นายปรีดีกับทหารเรือ…ความสัมพันธ์ล้ำลึกที่ประวัติศาสตร์ลืมจารึก (ตอนที่ ๑)
นายปรีดีกับทหารเรือ…ความสัมพันธ์ล้ำลึกที่ประวัติศาสตร์ลืมจารึก (ตอนที่ ๑)
นายทหารเรือในยุค พศ. ๒๔๗๕ นั้น ดูเหมือนว่าเป็นนายทหารที่มีหัวก้าวหน้าทางการเมืองเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะว่าต่างก็จบการศึกษามาจากยุโรป เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ดังจะเห็นได้ว่าในประดาสมาชิกคณะราษฎ์นั้น มี “ทหาร” เรืออยู่หลายคนทีเดียว (เฉพาะพวกกล้าแสดงตัว)
ปัญญาชนคนทหารเรือช่วงนั้น มี นาวาตรี หลวงสินธ์สงครามชัย เป็นต้น (ซึ่งจบมาจากฝรั่งเศส น่าจะเป็นเพื่อนสนิทกับนายปรีดี ..หลวงสินธิ์ฯนี้แต่งตำราตรีโกนฯทรงกลมได้ดีนัก ผู้เขียนเองยังมีโอกาสได้เรียนวิชานี้จากตำราที่ท่านเขียนไว้แต่ก่อนกึ่งพุทธกาล (เรียนเมื่อพศ. ๒๕๑๕ ขณะเป็นนักเรียนนายเรือ ปีที่ ๑…โคตรยากส์)
เดาได้ว่า ทหารเรือรุ่นโน้น มีจิตใจเสรีประชาธิปไตยสูงมาก (โน้มตามผู้นำกองทัพ) จนกลายเป็นกองทัพที่ค้ำจุนกิจการประชาธิปไตยของนายปรีดี พนมยงค์… อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ดังจะเห็นได้ว่า..นายทหารประจำตัวนายปรีดีก็เป็นทหารเรือทั้งสิ้น จนติดร่างแหคดีลอบปลงพระชนม์ตามที่ถูกใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามไปตามๆกัน
จวบจนถึงวาระสุดท้ายทางการเมืองของนายปรีดี เมื่อ ๒๖ กุมภา ๒๔๙๒ ทหารเรือก็ร่วมก่อการยึดอำนาจรัฐกับท่านปรีดี โดยมีพลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ (ผบ. กองกำลังนาวิกโยธิน) เป็นแกนนำ ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่ล้มเหลว จึงกลายเป็น “กบฏ” ในที่สุด (เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง”)
บุญของประเทศไทยคงทำมาน้อย จึงปล่อยให้กบฏนี้ไม่สำเร็จ เพียงเพราะน้ำลงที่ปากแม่น้ำบางปะกง ทำให้ทหารนาวิกโยธินจากสัตหีบเข้ามาเสริมกำลังในพระนครไม่ทันกาล
ในขณะกุมอำนาจบริหารประเทศ ก่อนพศ. ๒๔๙๐ แม้ในระยะอันสั้น แต่นายปรีดีก็ดูเหมือนว่าได้มอบให้ทหารเรือเป็นแกนนำในการสร้างรากฐานอุตสาหกรรมให้แก่ประเทศไทยมากหลาย (ไม่มีเอกสารอ้างอิง ..ได้ยินมาจากทหารเรือรุ่นก่อนๆ บอกกันต่อมา) … เช่นการจัดตั้ง องค์การอาหารสำเร็จรูป (อสร. ..หรืออาหารกระป๋องนั่นเอง…เป็นครั้งแรกของประเทศไทย) องค์การแบตเตอรี่ องค์การเชื้อเพลิง โรงงานไม้อัดไทย (บางนา) โรงงานแก้ว โรงงานกระดาษ เป็นต้น ล้วนจัดตั้งโดยนักวิชาการทหารเรือไทยทั้งสิ้น …ยังไม่นับหอดูดาว ท้องฟ้าจำลอง กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมอุทกศาสตร์ (อันหลังนี้ยังเป็นของทหารเรือจนทุกวันนี้)
ถือได้ว่านายปรีดีเป็นผู้บริหารประเทศเพียงคนเดียวที่มีวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรม และด้านวิชาการแบบ “ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ” ซึ่งแม้จนทุกวันนี้ (พศ. ๒๕๕๒) ก็ยังขาดวิสัยทัศน์อันสำคัญยิ่งนี้ โดยคิดทำกันง่ายๆแต่เพียงแบมือขอให้ต่างชาติมาช่วยทั้งด้านสมองและกำลังเงิน
นี่หากว่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคนั้นพลิกผันจนนายปรีดีผู้มีทั้งวิสัยทัศน์และคุณธรรมได้กุมอำนาจบริหารประเทศในช่วงนั้นเป็นเวลานาน ..ป่านนี้ประเทศไทยเราอาจพัฒนาเทียมบ่าไหล่ญี่ปุ่นแล้วก็เป็นได้ โดยมีทหารเรือเป็นแกนนำในการปฏิบัติ
อย่าลืมด้วยว่าประเทศพัฒนาแล้วทุกวันนี้ล้วนแต่พัฒนามาได้ด้วยการทหารเป็นแกนนำทั้งสิ้น ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อเมริกา หรือ ญี่ปุ่นก็ตาม ..จะมีแต่ประเทศเราเท่านั้นแหละที่หาว่าทหารมันโง่ (มันก็เลยแกล้งโง่ให้สมใจไปเสียเลย เช่น ไปตีกอล์ฟ ออฟแคดดี้ แทนที่จะเอาพลังมาสร้างประเทศแบบคนอื่นเขา )
นับแต่ปฏิบัติการยึดอำนาจรัฐที่ไม่สำเร็จของพลเรือตรีทหาร และ ท้ายสุดปฏิบัติการแมนฮัตตัน ของนายทหารเรือชั้นผู้น้อย บทบาทของทหารเรือที่ค้ำจุนประชาธิปไตยก็ถูกลดทอนลงเป็นลำดับ ส่งผลให้การเมืองไทยขาดการถ่วงดุล ทำให้ทหารบกมีอำนาจมากขึ้นและกุมอำนาจการเมืองแบบเผด็จการเป็นเวลายาวนานถึงประมาณ 25 ปี (จอมพลแปลก จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พลเอกเปรม )
ช่วงเวลาดังกล่าว กินเวลาประมาณ 30 ปี นับเป็นช่วงสะดุดของการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะด้านปัญญา ส่วนการเมืองเราถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน ไม่สามารถคิดเองทำเองในสิ่งใดได้เลย รวมทั้งต้องเป็นฐานทัพและเข้าร่วมรบในสงครามเวียตนามกับมหามิตรนี้ด้วย (ไนท์คลับ บาร์ อาบอบนวด ก็เกิดขึ้นและเบ่งบานในช่วงนั้น เพื่อรองรับการ rest and relaxation ของเหล่าทหารผู้มีเงินสกุลดอลเต็มกระเป๋า จนแพร่สะพัดอยู่เป็นเสนียดแก่สังคมไทยจนทุกวันนี้)
ผู้เขียนเชื่อว่าหากนายปรีดีและทหารเรือทำการปฏิวัติได้สำเร็จ และยังคงกุมอำนาจรัฐอยู่ในช่วงนั้น ประเทศเราจักไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเช่นนั้นแน่นอน และเชื่อว่าสังคมไทยวันนี้จะต้องดีกว่าปัจจุบันนี้แน่นอน
อนิจจา…ทหารเรือ ถ้าจะเข้มแข็งกว่านั้นสักนิดอาจช่วยประเทศได้มากอักโขทีเดียว
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (นนร. รุ่น ๗๐)
« « Prev : นโยบายพรรคการเมืองคิดมาให้แจกฟรี (จะมีใครรับไหมหนอ)
Next : แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง » »
2 ความคิดเห็น
เอาประวัติศาตร์มากระตุกบ้างก็ดีนะครับ
ดีแน่ครับพี่บางทราย…ภาษิตฝรั่ง(ที่ดีๆ) สอนว่าว่า those who don’t study history are condemned to repeat it.
(ต้องเอาภาษาอังกฤษมาขู่กันบ้างโนะพี่ ไม่งั้นคนไทยมันไม่สนกันหรอก มันสนแต่อนาคตอันบรรเจิดตามที่ฝรั่ง(กระจอกบางคน) มันสอน)