ไทยโง่รำพัน (๑)…เยิงเข้าไป

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 25 June 2011 เวลา 1:40 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1898

ไทยโง่รำพัน

 

บรรพชนคนไทยเรานี้แสนฉลาด แต่ทำไมลูกหลานมันสร้างชาติไม่ได้สักที

 

สองสัปดาห์มานี้ผมฟังเพลง “ไทยดำรำพัน” สักร้อยเที่ยวเห็นจะได้ ต้องกราบเท้าขอบคุณท่าน ก.วิเสด ที่ได้แต่งเนื้อร้อง ทำนอง และร้องด้วย

…แต่ไปสำรวจดูเนื้อเพลง ปรากฏว่ามีหลากหลายเวอร์ชั่นมาก จนตาลายไปหมด …นี่แหละคนไตแต้ๆ จริงๆ ทำอะไรชุ่ยๆเสมอ ทั้งที่คนแต่งเพลง ยังไม่ตายด้วยซ้ำไป  ลองดูเนื้อเพลงมาตรฐานนะครับ

 

แล้วดูตัวสีแดงที่ผมจงใจแต้มไว้ด้วย

 

 ไทยดำรำพัน……….ก.วิเสส

สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน (เดินกันไป)
จงเอ็นดู กุ่งข้าน้อย ที่พลอยพลัดบ้าน
เฮาคนไทย ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน
จงฮักกันเด้อ ไตดำเฮานา

สิบห้าปี ที่ไตดำเฮา เสียดายเด (เดินกันไป)
เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้า
เฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลา
ปะให้ปาหนา น้ำตาไตไหล

สิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง (เดินกันไป)
เคยฮุ่งเฮือง กุ่งข้าน้อย อยู่สุขสบาย
ลุงแก่งตา ได้สางสา บ้านเมืองไว้ให้
บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด

เพียงคำว่า “เดินกันไป” นี้ก็มีสัก 10 รูปแบบ บ้างว่า เดินเข้าไป บ้างว่า เยิงเข้าไป

 

ผมสะดุดกับคำว่า “เยิงเข้าไป” มากๆ และสงสัยว่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกต้อง หลังจากตรวจสอบกับเสียงร้องต้นฉบับของก.วิเสส หลายรอบ.. ที่ฟังอู้อี้มาก (สมัยอายุ 13 ผมฟังแล้วก็ได้ยินว่า “เดินเข้าไป” กะเขาเหมือนกัน)

ถ้าที่ผมว่ามานั้นใช่..แล้วคำว่า เยิง นี้หมายถึงใคร? ญวณ หรือ ฝรั่งเศส …เพราะทั้งสองพวกนี้เข้าไปยังเมืองแถน (เดียนเบียน…ภู) เพื่อทำสงครามกัน จนคนไตต้องหนีถอยอพยพออกมาอยู่ราชบุรี เพชรบุรีแห่งสยามจนถึงวันนี้

หรือว่า เยิงเข้าไป แปลว่า ยิงเข้าไป …นักอักษรศาสตร์ไทยหายหัวหมด หันไปศึกษาแต่ภาษาอังกฤษกันหมด จนจะสิ้นชาติอยู่แล้ว

 

โฮ้ย..เหนื่อย แล้วทำไมกรูต้องมาเหนื่อยแทนกนตัยด้วยฟะ ประเต้ดนี้บ่ไจ่ของกู่กนเดี่ยวจั๊กหน่อย ..ชิมิ

 

…ขอพักสักกะนิด เดี๋ยวจะมาเว้า ต่อ แล้วลบทิ้งในภายหลัง ..อิอิ

—คนคลำทาง

ปล. ถ้าผมจบมาด้านสังคมศาสตร์ป่านนี้ผมคงทำวิจัยจนได้คำตอบแล้วหละ

 


แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 25 June 2011 เวลา 1:58 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3259

ทราบมาว่าทุกวันนี้ระบบการศึกษาไทยเขารังเกียจการเรียนแบบท่องจำ (ตามก้นฝรั่ง) โดยเฉพาะท่องอาขยาน สูญพันธุ์ไปหมดแล้วจากรร.ประถม มัธยม ซึ่งผมขอคัดค้านอย่างรุนแรง

 

เหตุผลของผมมีหลายประการ..เช่น

 

หนึ่ง การท่องอาขยานเป็นการพัฒนาสมองในด้านความจำ  เราต้องอย่าไปเห่อการคิดวิเคราะห์จนเกินการณ์ไป การวิเคราะห์จะทำไม่ได้ดีถ้าจำอะไรไม่ได้เลย …เพราะคนจะวิเคราะห์เก่งได้ต้องจำเก่งก่อน

คนเราจะวิเคราะห์อะไรได้ หากจำอะไรไม่ได้เลย เช่นแม่สูตรคูณ สูตรฟิสิกส์ g=32.2 และความสอดคล้อง เชื่อมโยงของการจำเหล่านั้น ซึ่งคนแต่งกลอนเก่ง ก็เชื่อมโยงเก่ง …นี่ไง สมองขวา เชื่อมกับสมองซ้าย ที่ไอ้พวกเอี้ยไม่เคยคิดกันออก

 

สอง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ที่บรรพชนแต่งไว้ คืออารยธรรมและมรดกที่ล้ำค่าที่สุดของชาติไทยก็ว่าได้ เพราะเรานำโลกทางด้านนี้เพียงด้านเดียวเท่านั้นก็ว่าได้ ถ้าเราไม่ส่งทอดต่อไปยังเด็กๆ ก็เท่ากับว่าเรากำลังทำลายมรดกนี้อย่างโง่เง่าที่สุด

 

การท่องกลอนร่วมกันได้เป็นสิ่งที่ร้อยรัดความเป็นไทยเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียนที่สุด  ไม่เชื่อไปหาฟังตามงานเลี้ยงรุ่นของคนแก่ๆได้เสมอ

 

สาม การท่องกลอน จะช่วยพัฒนาสมองด้านขวา เอามาเสริมสมองด้านซ้าย (การวิเคราะห์) ซึ่งจะทำให้เด็กของเรา คิดอะไรคิดรอบด้าน  และคิดเก่งกว่าคนอื่นในโลก

 

สี่ จะช่วยพัฒนาเด็กให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ มีทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่เนื้อหนังที่ถูกโปรแกรมอัตโนมัติ (Automaton)

 

อาขยานวัยเด็กที่ผมชอบมากที่สุด ที่ระลึกได้ในวันนี้คือ กลอนชมนก (สงสัยจะเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ 16 หรือว่าเป็นกาพย์ยานี  หรือกาพย์ฉบัง ก็ไม่ทราบ วานท่านผู้รู้ช่วยเฉลยด้วยครับ )

 

……

กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคลอเคียง

แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง

ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เพลินฟังวังเวง

ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง

ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง เพียงฆ้องกลองระฆัง

แตรสังข์กังสดารขานเสียง

 

ช่างไพเราะจับใจ และเป็นแรงบันดาลใจในหลายเรื่องไม่รู้สร่างมาจนบัดนี้

 

ไอ้ใครหนอที่มันเป็นคนสั่งการให้เลิกการท่องอาขยานในโรงเรียน ใครรู้ช่วยบอกที ผมจะได้จำชื่อไว้บอกลูกหลานต่อไป

 

…ดำเนินทราย (พศ. ๒๕๔๐)


นายปรีดีกับทหารเรือ…ความสัมพันธ์ล้ำลึกที่ประวัติศาสตร์ลืมจารึก (ตอนที่ ๑)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 24 June 2011 เวลา 9:43 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2058

นายปรีดีกับทหารเรือ…ความสัมพันธ์ล้ำลึกที่ประวัติศาสตร์ลืมจารึก (ตอนที่ ๑)

 

นายทหารเรือในยุค พศ. ๒๔๗๕ นั้น ดูเหมือนว่าเป็นนายทหารที่มีหัวก้าวหน้าทางการเมืองเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะว่าต่างก็จบการศึกษามาจากยุโรป เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส   ดังจะเห็นได้ว่าในประดาสมาชิกคณะราษฎ์นั้น มี “ทหาร” เรืออยู่หลายคนทีเดียว (เฉพาะพวกกล้าแสดงตัว)

 

 

ปัญญาชนคนทหารเรือช่วงนั้น มี นาวาตรี หลวงสินธ์สงครามชัย เป็นต้น (ซึ่งจบมาจากฝรั่งเศส น่าจะเป็นเพื่อนสนิทกับนายปรีดี ..หลวงสินธิ์ฯนี้แต่งตำราตรีโกนฯทรงกลมได้ดีนัก ผู้เขียนเองยังมีโอกาสได้เรียนวิชานี้จากตำราที่ท่านเขียนไว้แต่ก่อนกึ่งพุทธกาล (เรียนเมื่อพศ. ๒๕๑๕ ขณะเป็นนักเรียนนายเรือ ปีที่ ๑…โคตรยากส์)

 

เดาได้ว่า ทหารเรือรุ่นโน้น  มีจิตใจเสรีประชาธิปไตยสูงมาก (โน้มตามผู้นำกองทัพ)  จนกลายเป็นกองทัพที่ค้ำจุนกิจการประชาธิปไตยของนายปรีดี พนมยงค์… อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

 

ดังจะเห็นได้ว่า..นายทหารประจำตัวนายปรีดีก็เป็นทหารเรือทั้งสิ้น  จนติดร่างแหคดีลอบปลงพระชนม์ตามที่ถูกใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามไปตามๆกัน

 

จวบจนถึงวาระสุดท้ายทางการเมืองของนายปรีดี เมื่อ ๒๖ กุมภา ๒๔๙๒ ทหารเรือก็ร่วมก่อการยึดอำนาจรัฐกับท่านปรีดี  โดยมีพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ (ผบ. กองกำลังนาวิกโยธิน)  เป็นแกนนำ ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่ล้มเหลว จึงกลายเป็น “กบฏ” ในที่สุด (เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง”)

 

บุญของประเทศไทยคงทำมาน้อย จึงปล่อยให้กบฏนี้ไม่สำเร็จ เพียงเพราะน้ำลงที่ปากแม่น้ำบางปะกง ทำให้ทหารนาวิกโยธินจากสัตหีบเข้ามาเสริมกำลังในพระนครไม่ทันกาล

 

ในขณะกุมอำนาจบริหารประเทศ ก่อนพศ. ๒๔๙๐  แม้ในระยะอันสั้น แต่นายปรีดีก็ดูเหมือนว่าได้มอบให้ทหารเรือเป็นแกนนำในการสร้างรากฐานอุตสาหกรรมให้แก่ประเทศไทยมากหลาย (ไม่มีเอกสารอ้างอิง ..ได้ยินมาจากทหารเรือรุ่นก่อนๆ บอกกันต่อมา) … เช่นการจัดตั้ง องค์การอาหารสำเร็จรูป (อสร. ..หรืออาหารกระป๋องนั่นเอง…เป็นครั้งแรกของประเทศไทย)  องค์การแบตเตอรี่ องค์การเชื้อเพลิง โรงงานไม้อัดไทย (บางนา)  โรงงานแก้ว โรงงานกระดาษ เป็นต้น ล้วนจัดตั้งโดยนักวิชาการทหารเรือไทยทั้งสิ้น …ยังไม่นับหอดูดาว ท้องฟ้าจำลอง กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมอุทกศาสตร์ (อันหลังนี้ยังเป็นของทหารเรือจนทุกวันนี้)

 

ถือได้ว่านายปรีดีเป็นผู้บริหารประเทศเพียงคนเดียวที่มีวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรม และด้านวิชาการแบบ “ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ”  ซึ่งแม้จนทุกวันนี้ (พศ. ๒๕๕๒) ก็ยังขาดวิสัยทัศน์อันสำคัญยิ่งนี้ โดยคิดทำกันง่ายๆแต่เพียงแบมือขอให้ต่างชาติมาช่วยทั้งด้านสมองและกำลังเงิน

 

นี่หากว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคนั้นพลิกผันจนนายปรีดีผู้มีทั้งวิสัยทัศน์และคุณธรรมได้กุมอำนาจบริหารประเทศในช่วงนั้นเป็นเวลานาน ..ป่านนี้ประเทศไทยเราอาจพัฒนาเทียมบ่าไหล่ญี่ปุ่นแล้วก็เป็นได้ โดยมีทหารเรือเป็นแกนนำในการปฏิบัติ

 

 อย่าลืมด้วยว่าประเทศพัฒนาแล้วทุกวันนี้ล้วนแต่พัฒนามาได้ด้วยการทหารเป็นแกนนำทั้งสิ้น ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อเมริกา หรือ ญี่ปุ่นก็ตาม ..จะมีแต่ประเทศเราเท่านั้นแหละที่หาว่าทหารมันโง่ (มันก็เลยแกล้งโง่ให้สมใจไปเสียเลย เช่น ไปตีกอล์ฟ ออฟแคดดี้ แทนที่จะเอาพลังมาสร้างประเทศแบบคนอื่นเขา )

 

          นับแต่ปฏิบัติการยึดอำนาจรัฐที่ไม่สำเร็จของพลเรือตรีทหาร และ ท้ายสุดปฏิบัติการแมนฮัตตัน ของนายทหารเรือชั้นผู้น้อย บทบาทของทหารเรือที่ค้ำจุนประชาธิปไตยก็ถูกลดทอนลงเป็นลำดับ ส่งผลให้การเมืองไทยขาดการถ่วงดุล ทำให้ทหารบกมีอำนาจมากขึ้นและกุมอำนาจการเมืองแบบเผด็จการเป็นเวลายาวนานถึงประมาณ 25 ปี (จอมพลแปลก จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พลเอกเปรม ) 

 

ช่วงเวลาดังกล่าว กินเวลาประมาณ 30 ปี นับเป็นช่วงสะดุดของการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะด้านปัญญา  ส่วนการเมืองเราถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน ไม่สามารถคิดเองทำเองในสิ่งใดได้เลย รวมทั้งต้องเป็นฐานทัพและเข้าร่วมรบในสงครามเวียตนามกับมหามิตรนี้ด้วย (ไนท์คลับ บาร์ อาบอบนวด ก็เกิดขึ้นและเบ่งบานในช่วงนั้น เพื่อรองรับการ rest and relaxation ของเหล่าทหารผู้มีเงินสกุลดอลเต็มกระเป๋า จนแพร่สะพัดอยู่เป็นเสนียดแก่สังคมไทยจนทุกวันนี้)

 

ผู้เขียนเชื่อว่าหากนายปรีดีและทหารเรือทำการปฏิวัติได้สำเร็จ และยังคงกุมอำนาจรัฐอยู่ในช่วงนั้น ประเทศเราจักไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเช่นนั้นแน่นอน และเชื่อว่าสังคมไทยวันนี้จะต้องดีกว่าปัจจุบันนี้แน่นอน

 

อนิจจา…ทหารเรือ ถ้าจะเข้มแข็งกว่านั้นสักนิดอาจช่วยประเทศได้มากอักโขทีเดียว

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (นนร. รุ่น ๗๐)

 


นโยบายพรรคการเมืองคิดมาให้แจกฟรี (จะมีใครรับไหมหนอ)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 22 June 2011 เวลา 1:36 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1484

ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ผมใคร่ขอเสนอแนวทางหาเสียงเรื่อง “ปากท้อง” เผื่อจะมีพรรคการเมืองไหนเอาไปใช้บ้าง (ไม่สงวนลิขสิทธิ์)

 

  • 1) ประกันรายได้ให้สูง (ประกันราคาพืชผลให้สูง แม้ต้องใช้เงินสักแสนล้านก็ยอม เพราะเงินนี้ไม่ได้สูญไปไหน แต่เข้ามาอัดฉีดเศรษฐกิจระดับฐานราก ซึ่งส่งผลให้รัฐเก็บภาษี vat และ การค้าและ นิติบุคคลได้มากขึ้น อาจได้คืนมาตั้ง 7-80% ที่จ่ายไป

 

  • 2) ประกันค่าแรงงานขั้นต่ำ 400 บาทใน 4 ปี (นายจ้างไม่จนลงอย่างที่คิด แต่จะยิ่งรวยขึ้น ..ผมเคยอธิบายไว้แล้ว)

 

  • 3) ประกันค่าครองชีพให้ต่ำ ทำได้ไม่ยาก เช่น ด้วยการผลิตสินค้าจำเป็นที่มีคุณภาพดีราคาถูกออกจำหน่าย เช่น ข้าวถุง ปลาเค็ม ปลาแห้ง กะปิ บะหมี่สำเร็จ อาหารกระป๋อง น้ำปลา น้ำมันพืช ไข่ เนื้อ ผักปลอดสารพิษ การทำเช่นนี้จะได้ผลหลายต่อ คือ 1 ปชช. ได้ใช้สินค้าราคาถูก 2 บ.เอกชนก็ไม่กล้าขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป เพราะปชช.มีทางเลือก ที่ราคาถูกกว่า

 

  • 4) การผลิตสินค้าในข้อ 3 นั้น ผลิตโดยโรงงานรัฐวิสาหกิจชุมชนขนาดย่อมที่กระจายอยู่ทั่วทุกตำบล ทำให้คนมีงานทำ รายได้ตกอยู่กับชุมชน ไม่ถูกร้านยักษ์ใหญ่ดูดออกไปจนแห้งตายกันหมด

 

  • 5) การขายสินค้าเหล่านี้ก็ขายผ่านร้านค้าสหกรณ์ของตำบลที่ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของ ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นมาทุกตำบล รายได้วนอยู่ในชุมชนหลายรอบ ผลผลิตที่เหลือส่งขายนอกชุมชนหรือส่งต่างประเทศ

 

  • 6) โรงงานและร้านค้าเหล่านี้ชุมชนร่วมเป็นเจ้าของ (โดยใช้แรงงานเป็นการร่วมทุน) หลักการทำงานคือ ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันมาเป็นพนักงาน เช่น คนละ 2 วันต่อสัปดาห์ เวลาที่เหลือเอาไปทำเกษตร หรือ พักผ่อนตามอัธยาศัย ดังนั้น ทุกคนจะมีงานทำ มีรายได้เพิ่ม

 

 

  • 7) ผลผลิตการเกษตรก็กลายมาเป็นวัตถุป้อนโรงงานชุมชนของตนเอง ..เวียนกันอยู่แบบนี้

 

  • 8) น้ำประปาดื่มได้ทุกตำบล (ลดค่าครองชีพในการซื้อน้ำดื่ม และสุขภาพดีถ้วนหน้า)

 

  • 9) ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตแก๊สชีวภาพสำหรับหุงต้มใช้เองในทุกตำบล จากซากผลผลิตการเกษตร และโรงงานในตำบล แล้วทำแก๊สบรรจุถังราคาถูกขายให้ประชาชน โดยโรงงานนี้ปชช.ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของตามระบบสหกรณ์ ที่เหลือใช้ส่งขายในกทม. เพื่อเพิ่มรายได้ …กากเหลือจากโรงงานก็กลายเป็นปุ๋ยชีวภาพกลับไปบำรุงการเกษตร…เวียนกันอยู่แบบนี้

 

เรียกว่าระบบเกษตรฐกิจหมุนเวียน

 

สงสัยต้องรอตั้งพรรค “ลานปัญญา”

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (มิย ๒๕๕๔)


เพลง มูนละเมอ เวอร์ชั่นสุดท้าย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 21 June 2011 เวลา 7:49 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1289

เพลง.มูนละเมอ

คำร้อง …คนถาง-ทาง

ทำนอง..(เดียวกับ Moon River) http://www.youtube.com/watch?v=5QaFd59bjCE&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=-gvOBH0R_hw&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=Fd_JDrnBMMA&feature=related

 

แม่น้ำมูน ไหลโลมดินกว้างไกล

อยากลอยเรือน้อยข้ามไป…สักวัน

 

ได้แต่ฝันไป ไม่อาจสมใจ

จึงปล่อยให้เจ้าคล้อย ลอยไหลไป..ตามเธอ

 

เราสองคน ดั้นด้นยลโลกไกล

ได้พบได้เห็นมามากหลาย…ได้เจอ

 

เราต่างเล็งจุดหมาย ณ ปลายของสายรุ้ง

ที่คอยอยู่ริมคุ้ง

 

เพื่อนฮัก..รักรวยเพิ่มพูน

แม่น้ำมูน…สามเรา

 

หมายเหตุ เวอร์ชั่นปรับปรุงสุดท้ายนี้คิดได้เมื่อขับรถกลับประชุมจากพัทยามาโคราช เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง พอง่วง ก็งัดขึ้นมาร้องไป เกลาไป ..ยากที่สุดก็ตรง My Huckleberry freind นี่แหละ เลยปรับมาเป็น “เพื่อนฮัก รักรวยเพิ่มพูน” (ซึ่งมันมีคำว่า ฮัก เหมือน Huck เลย แถมได้บรรยากาศอีสานแห่งแม่มูนอีก โอ๊ย คิดได้ไงเรา เก่งจริงๆ ..อ้วกก)

 

วันหลังคงต้องเอาขึ้นยูตู๊บให้ได้ฟังกัน..แล้วจะหลงเสน่ห์เสียงผม ที่นานๆร้องโชว์สักที แต่มีแควนเพลงสาวแก่กรี๊ดขอกันมาพอสมควร

 


น้ำดื่มสะอาดสำหรับรร.ยากจน

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 June 2011 เวลา 6:11 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1644

น้ำดื่มสะอาดสำหรับรรยากจน

 

สายวันนี้มีนศ.หญิงสี่คน สาขาเทคโนโลยีการจัดการ เข้ามาหาผม ขอให้ช่วยพวกเธอไปช่วยรร.ยากจนด้วย รร.นี้มีแต่น้ำฝนและน้ำบาดาล พอน้ำฝนไม่พอก็ต้องใช้น้ำบาดาล ซึ่งไม่สะอาดพอ  เธอได้ยินมาว่าผมมีเทคโนโลยีกลั่นน้ำที่ปสภ.สูง อยากขอให้ช่วยด้วย  (เอ๊ะ..ไปได้ยินมาจากไหน ผมไม่เคยตีปิ๊บเลยนะ สงสัยนศ.ชายวิดวะเครื่องกลลูกศิษย์ผมมันเอาไปโม้ให้ฟัง …ไอ้พวกนี้ชอบไปจีบเด็กการจัดการ..แว่วหูมา)

 

สัมภาษณ์ไปมาได้ความว่าเธอลงทะเบียนเรียนวิชา “จริยธรรมการจัดการ” อาจารย์ท่านมอบหมายให้ทำโครงงานด้านจริยธรรม คุณธรรม เธอก็เลยคิดโครงการนี้ขึ้นมา

 

ผมคิดดูแล้ว เทคโนผมคงเอาไปใช้ยาก ต้องลงทุนพอควรด้วย คงไม่เหมาะกับรร.ยากจนนี้ ก็นั่งคิดประเดี๋ยว ก็คิดออกว่าทำเครื่องกลั่นแบบง่ายๆ ราคาถูกๆดีกว่า  ดังนี้

 

  • 1) เอากาละมังขนาดใหญ่มาหนึ่งใบ เช่น กาละมังซักผ้า เป็นพลาสติกจะดีกว่าเหล็ก (เพราะเป็นฉนวนความร้อนได้ดีกว่า) ตรงกลางกะละมังเอาขันเหล็กหรือชามกระเบื้องขนาดใหญ่ไปวางไว้
  • 2) เอาถ่านดำ ตำพอแหลก ไม่ต้องละเอียดมาก ไปโรยไว้ให้เต็มพื้นกาละมัง ให้ชั้นถ่านมีความหนาสัก 2 ซม. เกลี่ยให้เรียบพอสม่ำเสมอ
  • 3) เอาน้ำดิบ (อาจเป็นน้ำเค็ม สกป ก็ได้ทั้งนั้น) เติมลงไปให้สูงกว่าขอบผิวถ่านสัก 0.5 ซม
  • 4) เอาพลาสติกใสคลุมแล้วรัดขอบด้วยเชือก อย่าให้อากาศรั่วออกได้ หรือ รัดด้วยยางในจักรยานยิ่งดี พลาสติกนี้ต้องไม่ตึง เอาพอหย่อน แต่อย่าให้ยาน ปลายพลาสติกปล่อยให้ตกคลุมขอบกาละมังให้มิด ก็จะยิ่งดี (ลองคิดดูซิว่าทำไมถึงดี …ใครทายถูกนับว่าเก่งมาก)
  • 5) เอาถ้วยน้ำพริก (เปล่าๆนะ ไม่ต้องมีน้ำพริกบรรจุ) คว่ำหน้าลงตรงกลางพลาสติก ..จะทำให้พลาสติกตึง และลู่แหลมเข้าสู่ชามกระเบื้องใหญ่ที่วางไว้ และผ้าควรมีความลาดชัดประมาณ 10-15 องศา (ถ้าน้อยกว่านี้ไม่ดี น้ำกลั่นมันจะไม่ไหลลงตรงกลาง แต่จะร่วงเสียก่อน)
  • 6) ทำตอนเช้า แล้วเอาไปตากแดดทิ้งไว้ กลางลานปูน หรือใกล้ผนังตึกที่ไม่บังแดดยิ่งดี ควรเอาไม้กระดานรองก้นไว้ด้วย หรือ กระดาษนสพก็ได้ ..มันช่วยเป็นฉนวนกันความร้อนอีกต่อ โดยเฉพาะถ้าใช้กาละมังโลหะ
  • 7) เท่านี้ก็น่าจะได้น้ำกลั่นลงสู่ขันตรงกลางประมาณ 500-1000 cc ต่อวัน พอกู้น้ำแล้วก็เติมน้ำสกป.ลงไปทดแทน แล้วปิดฝา ทำการต่อในวันรุ่งขึ้น

 

ว้า..ทำไมมันได้น้ำน้อยจัง คงต้องใช้กาละมังหลายใบกว่าจะพอกินกันทั้งโรงเรียน

 

หรือว่าอาจให้นร. ทุกคนไปทำเองที่บ้าน ลงทุนไม่เท่าไหร่ คงพอสู้ไหว ก่อนไปรร. ก็เอาไปตากแดดไว้ พอเลิกเรียน กลับถึงบ้านก็ไปเอาน้ำออกมาเทใส่กระติก เพื่อเอามากินโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น 

 

แต่ละคนทำไปก็ทดลองวิทยาศาสตร์ไปด้วย เช่น หาแนวทางการกลั่นให้ได้สูงที่สุด ด้วยการปรับเปลี่ยนปัจจัยทำงานให้หลากหลาย เช่น  ความละเอียดของถ่านที่ใช้ ความหนาของชั้นถ่าน ไม้ที่ใช้ในการเผาถ่าน ระดับความสูงของน้ำเหนือผิวถ่าน  ใช้วัสดุอื่นแทนถ่านเช่น ไหมพรม  กรวดทราย แกลบ (แล้วทำซ้ำปัจจัยอื่นๆ)

 

งานวิจัยที่ผมกำลังทำตอนนี้เราเพิ่มผลผลิตการกลั่นได้ประมาณ 2 เท่าแล้ว เราตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้สักสี่เท่า  นศ. ป.โททำมา 6 ปีแล้ว ไม่เสร็จสักที เนื่องจากนศ.ท่านคงมีอารมณ์ศิลป์มากไปหน่อย อารมณ์วิทย์เลยค่อนข้างตกหล่น

 

…ท.จสบูรณ์ (๒๐ มิย ๕๔)

 

 


คนไทยฉลาดที่สุดในโลก?

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 9:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2127

หลักฐานว่าคนไทยฉลาดที่สุดในโลกคือที่นี่

http://www.youtube.com/watch?v=pbsBtS-BfhQ&feature=related

 

ไม่งั้นฝรั่งมันไม่มีคำพูดติดปากหรอกว่า you’re smart like a rocket scientist

 จรวดแบบนี้ ไม่มีที่อื่นในโลก มีแต่ที่ไทยเรานี้ ทำมานับพันปีแล้ว แต่คนไทยเราด้วยกันเองต่างพากันดูถูก หาว่าเป็นบั้งไฟบ้านนอก อีสาน งี่เง่า …ก็งี่เง่ากันต่อไปแล้วกันเด๊อปี้น่อง

http://www.youtube.com/watch?v=_Me59xYDzd8&feature=related

 

…คนถางทาง (๒๕๕๔) ..อดีตรอกเก็ตไซแอนติส


ข้อกวนคิดสะกิดรัฐธรรมนูญไทย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 8:17 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1264

รัฐธรรมนูญประเด็นแปลก

 

ไหนๆจะร่างรธน.ใหม่กันทั้งที ผมใคร่ขอเสนอประเด็นอ้อมๆ ซ่อนเร้น ที่จะนำชาติไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง รวมทั้งแถมประเด็นกวนๆ คลายเครียดมาด้วย

(โปรดคาดเข็มขัดรัดสมองก่อนอ่าน)

 

 

หมวดนโยบายแห่งรัฐ

  

ประเทศไทยไร้พรมแดน ใครเข้ามาพำนักมา รวมทั้งคน สัตว์ และครึ่งคนครึ่งสัตว์ (การแบ่งเขตแดนประเทศ ทุนนิยม และระบอบประชาธิปไตย เป็นสามประดิษฐกรรมที่งี่เง่าที่สุดของมนุษยชาติ)

 

ประเทศไทยเป็นเขตปลอดทหาร: (ประเทศห่วยๆ แบบนี้ไม่ต้องป้องกันหรอก ไม่มีใครเขามาบุกรุกหรอก :-)  เมื่อไม่มีพรมแดนต้องรักษา แล้วจะมีทหารไปทำไม ทำให้ไม่ต้องเสียงบมหาศาลไปกับกลาโหม เอามาโปะการศึกษาวิจัย จิตวิญญาณ ดีกว่า ไม่นานเราจะพัฒนาที่สุดในโลก แล้วนำโลกไปสู่โลกไร้พรมแดนในที่สุด

 

หมายเหตุ ถ้าทุกประเทศในโลกนี้ไร้พรมแดน ไปมาหาสู่กันได้อิสระเหมือนนกนางแอ่น มันก็ไม่ต้องมีทหารไว้ป้องกันพรมแดนกันทุกประเทศ จริงไหม ประเทศไทยต้องนำโลกไปสู่อิสระด้วยการเป็นประเทศแรกที่ประกาศไร้พรมแดน นี่สิ ถึงเป็นกระแสโลกาภิวัฒน์ที่แท้จริง

  

หมวดศาสนา

ไม่ต้องกำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ให้กำหนดว่าจะยึดหลักการของศีลห้าในหลักศาสนาพุทธเป็นหลักการในการบริหารประเทศ สิ่งใดที่ขัดต่อหลักการของศีลห้าย่อมผิดกฎหมาย ดังนั้น การขายสุราก็จะหมดไป (สุราเมรยมัชชะ)  การค้าประเวณีทุกรูปแบบ(โดยตรงและอ้อม)ก็ผิดกฎหมาย (กาเมสุมิจฉา) โรงฆ่าสัตว์จะหมดไป (ปาณาติปาตา) กินผักเหมือนท่านมหาจำลองกันหมดประเทศ…สาธุ การโฆษณาหลอกลวง เช่น หน้าขาว หน้าเด้ง ผมสลวยสวยเก๋ จะผิดกฎหมายหมด เพราะเข้าข่ายมุสาวาทา เวรมณี

 

ยกเลิกสมณศักดิ์ เพราะถือเป็นการอุตตริที่ทำให้ยศสูงกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก เนื่องจากพระพุทธเจ้าเองยังไม่มีสมณศักดิ์เลย (ในตอนนั้น แต่ตอนนี้เราไปให้ยศท่านย้อนหลัง เป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปโน่น)

 

ห้ามกุฎิพระติดแอร์: ถ้าอยากอยู่เย็นก็สึกไปเป็นบ๋อยโรงแรมดีกว่านะหลวงพี่

 

กำหนดว่าพระจะต้องมี IQ สูงกว่า 130 ศาสนาจะได้สูงขึ้น เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ อย่าลืมว่าพุทธทาสภิกขุ เพียงคนเดียว ยังอาจทำประโยชน์ให้ชาติได้มากกว่าพระทุกรูปรวมกันเสียอีก

 

หมวดสิทธิมนุษยชน

  

มนุษย์จะมีศักดิศรีก็ต่อเมื่อมีปัญญา หาใช่มีตามระดับดีกรี ยศศักดิ์ อายุ (ศ. ดร. หรือ พลเอก ฯพณฯ พ่อใหญ่ แม่อุ๋ย) ไม่ หรือมีศักดิ์ศรีเพียงเพราะเกิดมาจน เป็นคนรากหญ้า ไร้โอกาส น่าสงสาร (แต่เผอิญมีเสียงโหวต 1 เสียงเท่ากับคนอื่น)

 

หมวดการเมือง

กำหนดให้มีการสอบเพื่อได้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง  น่าแปลกประหลาดว่าการได้สิทธิ์ในการขับรถต้องสอบ แต่การได้สิทธิ์ในการขับประเทศไม่ต้องสอบ ตาบอด(โง่) เมาแอ่น ยังไงก็ขับได้ (เมาแล้วขับถูกจับแน่ …โง่แล้วให้กา บ้าแหงๆ)

 

ยกเลิก สส. ต้องจบปริญญาตรี แต่ให้สอบความรู้ด้านการเมืองแทน หรือไม่ก็กำหนดว่าต้องได้โสดาบันไปเลย

 

กำหนดมาตราห้ามนักการเมืองตีกอล์ฟ (รวมทั้งทหารและข้าราชการด้วย) ประเทศไทยยังจนอยู่ เอาเวลาตีกอล์ฟมาสร้างชาติดีกว่า สนามกอล์ฟก็เอามาสร้างวัดป่าเน้นวิปัสสนา หรือสร้างโรงเรียน

 

ห้ามนักการเมืองใส่แหวน สร้อยคอ นาฬิกา รวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่าราคาก๋วยเตี๋ยว 100 ชาม ผมเห็นทีไรอยากโดดถีบยอดหน้าจริงๆ (ขออภัยใช้คำที่ทำให้อาจผิดศีลหลายข้อ)

 

หมวดครูอาจารย์

ห้ามครูอาจารย์ประกอบอาชีพเสริม นอกจากการ consult ซึ่งรายได้พิเศษต้องไม่เกินเงินเดือน นอกนั้นให้หักเข้าหลวง

 

คนจะเป็นครูอาจารย์ได้ IQ ต้องสูงกว่า 120 และให้เงินเดือนสูง โดยเอาเงินเดือนมาจากทหาร ทุกวันนี้ปัญหาหนักของประเทศคือ ครูเราโง่เกินไป (สอบเข้าง่ายมากหรือไม่ต้องสอบเลย) แต่ทหารตำรวจฉลาดเกินไป (สอบเข้ายากมาก) ถ้าให้เงินเดือนครูมาก คนฉลาดก็จะหันมาเป็นครูมากขึ้น และให้เงินเดือนทหารลดลง คนฉลาดก็จะไปเป็นทหารน้อยลง  ยกเว้นพวกใจรักจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้ปิดกั้นอะไร

 

 

หมวดอุดมศึกษา

  

สถาบันการศึกษาต้องทดสอบ IQ นักศึกษาก่อนเข้า และต้องทำให้ IQ นศ.ที่จบการศึกษา เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% จากแรกเข้า มิฉะนั้นให้ตัดงบประมาณลง 20% ทุกปี

 

ห้ามนศ. “บูม” เป็นภาษาอังกฤษ เช่น who are we …..CU …can you see แต่ให้ “ตูม” เป็นภาษาไทย เช่น ของ สารสนเทศ มทส. มีตูมว่า  “เป็นไผ ๆๆ….จังได๋ๆๆ ….” ยอดเยี่ยมมาก ใครคิดค้นตูมนี้ผมประกาศหาตัวมานาน จะให้รางวัล Tawit’s Innovation Award (ขออำภัยที่ใช้ภาษาอังกฤษ) ตอนเป็นเด็กผมคิดตูมไว้ ลงท้ายด้วย …ฮ่วย ขณะนี้ผมตั้งรางวัลวิศวะมทส. ว่าถ้าใครคิด ตูม สาขาของตัวเป็นภาษาไทยแล้วดังติดตลาด ผมจะให้รางวัล 10,000 บาท จนบัดนี้ยังไม่มีใครได้เลย

 

อาจารย์มหาลัยต้องมี IQ ไม่น้อยกว่า 125

 

ผอ. รร. ทุกระดับ และอธิการบดี ต้องมี IQ ไม่น้อยกว่า 130

 

หมวดตำรวจ

ห้ามติดสติกเกอร์บนกระจกรถยนต์ รวมทั้งติดตราโลหะหน้ากระจังหม้อน้ำ: มันติดกันจนบังวิสัยทัศน์ขับรถจนขับตกถนนกันเป็นแถว ที่ติดมากเพราะเป็นยันต์กันตำรวจรีดไถ (ที่เมกา ห้ามติดอะไรบนกระจก ผิดกฎหมายจ้า)

 

ให้นับรถยนต์เป็นเคหะสถาน การตรวจค้นต้องมีหมายค้น: รถยนต์เป็นยิ่งกว่าบ้านเพราะต้องเสียภาษี มีบ้านเลขที่ และคนจำนวนมากใช้เวลาในรถมากกว่าในบ้านเสียอีก

 

ห้ามตำรวจกักด่าน “บริการประชาชน”  บนท้องถนนโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉินที่ได้รับอนุมัติจากคนระดับ ผบช. ขึ้นไป หรือไม่ก็ให้เอาพระถือบาตรไปยืนอยู่ด้วย ค่าปรับทั้งหมดให้เอาเข้าวัด

 

กำหนดให้เอางบซ่อมถนนเป็นหลุมบ่อก่อนเวลาอันควรมาจากการตัดงบสตช. แห่งชาติ (ทำได้แบบนี้รับรองถนนเราดีแน่)

 

หมวดเกษตร

 

กำหนดให้การครอบครองปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช มีโทษเท่ากับยาบ้า

 

 

 

หมวดสื่อสารมวลชน

ห้ามสอนตีกอล์ฟในโทรทัศน์ แต่เอาเวลามาสอนทำนาดีกว่า เพราะนักกอล์ฟมีไม่ถึงแสนแต่ชาวนามีเป็น 10 ล้าน ไม่รู้แมร่งจะสอนตีกันไปถึงไหน

 

ห้ามหนังสือพิมพ์ลงข่าวปล้นจี้ฆ่าข่มขืนและน้ำเน่าในหน้า 1

 

ห้ามโทรทัศน์เอาข่าวกีฬาไทยไปไว้หลังข่าวกีฬาฝรั่ง

 

ห้ามวิทยุต่อท้ายคำขวัญ (สโลแกน) ด้วยวลีภาษาอังกฤษ (สะอิดสะเอียนจินๆ…really..I mean it)

 

หมวดปกิณกะ

ห้ามนักบอลไทยพุ่งล้ม (กระทรวงวัฒนธรรมรับไป) และห้ามใช้โคชต่างชาติ

 

ห้ามแม่ค้าเอามือหยิบปลายหลอดดูด ปลายตะเกียบ ส่งให้ลูกค้า  (กระทรวงสาธา)

 

ห้ามกดน้ำชักโครกกลบเสียงขณะหนักในห้องน้ำสาธารณะ (กระทรวงพลังงานรับไป)

 

ห้ามแซงคิวในร้านสะดวกซื้อและแซงคิวรถยนต์ตอนยูเทิร์น (วัฒนธรรม)

 

กำหนดว่าคนจะเป็นนักร้องนักแสดง ผู้กำกับการแสดง  IQ ต้องสูงกว่า 130 (สูงกว่าครูอาจารย์เสียอีก) เพราะพวกนี้มีอิทธิพลสูงต่อสังคม เพลงงี่เง่า ละครน้ำเน่า จะได้หมดไปซะที สังคมจะสูงขึ้น

 

ห้ามนักเรียนนักศึกษาใช้โทรศัพท์มือถือ: ไม่รู้แม่นจะโทรคุยอะไรกันนักหนา สงสัยไม่พ้นนัดไป…กัน ผมเคยให้ทุนนศ.ประมาณปีละแสน  แต่ตอนนี้เลิกเพราะมาสะท้อนคิดด้วยความน้อยใจว่าผู้รับทุนมันมีโทรศัพท์กันทุกคน ยกเว้นผู้ให้ทุน (ผมเพิ่งมีมือถือเมื่อสองปีมานี้เอง ตอนทำพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีไทยโบราณ เพราะมันจำเป็นจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปิดไว้ตลอดเวลา)

 

ยกเลิกคุกทั้งหมด แต่ให้นักโทษแต่งเครื่องแบบนักโทษ แล้วเอามาทำงานบริการสังคม ตอนกลางคืนก็กลับนอนบ้านปกติ ประหยัดเงิน ได้ประโยชน์  และเป็นการบำบัดทางจิตสังคมพร้อมกันไป (ถ้ามันหนีก็หนีไป ตำรวจก็ไปตามจับกลับมาสิ) รับรองว่าเมื่อหมดโทษเขาจะกลับตัวเป็นคนดี ไม่ไปปล้นจี้ฆ่าข่มขืนซ้ำเดิมเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และในระหว่างรับโทษยังได้ประโยชน์สังคมอีกด้วย (รับรองได้เลยถ้าหนีจะหนีในสัปดาห์แรก ถ้าอยู่ได้เกินสัปดาห์ก็ไม่หนีแล้ว ก็สอดแนมเข้มในสัปดาห์แรกสิ)

 

ห้ามใส่รองเท้าหุ้มส้น และผูกเนคไท ไส่สูต ไม่รู้จะใส่ไปทำไม ร้อน อบ ตีนเหม็น เลือดเดินไม่สะดวก  เปลืองค่าไฟเดินเครื่องแอร์ เปลืองค่าวัสดุ

 

ห้ามเรียกชื่อหน่วยราชการเป็นภาษาต่างด้าว เช่น NECTEC MTEC BIOTEC NSTDA TDRI  MCOT NEPPO NBT TPBS มันโก้กันไงหว่า คิดไม่ตก รวมทั้งรายการโทรทัศน์ Modern9 Econ9 StarSearch…etcetera etcetera etcetera

 

ห้ามนักศึกษาทำเสื้อยืดที่มีปริมาณภาษาต่างด้าวมากว่าภาษาแห่งชาติกำเนิดของตน

 

บทเฉพาะกาล

ข้อห้ามงี่เง่าต่างๆใน รธน.นี้ใช้เฉพาะเวลาที่ผลผลิตมวลรวมปัญญาประชาชาติ (GWP) ยังต่ำอยู่ ถ้าสูงถึงระดับก็ยกเลิกไปให้หมดเลย

…ทวิช จ. (๒๕๕๐)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


รัฐธรรมนูญที่มีรากวิญญาณแห่งวัฒนธรรมไทยเดิม

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 8:06 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1256

(เรื่องหนักๆ จิตอ่อนไม่ควรอ่าน)

 

โดยมากแล้วเรามองรธน.กันแต่ในแง่ของนิติศาสตร์ เช่นว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ อะไรขัดต่อนี้ถือเป็นโมฆะ นี่มันก็นิติศาสตร์ล้วนๆ แข็งเกินไป และจะไม่ค่อยเสถียร (อะไรที่ยืนขาเดียวมักไม่เสถียรอยู่แล้ว)

 

อีกพวกบอกว่าต้องการให้ภาครัฐอ่อนลง ภาคประชาชนแข็งขึ้น นี่ก็มองในแง่รัฐศาสตร์ โดยจะใช้หลักนิติศาสตร์ของกฎหมายนั่นแหละมากำหนดให้อำนาจภาคประชาชนสูงขึ้น เสร็จแล้วรัฐกับประชาชนก็จะขัดแย้งกัน คานอำนาจกัน ทั้งที่รัฐนั้นอีกด้านหนึ่งก็คือประชาชน และประชาชนนั้นอีกด้านหนึ่งก็คือรัฐ (นายก สส. ปลัดกระทรวง ก็ต้องมีพ่อแม่ลูกเมียญาติมิตรเพื่อนฝูงลูกศิษย์อีกโข มิใช่หรือ)

 

แต่ขาที่สามที่เรามักมองข้ามกันไปเลย (รวมทั้งรธน.ของอารยประเทศอื่นที่เราไปลอกเขามา) ก็คือหลักธรรมศาสตร์  ซึ่งคือหลักความถูกต้องที่จะเชื่อมโยงนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ให้สังคมศาสตร์ดำรงอยู่ได้อย่างมีสุขที่สุด (หรือมีความทุกข์น้อยที่สุด)

 

เราจะต้องทำให้รธน. เป็นรธน. ที่มีวิญญาณ ไม่ใช่เพียงเศษกระดาษที่บัญญัติความด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไว้อย่างชาญฉลาดและรัดกุมเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีทางจะขจัดความขัดแย้งอันมากมายหยุมหยิมได้หมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรังแกคนกลุ่มน้อย (แม้เพียงคนเดียว) โดยคนกลุ่มใหญ่ที่มีเสียงมากกว่าตามที่นิติศาสตร์บัญญัติ (ภาคประชาชน อาจรังแกรัฐก็ยังได้เลย ถ้ามันเข็งแรงเกินไป)

 

การพึ่งอำนาจศาลอย่างเดียว (ซึ่งดูเหมือนเป็นขาที่สาม และขณะนี้ก็มีหลายศาลจนจำไม่หวาดไหว) ความจริงแล้วก็ยังคือหลักนิติศาสตร์นั่นเอง ถึงเวลาที่รัฐธรรมนูญไทยของเราต้องยกระดับเพื่อชักนำสังคมให้เข้าสู่ความเป็น “นิติธรรมรัฐ” ให้ได้ ต้องสมดุลทั้งสามขา เช่น อาจมีมาตราว่า “ในกรณีเกิดการขัดแย้งใด ระหว่าง รัฐ ประชาชน กลุ่มประชาชน หรือ องค์กรอิสระใด หากคู่กรณีพร้อมใจกันไม่ประสงค์จะพึ่งการตัดสินแห่งศาล ก็อาจจัดให้มีกลุ่มนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ทรงความรู้และคุณธรรมจำนวนเหมาะสมที่เป็นที่เคารพนับถือของทุกฝ่ายร่วมไกล่เกลี่ยปัญหา” 

 

ซึ่งนี่ก็คล้ายวิธีอนุญาโตตุลาการนั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นอนุญาโตโดยธรรม มิใช่โดยผลประโยชน์เชิงธุรกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วมาประนีประนอมผลประโยชน์กันแบบพบกันครึ่งทาง  หรืออีกนัยหนึ่งเป็นศาลนอกระบบที่ไม่จำเป็นต้องยึดกฎหมายเป็นหลักเสมอไป แต่ยืดหยุ่นได้มากตามสภาพการณ์แห่ง “ธรรม”

 

หลักนี้ยังมีรากวัฒนธรรมไทยเดิมเราอีกด้วย มีอะไรก็ไม่ต้องขึ้นโรงศาล ผู้หลักผู้ใหญ่ประนีประนอมให้ แล้วเลิกแล้วกันไป ไม่ถือโกรธ จึงถือเป็นรธน. แบบภูมิปัญญาไทยอีกรูปแบบหนึ่ง

——–โดย ทวิช จิตรสมบูรณ์ พศ. ๒๕๔๙


ยี่ห้อไทย..บอกอะไรได้หลายอย่าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 7:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1121

สินค้ายี่ห้อไทย…บอกยี่ห้อคนไทยได้ดีที่สุด

 

ว่าคนไทยเราเห่อแต่ของนอก ของไทยเราเองดูถูก ดูตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเกงผู้ชาย ไม่มียี่ห้อไทยสักตัว ถ้าใครขืนออกยี่ห้อเป็นไทยรับรองว่าเจ๊งในไม่ช้า ไม่มีใครซื้อ (อาจยกเว้นคนบ้าๆแบบผม ซึ่งมีน้อยมาก)  ชื่อร้าน ชื่อบริษัท แม้แต่ชื่อคน ชื่อหมา ก็เป็นหรั่ง เป็นยุ่นไปหมดแล้ว

 

เวลาไปซื้อเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ พัดลม เตารีด กาต้มน้ำ ผมมักเลือกเอายี่ห้อที่ไม่มีใครรู้จัก เช่น (sanko) (ชื่อสมมติ) เผื่อว่าจะเป็นของทำในไทย เพราะอยากอุดหนุนคนไทยด้วยกัน พลิกดูก็ไม่บอกว่าเมดอินอะไร ก็เลยเดาว่าเป็นของไทย แต่ไม่กล้าอ้างเพราะกลัวคนจะไม่ซื้อ

 

เพื่อให้แน่ใจจะถามคนขายว่า เครื่องนี้ทำในไทยใช่ไหม คนขายจะตอบทันควันว่า ไม่ใช่ เป็นของนอก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์  ถามต่อไปว่ามีของทำในไทยบ้างไหมก็บอกว่าไม่มี ถ้าเช่นนั้นผมก็เลยไม่ซื้อ บอกว่าอยากอุดหนุนของไทย พร้อมสอนมันว่า ทีหลังซื้อของไทยมาขายบ้างซิ่ ขู่สำทับมันด้วยว่า คุณไม่รู้หรือเดี๋ยวนี้กระแสรักชาติ นิยมไทยกำลังมาแรง (เกทับบลัฟแหลก เพื่อชาติ)

 

พอเท่านั้นแหละ คนขายก็เปลี่ยนท่าที พูดใหม่ว่าความจริงไอ้ sanko น่ะประกอบในไทยแต่ใช้อุปกรณ์นอก ซึ่งผมไม่อยากเชื่อ เพราะเดี๋ยวนี้ของไทยก็ทำได้มากแล้ว เช่น TV ผมควานซื้อจนได้ยี่ห้อ DiStar มา คนขายบอกว่าเป็นของไทย (ไม่รู้โกหกผมหรือเปล่า มันเห็นว่าผมยืนยันจะเอาของไทยให้ได้)  นัยว่าเป็นเครื่องธานินทร์เก่า แต่ยี่ห้อธานินทร์มันเป็นภาษาไทย(ปนแขก)จึงไม่มีใครซื้อก็เลยเปลี่ยนมาเป็นภาษาประกิด

 

นี่แหละประเทศไทย นักการเมืองก็น้ำเน่า ประชาชนก็ดูถูกชาติตัวเอง อย่างนี้มันสูตรสำเร็จที่จะสิ้นชาติเชียวนะ ขอฝากเป็นโจทย์ให้กระทรวงวัฒนธรรมด้วย ต้องเร่งหาทางแก้นิสัยดูถูกตนเองเช่นนี้

 

ประเทศนี้ดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยอยู่

 

…คนถางทาง (๒๕๕๒)



Main: 0.14950680732727 sec
Sidebar: 0.008897066116333 sec