คิดถึงเตี่ย (๕)…ลูกไม้ใกล้โคน

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 10:22 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1031

คิดถึงเตี่ย (๕)

 

สมัยวัยกระเตาะ ผมเกเรมาก (แต่ก็เรียนเก่งนะ สอบได้ที่หนึ่งของอำเภอตลอด)

 

ครั้งหนึ่ง ผมหนีโรงเรียนไปเป็นอาทิตย์ ไปกับเพื่อน ไปเป็นกระเป๋ารถสองแถว ตระเวนไปทั่ว สนุกสุดๆ ร้องเพลง “ฝนเดือนหก” ของ รุ่งเพชร ไปพลาง ที่กำลังดังทะลุฟ้าเมืองไทยสมัยโน้น

 

จู่ๆ ขณะกำลังจอดรถ เตี่ยผมโผ่พรวดเข้ามาแต่ไหนไม่รู้ (แสดงว่าทำงาน CIA หาข่าวอย่างเยี่ยมยอดจริงๆ) กระชากคอเสื้อผม เข้ามา ตบ เตะ ต่อย จนผมม่อยกระรอก

 

ไทยมุงเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานเป็นสิบ  บัดดล เตี่ยชักปืน 11 มม. ออกมา พร้อมตะโกนว่า ไอ้ลูกชั่ว มึงตายเสียเถอะ ….

 

…แต่เหมือนสวรรค์จะยังไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า (ตามนิยายของหลวงวิจิตรฯ) ลุงผมกระโดดเข้ามากอดพ่อผมเอาไว้  แล้วว่า “ไอ้ฟอง มึงใจเย็นๆ” 

 

ลุงคนนี้ความจริงไม่ได้เป็นญาติ แต่นับถือเป็นลุง และเป็นพ่อของเพื่อนด้วย ชื่อว่าลุงคำ เป็นสามีกับป้าฮวย สมัยอดีตแกเคยเป็น “เสือ” เที่ยวปล้นชาวบ้าน แต่ตอนนี้เป็นคนขายหมู มีโรงเชือดเอง นับว่าเป็นคนรวยอันดับต้นๆ ของอำเภอในสมัยโน้นทีเดียว บ้านไม้หลังใหญ่ พื้นไม้มะค่า มันวาบ

 

ลุงคำเอาผมไปนอนบ้านท่านคืนนั้น เพื่อความปลอดภัย แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ให้ ไอ้อ่าง เพื่อนผม ขับรถไปส่งที่บ้านผม ..ซึ่งตอนนั้นอารมณ์เตี่ยสงบลงมากแล้ว

 

ผมหน้าตาบวมปูดไปหมด จากพิษหมัดและตรีนของเตี่ย …ผมเข้าไปนอนซมในห้อง เตี่ยเข้ามาหา เอายาหม่องมาทาให้ตามรอยแผล ผมแอบมองตาเตี่ย สองข้ามเต็มไปด้วยน้ำตา ทายาหม่องไปพลางก็ถามว่า เจ็บไหมลูก ๆ

 

ต่อมาไม่นาน ผมก่อเรื่องอีก  คือไปเที่ยวงานวัด แล้วไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ พวกมันแก่กว่าผมสองสามปี เป็นหนุ่ม มีหนวดแล้ว ขนหน้าแข้งด้วย แต่ผมยังละอ่อน เพราะผมเรียนเร็วกว่าเกณฑ์สองปี (ที่เรียนเร็วเพราะร้องไห้ตามพี่สาวไปเรียนหนังสือ)  กระเดือกเข้าไปก๊งเดียว ผมเมาแอ่นจนสลบ ไปนอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์

 

จำได้ลางๆ ว่า ประมาณตีสอง พ่อเอารถเข็นมาเข็นผมกลับบ้าน  ทราบตอนหลังว่า มีคนไปบอกว่า เห็นลูกชายนอนหลับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในวัด

 

ตื่นมาตอนเช้า ผดผื่นขึ้นเต็มตัว (พิษเหล้า) พร้อมกับปริวิตกว่า กรูตายแน่ๆคราวนี้  เตี่ยต้องตีเตะ กรูตายแน่ๆ

 

ผิดคาด เตี่ยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน (คงสงสารและคิดตกว่า ไอ้หมอนี่มันก็เหมือนกะเราตอนวัย ๑๓ ขวบแหละหวา)

 

อีก ปีกว่าต่อมา ผมสอบเข้า เตรียมทหารได้ ดังกึกก้องไปทั้งบาง เป็นคนแรกของอำเภอ  พ่อพาไปมอบตัว

 

จากนั้น ผมและพ่อไปกราบอนุสาวรีย์ ร ๕ หน้ารร. ที่ถนนพระรามสี่ กราบเสร็จ ผมบอกเตี่ยตรงๆว่า “เพราะฝ่าตีนเตี่ยแท้ๆ ที่ทำให้ผมสอบเข้าได้” 

 

..ผมเอบเหลือบมองตาเตี่ย …สองข้างเต็มไปด้วยน้ำตาอีกแล้ว แต่คราวนี้คงเป็นน้ำตาแห่งความภูมิใจของเตี่ย ที่มีลูกเอี้ยแต่มันเอาถ่าน (เหมือนเรา) เลยว่ะ

 

…คนถางทาง (๓ มิย..๕๔)


คิดถึงเตี่ย (๔)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 9:28 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1067

การคิดค้นและผลิตกระจกโค้งสีเขียวแดงที่ใช้ในการทำสัญญาณไฟให้กับรถไฟที่กำลังเข้าหรือออกจากชานชาลา ทำให้ห้างที่พ่อทำงานอยู่ด้วยได้รับสัมปทานการผลิตกระจกโค้งให้กับการรถไฟ แม้คุณพ่อจะยังเป็นเด็กวัยรุ่น แต่ก็ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากนายห้างให้เป็นผู้คุมงานการผลิต และยังต้องเป็นผู้ประสานงานกับทางราชการเกี่ยวกับการประมูลต่างๆอีกด้วย

 

          แต่แล้วชะตาชีวิตของคุณพ่อก็ต้องพลิกผลันไปอีกรูปแบบ ด้วยพี่สาวผู้มีพระคุณ (คุณป้าทองอยู่ เทียนทอง) เรียกตัวให้กลับไปช่วยดำเนินธุรกิจ เนื่องด้วยคุณลุงกำนันสามีของท่านเสียชีวิตลง  

คุณพ่อต้องมาปฎิบัติงานโดยที่ไม่ได้รับการฝึกหรือถ่ายทอดวิชาอะไรมากมายนักเพราะคุณลุงแสวงไม่มีเวลาที่จะถ่ายทอดวิชาให้ งานที่ทำก็เป็นงานที่ต้องมีการคำนวณมากเสียด้วย คือต้องคำนวณคิดหาปริมาตรของไม้และหาราคาต่างๆให้ถูกต้อง ซงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับเด็กที่จบ ป๔ มาแบบเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง

 

แต่พ่อก็สามารถเรียนการคิดหน้าไม้ได้อย่างรวดเร็ว พ่อบันทึกไว้ด้วยว่า ตอนไปทำงานอยู่กรุงเทพ แม้จะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายก็ยังเก็บเงินได้ถึงสองหมื่นกว่าบาท ทั้งนี้เพราะได้เงินเดือนสูงมาก (หมื่นบาทในสมัยโน้นคงมากโขเพราะก๋วยเตี๋ยวราคาเพียงชามละ ๑ สลึง) แต่พ่อเก็บไว้เป็นความลับไม่บอกให้ใครรู้ ในระหว่างนี้นายห้างจากกรุงเทพก็เดินทางมาตามตัวให้กลับไปทำงานอีกถึง ๓ ครั้ง แต่พ่อก็ปฎิเสธเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบมากเกินกว่าจะละทิ้งไปได้

 

(ผมเคย ถามพ่อว่าคำนวณหน้าไม้ยังไง ฟังเสร็จผมหัวร่อก้าก มันสูตรง่ายๆ  แต่ตรงกับเราขาคณิตที่เราเรียนเลย  ค่า ไพหารสี่  นั้นพ่อแทนด้วย 3 ก็นับว่าถูกต้องใช้ได้เลย  แถมได้กำไรอีกด้วย ทำให้ได้กำไรมากขึ้น แต่เป็นการโกงคนขายโดยปริยาย ..เล็กน้อย ขอกันกินมากกว่านี้  ดังนั้นหน้าไม้สูตรของพ่อก็คือ 3 คูณด้วยความยาวหน้าตัดสองครั้ง แล้วคูณด้วยความยาว หรือ ไพส่วนสี่ D sqaureed  L  นั่นเอง  )

         

ภาระหน้าที่ทำให้คุณพ่อกลายเป็นคนขี่ม้าเก่งคนหนึ่งเพราะต้องขี่ม้าเข้าไปตรวจงานตัดและชักลากไม้อยู่ตลอดเวลา  พ่อคุยว่าท่านสามารถขี่ม้าโดยไม่ต้องมีบังเหียนได้ โดยใช้วิธีดึงหูม้าเอาไว้ จะบังคับให้เลี้ยวซ้ายขวาได้ดังใจ พ่อเล่าไว้ด้วยว่าคุณป้าทองอยู่เองก็เป็นคนที่ขี่ม้าเก่งมาก

 

 ในระยะหลังๆ คุณพ่อก็มาชอบพออยู่กับคุณแม่แล้ว ท่านเล่าว่าบางครั้งก็ต้องทำไม้จนดึกดื่น ควบม้ากลับมาถึงหมู่บ้านเอารุ่งสางมองเห็นควันไฟลอยผ่านหลังคาบ้านของคุณแม่ก็ใจชื้น (คุณแม่ทำข้าวแกงและขนมขายแต่เช้าตรู่)

 

คุณพ่อมาชอบคุณแม่ได้ก็จากการชักชวนของคุณพี่สนุ่น ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับคุณแม่ (เพราะเหตุที่คุณพ่อของคุณพ่อของเรามีลูกตอนแก่มากนี่เอง เราจึงมีลูกพี่ลูกน้องอย่างพี่สนุ่น ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณแม่ของเรา)

 

          คุณพ่อแต่งงานกับคุณแม่ (อุทัย พวงธนสาร) เมื่อคุณพ่ออายุได้ ๒๕ ปี  ส่วนคุณแม่ ๒๒ ปี  (นับว่าเป็นสาวแก่ทีเดียวในสมัยโน้นที่ผู้หญิงนิยมแต่งงานเมื่ออายุ ๑๘-๒๐)

 

 เมื่อแต่งงานแล้วคุณแม่ก็มาเปิดร้านขายอาหารอยู่ในตลาดอำเภอวัฒนานคร เงินเก็บสองหมื่นกว่าบาทที่เหลือมาแต่ตอนทำงานในกรุงเทพก็เอามาลงทุนด้วย คุณพ่อไม่เล่นไพ่และไม่ดื่มเหล้า แต่ท่านเล่าว่าสมัยหนุ่มๆท่านแทงบิลเลียร์ดเก่ง เคยต่อให้คู่แข่งขันด้วยการแทงมือเดียวอีกมือหนึ่งอุ้มลูกมาแล้ว 

 

          หลังจากแต่งงานแล้ว พ่อก็ยังช่วยกิจการทำไม้กระดานของคุณป้าทองอยู่ดังเดิม เพียงแต่ในคราวนี้พ่อเข้าไปคุมการตัดและทำกระดานไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีให้พวกชาวบ้านทำกันเองแล้วเอาเข้ามาให้พ่อคำนวณหน้าไม้และราคาให้ก่อนที่จะเอาไปส่งและขึ้นเงินกับคุณป้า

 

พวกชาวบ้านจะเดินทางออกจากป่ากันมาเป็นคาราวาน เอาไม้กระดานบรรทุกเกวียนมาเป็นสิบๆเล่ม เสร็จแล้วพวกเขาก็จะซื้อข้าวของจำเป็นต่างๆเช่น เกลือ กะปิ น้ำปลา เพื่อเอาไปเจือจุนครอบครัวของพวกเขาในป่าดง

 

          ต่อมาคุณพ่อก็เข้าหุ้นกับเพื่อนๆของท่านมาจับอาชีพทำฟืนหลา และไม้ซุง (ฟืนหลาคือท่อนฟืนที่มีความยาวขนาด ๑หลา ใช้สำหรับ เป็นเชื้อเพลิงให้กับรถจักรไอน้ำ ที่มาจอดเติมฟืนที่สถานีรถไฟ)

 

ในสมัยบุกเบิกนั้นอำเภอวัฒนานครยังไม่มีถนน มีแต่ทางเกวียน ท่านเป็นคนแรกที่นำรถลากซุงแบบพ่วงสาลี่มาใช้ ไปออกรถเงินผ่อนมาโดยที่ขับรถก็ยังขับไม่เป็น ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารถลากสาลี่นั้นยิ่งขับยากเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนถอยหลัง แต่ความเป็นนักบุกเบิกของท่านก็ทำให้ท่านปราบพยศรถลากซุงได้ด้วยการทดลองขับมันไปเรื่อยๆจนเก่งและยังเป็นอาจารย์สอนคนอื่นขับรถลากซุงมาอีกมาก 

 

นอกจากจะขับรถเก่งแล้วท่านยังซ่อมรถเก่งอีกด้วย  ฝีมือในการซ่อมรถของท่านเป็นที่ยอมรับกันดีในวงการนังเลงรถสมัยโน้น จนถึงกับว่าท่านหันมาทำกิจการเปิดอู่ซ่อมรถอยู่ระยะหนึ่ง

 

          การทำไม้ซุงในสมัยโน้นก็ไม่ง่ายนัก เพราะไม่มีถนนหนทางและเครื่องทุ่นแรงอันทันสมัย บ่อยครั้งที่รถต้องติดหล่มอยู่กลางป่าดงดิบเป็นเวลาหลายๆวัน ต้องกินข้าวลิง (สำนวนชาวรถสมัยก่อน หมายความว่าหาของป่ากินไปตามยถากรรม) แต่บางครั้งก็โชคดีที่รถไปตายใกล้ๆบ้านชาวไร่ในป่า

 

พ่อเล่าว่าคนป่าคนดงในสมัยโน้นเป็นคนที่มีวัฒนธรรมสูงมาก เขาเห็นรถลากซุงติดหล่มก็ต้องมาช่วยอย่างสุดความสามารถ แถมยังเอาข้าวปลามาให้กินทุกมื้อ  ผิดกับในสมัยนี้ หากรถใครไปจอดตายริมทางต้องรีบทิ้งรถไปอยู่ที่อื่นไว้ก่อนเพราะกลัวถูกปล้น


คิดถึงเตี่ย (๓)…นักอ่านตัวยง

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 2:23 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1657

คุณพ่อมีลักษณะแปลกอยู่อย่างคือเป็นคนหัวสูงทางการศึกษา แม้ตัวท่านเองจะจบการศึกษาเพียงชั้นประถม ๔ มาอย่างกระท่อนกระแท่นเพราะสภาพเศรษฐกิจทางครอบครัวไม่เอื้ออำนวย แต่พอมีโอกาสท่านก็ทำการศึกษาด้วยตัวเองด้วยการอ่านหนังสือ เมื่อตอนวัยรุ่นทำงานอยู่กรุงเทพท่านมีเงินเดือนมาก ท่านก็ทุ่มเงินซื้อหนังสือมาอ่านอย่างไม่อั้น เช่น นิยายอิงพงศาวดารจีนหลายๆเรื่อง เช่น ขงเบ้ง ซิยิ่นกุ้ย และหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ

 

ท่านบันทึกไว้ว่าหนังสือของหลวงวิจิตรฯ นั้นท่านมีครบชุดหมดทุกเล่ม (คงจะมากกว่า ๕๐ เล่ม) บางครั้งท่านก็หนีงานไปเป็นสัปดาห์เพื่อนอนอ่านหนังสือเล่น นายห้างก็ไม่ว่าเพราะต้องง้อท่าน จึงไม่น่าเป็นการแปลกใจว่า คุณพ่อเป็นคนใช้ภาษาได้สละสลวยยิ่งคนหนึ่งเสมือนดั่งว่าเป็นผู้มีการศึกษาสูง

 

ในช่วงกลางคน คุณพ่อก็จะยังคงมีรสนิยมสูงในการอ่าน เข้ากรุงเทพแต่ละครั้งท่านจะต้องซื้อวารสาร”ชาวกรุง”มานั่งอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ วารสารนี้ถือกันว่าเป็นวารสารอ่านเบาสมองของผู้มีการศึกษาในสมัยโน้น

 

 

          เมื่อพูดเก่งก็ต้องเล่าเก่งโดยอัตโนมัติ คุณพ่อชอบเล่านิทานให้ลูกๆฟังเสมอ เนื่องจากว่าคุณพ่อเป็นคนสามวัฒนธรรม (คือ จีน ไทย และ ลาว) และท่านสนใจศึกษาขนบธรรมเนียมของทั้งสามวัฒนธรรม จึงเป็นผลพลอยได้ของลูกๆที่ได้ฟังนิทานของทั้งสามวัฒนธรรมจากท่าน

 

ท่านชอบเล่าเรื่อง”ขงเบ้ง”มากที่สุด พร้อมกับตั้งคำถามให้ลูกๆคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรถ้าต้องเผชิญสถานการณ์คับขันอย่างตัวละครในท้องเรื่องบ้าง บางครั้งท่านก็เล่า “ซิยิ่นกุ้ย”    สำหรับนิทานไทยท่านชอบเล่า “ไอ้เจ็ดทะนน” “นางสิบสอง” “พระรถเมรี” “นางผมหอม” ส่วนนิทานลาว ท่านชอบเล่า “บักเซียงเมี่ยง” “ท้าวแสนปม” นอกจากนั้นท่านยังชอบเล่าเรื่อง”เมาคลีลูกหมาป่า”

มาก นิทานเมาคลีนั้น ในสมัยโน้นเฉพาะคนชั้นสูงที่มีการศึกษาเท่านั้นจึงจะรู้จัก แต่คุณพ่อก็รู้ (จากการอ่าน) เพราะท่านเป็นคนใฝ่รู้

 

          พ่อยังชอบสรรหาปัญหาต่างๆมาลองเชาว์ลูกๆ(อายุ ๕-๑๐ขวบ) เช่นปัญหานกซึ่งมีอยู่ว่า มีนกอยู่ฝูงหนึ่งบินลงมาจับใบบัวในสระน้ำ ในตอนแรกนกเกาะใบบัวอยู่ใบละหนึ่งตัว ปรากฎว่ามีนกเหลืออยู่หนึ่งตัวไม่มีใบบัวจะเกาะ นกก็เลยบินขึ้นใหม่ คราวนี้เกาะใบบัวละ ๒ ตัว ปรากฎว่ามีใบบัวเหลืออยู่หนึ่งใบ ถามว่ามีนกกี่ตัว และมีใบบัวกี่ใบ 

 

ท่านจะมีปัญหาทางคณิตศาสตร์ทำนองนี้มากมายมาถามลูก นอกจากนี้ยังมีคำถามทางการใช้ภาษา เช่น ถามว่าอย่างดีชนิดเลว กับอย่างเลวชนิดดี อย่างไหนจะดีกว่ากัน หรือ หมูกินขี้กา กับ กากินขี้หมู อย่างไหนจะดีกว่ากัน

 

คำถามอันสุดท้ายนี้ได้กลายมาเป็นชนวนให้ลูกๆเล่นคำผวนกันอย่างสนุกสนาน จนถึงขนาดว่าพวกเด็กๆสร้างภาษาคำผวนพิเศษขึ้นมาใช้กันเองภายในครอบครัว จนสามารถนินทาคนอื่นได้ต่อหน้าเขาโดยเขาไม่รู้ตัว เช่น เมื่อเข้าไปทานอาหารในร้านอาหารเราจะถามกันว่า “ออยไหม” อีกคนก็จะตอบว่า “ม่อย” หรือ ถ้ามันแย่มากๆเราก็อาจจะตอบว่า “เเอ้ก”

 

พวกเราลูกๆจะผวนคำต่างๆโดยจะผวนเฉพาะสระแต่ไม่ผวนวรรณยุกต์ เสร็จแล้วก็จะตัดคำทั้งคำทิ้งเหลือไว้แต่พยางค์แรกพยางค์เดียว เช่น อร่อย ก็จะกลายเป็น ออย(หร่า) ไม่อร่อย ก็จะกลายเป็น ม่อย(อะไหร่) อ้วกจะแตก ก็จะกลายเป็น แอ้ก(จะตวก) เราจะจดจำโค้ดลับภาษาผวนของพวกเราได้หลายร้อยคำ

 

พ่อและแม่ก็เลยได้พลอยเรียนภาษาที่พวกเราคิดค้นกันขึ้นมาด้วย ตัวพ่อเองก็มีส่วนร่วมในการตั้งคำไหม่ๆที่ฮิตติดตลาดได้หลายคำ เช่น แจ่ว(ลบ) = จบแล้ว แหม่ว(ลด) = หมดแล้ว

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพ ในขณะที่กำลังขายอาหารอยู่ มีแขกอยู่เต็มร้าน พ่อไม่อยากให้แขก(ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนรู้จักกัน)รู้ว่ากำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพ พ่อก็เลยตะโกนสั่งลูกที่กำลังช่วยทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์อยู่ว่า “กั่งให้พ่อสืนเด๊อ พ่อจะไปเกบ” 

 

…ลูกก็พยักหน้าหงึกๆ บอกว่าเข้าใจการสื่อสาร ซึ่งแปลออกมาเป็นภาษาปกติได้ว่า “เก็บสตางค์ให้พ่อสองหมื่นเด๊อ พ่อจะไปกรุงเทพ”


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๒๒) (ไม่มีอดีตก็ไม่มีอนาคต)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 1:52 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1216

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๒๒) (ไม่มีอดีตก็ไม่มีอนาคต)

 

คนไทยเราสนใจแต่อนาคต จน นายกฯทุกคน ต่างก็ไม่วายเว้นให้คำขวัญวันเด็กเหมือนๆกัน ทำนองว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” ซึ่งผมว่าผิดถนัด แท้จริงแล้วผมว่า คนแก่ต่างหากเล่าที่คืออนาคตของชาติ

 

แต่ฝรั่งเขาให้ความสำคัญกับคนแก่ (อดีต) มากกว่าคนหนุ่มสาว และเด็ก (อนาคต)

 

…ดารา นักร้อง นักข่าว ไทยเรา มักคัดเอาแต่เด็กๆ หน้าตาสวย หล่อ เป็นหลัก พูดจา ท่าทางก็แสนหน่อมเน้ม งี่เง่า…………..ส่วนฝรั่งเอาความสามารถเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องพวกนี้มักมาตกที่คนแก่

 

ดาราฝรั่งจะพีค (peak) …แปลว่าได้ค่าตัวสูงสุดเมื่อ…ถ้าเป็นหญิงประมาณอายุ 40 ถ้าเป็นชายประมาณอายุ 50 ส่วนดาราไทย ก็ 20 ถึง 25 ตามลำดับ ถ้าเกินกว่านี้ก็ถดถอยแล้ว ต้องไปเล่นเป็น น้า อา แม่ ลุง ป้า ปู่ ย่า ตามลำดับ

 

นี่ว่าเฉพาะดารา ที่ยังพอฟังขึ้น ส่วนนักข่าวหน้าจอนี่ ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องการสมองมากกว่ารูปร่าง แต่ของไทยเราก็เห็นมีแต่นักข่าวสาว ใส่เสื้อคอลึกกระโปรงสั้นโชนมและขาอ่อนเป็นหลัก  ขนาดออกเสียงให้ถูกต้องยังทำไม่เป็น  อ่านตามสคริปต์ก็ยังตกหล่น แล้วมันมาเป็นนักข่าวได้อย่างไร น่าไปเป็นไก่ริมถนนเสียมากกว่า  ในขณะที่นักข่าวฝรั่งส่วนใหญ่แก่ประมาณ 45 ขึ้นทั้งนั้น จน 70 ก็ยังมี 

 

นี่แสดงให้เห็นชัดว่าฝรั่งเน้นกันที่เนื้อหา ส่วนไทยเน้นกันที่รูปแบบ

 

ฝรั่งเขานิยมของแก่ ของเก่า (ยกเว้นพวกหัวงูฝรั่ง ก็ชอบเด็กสาวเหมือนหัวงูไทย )  จึงนิยมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันมาก  เมืองฮัมบูร์ก (เยอรมันนี) เมืองเดียว พลเมืองประมาณ 1 ล้าน มีพิพิธภัณฑ์ 200 แห่ง ในขณะที่กทม. มี 10 ล้านคน กลับมีไม่ถึง 10  แห่งกระมัง คนดูหรอมแหรมอีกต่างหาก พภ.แห่งชาติมีแต่ฝรั่งเข้าชมเป็นส่วนใหญ่ และก็มีเด็กนักเรียนที่ครู (บังคับ) พามาชม  ส่วนประชาชนไทยทั่วไปแทบหาไม่เจอ

 

การขุดค้นทางโบราณคดีไทยเรา ต้องให้ฝรั่งมาขุด และมาสอนเราว่าเราเป็นใครมาจากไหน การอ่านหลักศิลาจารึก ก็ต้องให้ฝรั่งอ่าน ภาษาเราเองแท้ๆ มันหน้าเศร้ามากจริงๆ

 

ถ้าคนไทยเราศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีจะเกิดความภูมิใจและมั่นใจในตนมากกว่านี้ เพราะในอดีตแม้เพียง 300 ปีที่ผ่านมานี้ชาติไทยเราไม่ได้ด้อยไปกว่าฝรั่งเลย  เช่น สมัยสมเด็จพระนารายณ์เรามีปืนใหญ่ไฟใช้แล้ว จนญี่ปุ่นต้องมาขอพึ่งเทคโนโลยีด้วยการส่งเทคโนโลยีการรบบนหลังม้าของซามูไรมาแลกเปลี่ยนหนึ่งกองร้อย  (จนทำรายได้ทางอ้อมให้ไทยมาจนวันนี้เพราะดึงดูดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้มาชมหมู่บ้านซามูไรในไทย)  และเราสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกช้างได้ 50 เชือก  (จะลำโตขนาดไหน)  เป็นต้น ก็ในสมัยนั้นยุคเรือปืน ใครมีสองอย่างนี้ก็ครองโลกได้ เช่น ปอร์ตุเกส  ฮอร์ลันดา และเสปน  ส่วนอังกฤษ เมกา เยอรมันยังเพิ่งตั้งไข่

 

ยิ่ง 3000 ปีก่อนยิ่งแล้วใหญ่ เราเจริญกว่าฝรั่งมากด้วยซ้ำไป มีหลักฐาน เหตุผล ที่น่าเชื่อได้ว่า ดินแดนขวานทองนี้เป็นต้นกำเนิดของยุคสำคัญของโลก เช่น ยุคเทคโนโลยีสำริด ยุคเหล็ก และยุคจรวด   แต่พอถึงยุคอุตสาหกรรมเรากลับตกชั้นอย่างหลุดลุ่ย ต้องถามว่าทำไมเราถูกแซงฉลุยจนถึงทุกวันนี้ ….อาจเป็นเพราะเราไม่ศึกษาอดีต และไม่สืบต่ออารยธรรมดั้งเดิมนั่นเอง

 

การขุดค้นพบสำริดครั้งแรกที่บ้านเชียงนั้นได้รับการตรวจสอบอายุจาก ม.เพ็นซิลวาเนีย (ไอวีลีคส์ สรอ. ) และม. โอตาโก้ (ม.ชั้นนำสุดของนิวซีแลนด์) ได้ผลตรงกันว่าอายุประมาณหกพันปี ทำให้โลกตะลึงกันไปทั่วว่านี่คือจุดอารยธรรมสำริดเก่าแก่ที่สุดในโลก เก่ากว่าที่เมโสโปเตเมียที่ฝรั่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมฝรั่ง (และโลก)  ถึงหนึ่งพันปี

 

ต่อมาอายุสำริดบ้านเชียงถูกลดระดับลงเหลือเพียง 4000 ปี เท่านั้น จนอ่อนกว่าที่เมโสฯ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นการทุจริตทางวิชาการของฝรั่ง เพื่อทำให้ฝรั่งยังคงเป็นแชมป์นั่นเอง โดยนักวิชาการไทยเราก็ไม่มีอำนาจต่อรอง (เพราะไม่มีความรู้เรื่องการวัดอายุวัตถุโบราณ …ทั้งที่ก็มีนักฟิสิกส์เก่งๆที่ส่งไปเรียนนอกกลับมากันเต็มเมือง) 

 

ไทยเราน่าจะเป็นชาติแรกในโลกที่คิดค้นจรวด (หลักฐานคือ บั้งไฟ และ ตะไล)  แต่พอพูดถึงบั้งไฟคนไทยส่วนใหญ่ก็นึกแต่ดูถูก หาว่าเป็นเรื่องของลาวอีสานที่งี่เง่า ยากจน โดยสูน่ะแหละที่งั่งจนหารู้ไม่ว่านี่แหละคือเทคโนสูงสุดของโลก ไม่เช่นนั้นพวกฝรั่งเขาไม่มีวลีติดปากหรอกว่า “smart  like a rocket scientist” (ฉลาดยังกะนักสร้างบั้งไฟ) ส่วนไทยเราไปยกความฉลาดสูงสุดให้เป็นพวกหัวหมอ หัวเสธ ไปโน่น

 

ยิ่งตะไลยิ่งแล้วใหญ่ เป็นจรวดที่มีทรงคล้ายขนมกง หรือ โดนัท พุ่งทะยานสู่ฟ้าแบบควงสว่าน ที่ภัณฑรักษ์  (curator) แห่ง Smithsonian Aerospace Institute ได้บินลัดฟ้ามาหาผมเพื่อขอดู แล้วสรุปว่าไม่มีที่ไหนในโลก เป็นของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งนี่มันเป็นพ่อของ rocket scientist อีกต่อ ที่ผมขอท้าว่าถ้าให้ ดร. ฝรั่งจบป.เอกด้าน aerospace engineering มาทำให้ขึ้น โดยให้เวลาสัก 5 ปี (และห้ามถามหาขอความรู้จากใคร) ผมพนันว่าทำไม่ขึ้นหรอกครับ  แต่คนไทยโบราณทำขึ้นมาแล้ว และกำลังจะสูญหาย ไม่มีใครทำเป็นอีกแล้ว

 

ว่าถึงปีกเครื่องบิน  ผมได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว สรุปว่า คนไทยเป็นชาติแรกที่คิดค้นปีกเครื่องบิน หลักฐานมีอยู่ในกังหันลมไทยโบราณ (มีจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีไทยโบราณ มทส.) ปีกนี้ใช้หลักการทางอากาศพลศาสตร์ (aerodynamic) ทำให้เกิดแรงยกแบบปีกเครื่องบินเด๊ะเลย โดยเราทำจากไม้กระดาน เอามาเหลาให้อีกด้านหนึ่งโค้งมน ส่วนอีกด้านแบน ทำให้ได้แรงยกเมื่อหมุนไป  เพียงแต่ว่าเราเอาแรงยกนี้มาแตกแรง (แน่ะ..รู้จักการแตกแรงอีกด้วย) เพื่อนำแรงมาหมุนใบกังหัน แล้วต่ออาการไปวิดน้ำเข้านา …กังหันนี้มีมาแต่อย่างน้อยสมัยร.๕ ดังที่บันทึกไว้โดยหมอบรัดเลย์  (Bradley?)  แต่ฝรั่งเพิ่งรู้จักหลักการนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี คศ. ๑๙๐๓ นี่เอง ที่สองพี่น้องตระกูลไรท์ได้ทดลองการบิน ..ส่วนกังหันของพวกวิลันดาที่เรายกย่องให้เป็นแดนกังหันลมนั้น ใช้หลักการแรงฉุด (drag) ที่ไม่ได้สูงส่งอะไรเลย  (ดอกทิวลิปที่คลั่งไคล้กันนั้นก็ไม่ได้วิเศษไปว่าดอกกระเจียวเลย ของเรามีหลายชั้นซับซ้อนกว่าด้วยซ้ำแต่กลับไม่คลั่งไคล้กัน เออ..จิ้มแจ่วกินกันตายก็ได้อีกด้วย)

 

ยังมีอีกมาก เช่น กลไกการเปลี่ยนอาการโยกเป็นอาการหมุน ที่โลกยกย่องให้เป็นการคิดค้นของ james watts เจ้าพ่อเครื่องจักรไอน้ำที่เป็นต้นธารแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อประมาณ 250 ปีมาแล้ว ..แต่เครื่องสีข้าวมือโยกไทยเรามีมานานก่อนหน้านั้นแล้ว  แล้วเราก็ได้ทำเครื่อง “ตะบันไฟ” ที่น่าจะทำให้เราต่อยอดเป็นเครื่องยนต์ดีเซลได้ก่อนฝรั่งเสียอีก  แต่ทุกวันนี้หาตะบันไฟเข้าพิพิธภัณฑ์ยังแสนยาก ผมขับรถตระเวนหามาห้ารอบประเทศได้มาสองอันเท่านั้นเอง

 

ฟันเฟืองเป็นการคิดค้นที่สำคัญ จนเป็นสัญลักษณ์ของวิศวกรรมศาสตร์ แต่เฟืองขบแบบฟันปลาพลิกกลับ (double helical gear) เพื่อทดรอบการหมุน ที่วิศวกรฝรั่งคิดค้นกันเร็วๆนี้ ก็มีหลักฐานให้เห็นอยู่ในเครื่องหีบอ้อยไทยโบราณ และ เครื่องคัดเมล็ดฝ้ายโบราณที่เราเรียกกันว่า “อิ้ว” ฯลฯ

 

คนไทยโบราณเราฉลาดล้ำเลิศปานนั้น แต่ถามว่าทำไมชาติไทยเราวันนี้กลับงี่เง่า คิดและทำอะไรเองไม่เป็น ดีแต่ลอกเขามาใช้ไปวันๆ พัฒนาประเทศก็ต้องไปยืมทุนและสมองเขามาก การศึกษาก็ต้องส่งไปเรียนนอก การเมือง การดนตรี แต่งกาย แม้แต่ส้วมขี้ ก็ไปลอกเขามาหมด

 

Those who don’t  study  history are condemned to repeat it.  นั่นคือภาษิตดังอันหนึ่งของฝรั่งเขา  แปลว่า “พวกที่ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์จะถูกสาปแช่งให้เดินซ้ำรอยเดิม” 

 

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๑๒ พย. ๕๓)

 


เตาอุ่นอาหารประหยัดพลังงาน

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 12:43 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1433

เตาอุ่นอาหารประหยัดพลังงาน

 

แอ่วเหนือเที่ยวนี้ได้แนวคิดหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ เตาอุ่นอาหารแบบใหม่ ที่ใช้น้ำมันเหลือใช้

 

แนวคิดนี้เกิดจากการที่ได้เห็น ตะเกียงน้ำมันพืช (หรือน้ำมันเหลือใช้ก็ได้)  ที่ทำเป็นอ่างดินเผา แล้วเอาใส้ตะเกียงไปชุบชูไว้ตรงกลาง  เห็นมีวางขายมากหลายในร้านของที่ระลึก  ผมซื้อมาตั้งครึ่งโหล อันละ 20 บาทเท่านั้นเอง

 

ถ้าเพียงแค่เราบากขอบกระถางให้เป็นร่องสักสามร่อง ผมเชื่อว่า เราก็จะได้เตาอุ่นอาหารแล้ว โดยเอาหม้อไปตั้งไว้ที่ขอบอ่าง

 

ใช้ในร้านอาหารได้เป็นอย่างดี น้ำมันทอดที่เหลือใช้ก็เอามาใช้ในการนี้

 

นักประดิษฐ์ทั้งหลาย ลองทำดูนะครับ  (ครูราม ลองให้นักเรียนทำดูครับ)

 

ความจริง จดสิทธิบัตร ขายได้ทั่วโลกเลยนะเนี่ย

 

..คนถางทาง (๒ มิย ๕๔)


อู้กำเก่า..เว้าอีสาน

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 June 2011 เวลา 12:23 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1207

ผมได้ตั้งข้อสังเกตมานานนับสิบปีแล้วว่า อาหารพื้น (staple) ของคนในโลกนี้มีไม่กีอย่าง คือ

 

ข้าวจ้าว  ข้าวสาลี ข้าวโพด มัน และข้าวเหนียว

 

วัฒนธรรมข้าวเหนียวนี้แปลกมากๆ ในโลกนี้ มีอยู่เพียงชาวไทยเหนือ ไทยอีสาน และ ลาว เท่านั้น ที่กินอาหารพื้นนี้ เป็นวิถีชีวิตที่น่าส่งเสริมให้ดำรงอยู่คู่โลกต่อไป แต่ตอนนี้หันมากินข้าวจ้าวกันมาก จนกลัวว่าจะสูญหายไปในที่สุด

 

น่าศึกษามากๆ ว่าวัฒนธรรมนี้มาได้อย่างไร

 

คนข้าวเหนียว จะมีภาษาพูดคล้ายกัน เช่น (ซ้ายเหนือ ขวาอีสาน)

เปิ้น เพิน

จะได๋ จังได๋

แล้ง แล้ง (เย็น)

อันหยัง อีหยัง

อ้าย อ้าย (พี่)

คำ คำ (ทอง)

บ่ บ่ (ไม่)

ฯลฯ

 

ตัว ร ก็ออกเสียงเป็น ฮ เหมือนกัน  เช่น รักเป็นฮัก เรือนเป็นเฮือน

 

การออกเสียงตัว ย ก็ขึ้นจมูกเหมือนกัน เหมือนภาษาเสปน ที่ว่า espanya หรือ อาหารลาซังย่า

 

ที่น่าสนใจมากคือ ยี่สิบ ทางล้านนาว่า ซาว   แต่ที่อุบล สกล ก็ซาวเหมือนกัน ส่วนอีสานที่เหลือ กลับว่า ยี่สิบ เหมือนไทย

 

..คนถางทาง (๑ มิย ๕๔)

 


ไข่เค็มด่วน

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 June 2011 เวลา 11:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1766

ไข่เค็มรวดเร็ว

 

การทำไข่เค็มตามปกติ ใช้เวลา 15-30 วัน

 

แต่ผมได้ทดลองคิดว่า มันน่าจะทำได้เร็วกว่านี้มาก ด้วยการเอาเข็ม ฉีดน้ำเกลือเข้าไปที่ใจกลางไข่ แล้วอุดรูเจาะด้วยกาวชีวภาพที่ไม่เป็นพิษ เช่น หมากฝรั่ง แบบนี้สองสามวันก็น่าจะได้แล้ว

 

แทนที่จะฉีดด้วยน้ำเค็มเฉยๆ อาจผสมสมุนไพรกลิ่นต่างๆด้วยก็ได้นะ

 

ครูรามควรลองทำดู  ขอเข็มฉีดจากแม่อุ๋ย

 

คิดมาได้สัก 20 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ลองทำดูสักที

 

..คนถางทาง (๑ มิย ๕๔)


คิดถึงเตี่ย (๒)..คนสวนเพี้ยน

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 June 2011 เวลา 3:00 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2034

เตี่ยเล่าว่า แท้จริงแล้ว วิญญาณเกิดในเมืองไทย เพราะคุณแม่ตั้งท้องในเมืองไทย แต่ไปคลอดในเมืองจีน เพราะคุณแม่ไม่ไว้ใจการแพทย์ของเมืองไทยในการทำคลอด (นี่แสดงว่ารวยมากทีเดียว มีเงินเดินทางไปทำคลอดแบบนี้)

 

ก็เลยพำนักอยู่เมืองจีนจนอายุได้ประมาณห้าขวบ จึงย้ายมาอยู่เมืองไทย อีกครา

 

นอกจากการคิดค้นอุปกรณ์วิศวกรรมต่างๆ แล้ว เตี่ยยังคิด และสร้างอุปกรณ์อะไรจิปาถะอีกมากหลาย   จนลูกๆ ทั้งห้าคน ตั้งฉายาให้ว่า “โดเรมอน”

 

ห้าคน?  …ทั้งที่เตี่ยมีลูก 6 คน …ที่หายไปหนึ่งคือผมเอง เพราะไปอยู่เมืองนอก 18 ปี จนไม่ได้มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อกะเขา …โดเรม่อน คืออะไร ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ต้องมาถามเอากับพี่ๆน้องๆ

 

ตอนแก่ ..เตี่ยหันมาทำสวน ก็มาทำอะไรเพี้ยนๆ อีกหลากหลาย เช่น เอาลำใยเมืองเหนือ มาปลูกที่ภาคตะวันออกเป็นคนแรก ใครๆก็หาว่าเพี้ยน แต่ลำใยปราจีนออกลูกก่อนเชียงใหม่ 1 เดือน ได้ราคาดี  เป็นที่ฮือฮา  ออกหนังสือ ออกทีวี เป็นว่าเล่น …ในที่สุดได้รับคัดเลือกเป็น พ่อดีเด่นแห่งชาติ รุ่นแรก กะเขาไปด้วย

 

อยู่กะสวนยุคโน้น ท่านก็ฉีดพ่นสารเคมี ไปตามกระแสโลภาภิวัฒน์  สูดควันอะไรไปมาก รวมทั้งควันบุหรี่ อ้อ ที่ท่านคิดจนได้ลง นสพ. มีอีกอย่างคือเอาไฟล่อแมลง ให้มาตกบ่อน้ำ

 

สำบุกสำบัน อบร่ำควันทั้งหลายมามากมายอย่างท่าน มีสิริรวมอายุมาได้ ๖๙ ก็นับว่าอยู่มาได้นานพอดู

 

เตี่ยเล่าด้วยว่า สมัยเป็นเด็กอยู่เมืองจีน เคยพบกับเมาเซตุง ขณะเดินทัพผ่านหมู่บ้าน  ท่านและพี่ชายเอาข้าวโพดใส่กระบุงไปขายให้ทหารที่เดินทัพ ปรากฏว่าขายหมด ได้เงินมากหลาย

 

หมู่บ้านชาวแคะ ตั้งอยู่บนเนินเขา มีกำแพงล้อมรอบ กันโจรปล้น พอหน้าแล้ง ขาดแคลนน้ำ บางทีต้องเอาลูกหญ้ามาต้มกินแทนข้าว บางครั้งต้องรบกับหมู่บ้านข้างเคียงเพื่อแย่งน้ำกัน

 

ผู้ใหญ่ก็ถือดาบรบกับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กๆ ก็รบกับเด็กด้วยกัน โดยใช้ไม้ และ หิน และ หนังกะติ๊ก (หนังกะติ๊ก?) ยิงเข้าใส่กัน

 

วันนี้ล็อกอินเข้าไปดูหมู่บ้าน hakka แล้ว โอ้ …มันอลังการ์ จริงๆ น่ายกเป็นมรดกโลกได้เลย  เป็นไปตามที่เตี่ยเล่า

 

 

…คนถางทาง (พค. ๒๕๕๔)



Main: 0.27002096176147 sec
Sidebar: 0.017215967178345 sec