ่าชาวไทย คนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงตายไปหลายหมื่น เป็นต้น
นายหัวบุช สั่งบุก เกาหลี เวียตนาม อิรัก อัฟกานิสถาน ลองตรองดูสิ มูลเหตุจากเรื่องปากท้องทั้งนั้น
อันว่าการติดในรสชาติอาหารนั้นมันแปลกประหลาดมากๆ ใครติดอะไรก็ว่าอันนั่นอร่อย เช่น คนอีสานติดในปลาร้า (ที่แสนเหม็น ) คนเหนือก็ลาบเลือด ต้มขม แอบอ่องออ (สมองหมู..แหวะ) คนกลางก็กะปิ น้ำปลา คนใต้ก็ น้ำบูดู ขมิ้น(อาหารส่วนใหญ่มีขมิ้น แกงเหลืองอันแสนโอชะหลักๆก็คือแกงส้มของคนภาคกลางที่ใส่ขมิ้นและเผ็ดมากขึ้น)
ส่วนอาหารฝรั่งก็เนื้อย่าง (เสต็ก) นม เนย ชีส ทางแสกนก็ปลาดอง (คล้ายปลาร้าเรา) เยอรมันก็ขาหมูผักดอง ญี่ปุ่นปลาดิบ เกาหลีกิมจิ อิสลามก็แพะ ออสซี่ก็แกะ ล้วนเหม็นๆ ทั้งนั้น (เช่นเนื้อย่างก็เหม็นคาวเลือดของสัตว์ตระกูลนั้นๆ) หมูเนื้อไก่แกะแพะปลา ล้วนมีความเหม็นเฉพาะตัว (แต่พอกินไปนานๆจนชินก็ว่าหอม)
แม้แต่ผักก็เหม็นเสียมากเช่นผักแพว (ผมเป็นคนชอบกินผักแต่ผักแพวเนี่ย แพ้ทางกันจริงๆ) ผักขะแยง ผักกาดฮินของอีสาน (หรือ mustard green ของมะกัน) หรือไม่ก็ขม เช่น สะเดา สะตอ มะระ (ซึ่งคนชอบก็ว่าอร่อยไปอีกแบบ) ผักที่คนเราว่าหอมเช่นตะไคร้หอม ยุงมันกลับบอกว่าเหม็นจนไม่ยอมเข้าใกล้
ใครมีจริตอย่างไรก็ว่าสิ่งนั้นๆ อร่อย หอม ส่วนอีกพวกกลับเห็นว่าสิ่งเดียวกันนั้นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เช่นพวกอินเดียที่เป็นมังสะวิรัชมาแต่กำเนิด อย่าว่าแต่กิน เพราะเพียงได้กลิ่นสะเต็กเนื้อสันอันที่พวกฝรั่ง(และไทยที่ชอบกินตามฝรั่ง)ว่าแสนหอมนุ่มอร่อยนั้น พวกเขาก็แทบจะอ้วกโดยไม่ต้องเห็นด้วยซ้ำไป ทั้งที่เมื่อก่อนพวกพรามหณ์ฮินดูพวกนี้ก็ฆ่าสัตว์บูชายัญกันมานักต่อนัก
พวกติดรสชาติผัก ก็ว่าผักอร่อย มักดูถูกพวกกินเนื้อว่าเป็นพวกบาปหนา ..เห็นบ่อยๆในเทศกาลกินเจของชาวไทยจีนที่มักขึ้นป้ายใหญ่ๆว่า กินเจแล้วได้บุญ
โห..แบบนี้วัวควายกินแต่หญ้ามันคงสะสมบุญจนตรัสรู้กันหมดแล้วกระมัง
สรุปคือ..ใครมีจริตอย่างไรก็ติดในรสชาติอาหารอย่างนั้น
ส่วนผู้บรรลุพุทธธรรมขั้นสูงแล้ว ท่านพ้นการยึดติด กินอาหารรสชาติอย่างไรก็ได้ ก็อร่อยหรือไม่อร่อยเท่ากันเสมอ มันกินเพื่ออยู่ทำประโยชน์ให้โลกไปงั้นเอง ไม่ได้กินเอามันเอาเผือกอะไร แบบว่ากินอาหารแบบกินเนื้อลูกตัวเองที่ป่วยตายกลางทะเลทราย (คำสอนท่านพุทธทาสภิกขุ)
คงเป็นด้วยเหตุนี้ที่พพจ.ท่านไม่ทรงบัญญัติให้พุทธศาสนิกต้องเป็นมังสะฯ กินอะไรก็ได้ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อความ “กำหนัด” ในรสอาหาร
เราชาวพุทธที่มุ่งหวังการหลุดพ้นแบบพุทธ จะกินอะไรก็กินไปเถิด อย่าไปยึดติดว่าเป็นโน่นเป็นนี่เลย แต่ควรกินด้วยสติ และระลึกถึงในพระคุณของผักหญ้าเนื้อและดินน้ำลมไฟ ที่ทำงานหนักจนกลั่นตัวมาเป็นอาหารให้เราประทังชีวิตและเมามันในรสลิ้นได้ถึงปานนั้น ดังที่ผมได้เสนอไว้ในบทความก่อนๆ แล้วว่า ก่อนกินอาหารมื้อใดควรสวดขอบคุณ “ธรรมชาติ” เสียก่อน ก็จะเป็นการเตือนสติที่ดี นักแล
« « Prev : พระพุทธเจ้าฉันปลาร้าหรือไม่
Next : กินอร่อยคอยนรก (ตอน ของปลอม) » »
ความคิดเห็นสำหรับ "กินอร่อยคอยนรก (ลิ้นลวงโลก ตอนที่ ๑)"