ความเจริญแต่ด้อยพัฒนาของหนังสือพิมพ์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 8:22 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1042

ความห่วยแตกบางประการของหนังสือพิมพ์ไทย คือ หนังสือพิมพ์ไทยเราเจริญเทียมเท่าอารยประเทศ เพราะรูปเล่มสอดสีสวยงามตายิ่งนัก แต่…

ความห่วยแตกประการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับที่พบบ่อยมากที่สุดคือ การใช้ชื่อย่อของหน่วยงาน แล้วไม่บอกว่าย่อมาจากอะไร โดยคิดเอาเองว่าเป็นชื่อย่อที่ผู้อ่านรู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น อสมท. อาร์เคเค (RKK) นปก. คมช. สนช. GDP เป็นต้น

 

โดยเฉพาะ RKK ผมอ่านเจอมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ในหนังสือพิมพ์ (นสพ.) หลายฉบับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันย่อมาจากวลีใด

 

ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งนะครับ ไม่ว่าคำย่อจะเป็นที่รู้จักกันดีอย่างไรก็ตามเขาจะต้องเอ่ยคำเต็มก่อนเสมอ แล้ววงเล็บคำย่อไว้ข้างท้าย จากนั้นไปเขาถึงจะใช้คำย่อ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาฉลาด คือมีสามัญสำนึกมากกว่าเรา (และดังนั้นประะเทศเขาจึงเจริญ)

 

 

ความห่วยแตกของนสพ.ไทยอีกประการที่ผมสุดแสนขัดใจมานาน คือ ทำไมเวลาเขียนข่าวมันช่างเยิ่นเย้อเหลือเกิน โดยมักเกริ่นนำข่าวด้วยข้อมูลไร้สาระยาวยืดที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยกับผู้อ่าน เช่น ไปเกริ่นว่า ร.ต.อ คนไหนได้รับการแจ้งความจากใคร จึงนำความแจ้งผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น (พร้อมระบุยศ ชื่อ ตำแหน่ง ผู้บังคับบัญชาเหล่านั้นให้เราอ่านครบหมดทุกคน)  จากนั้น ผบ. ก็สั่งการลงไปตามลำดับชั้นให้นำกำลังเท่านั้นเท่านี้ไปยังที่เกิดเหตุ

 

ยัง…ยังไม่หนำใจคนเขียนข่าวท่าน จากนั้นท่านจะต้องแจ้งให้เรารู้ก่อนว่าเหตุเกิดที่บ้านเลขที่เท่าไร หมู่ไหน ตำบลใด เสียก่อน หน้าบ้านมีต้นตาลสองต้น หรือสามต้น ก็ต้องบอกด้วย ท่านก็พร่ำพรรณนาไปเรื่อย จนถึงกลางๆเรื่องนั่นแหละ ถึงจะได้รู้ว่า อ้อ..เกิดไอ้โน่นไอ้นี่ขึ้น  ซึ่งก็มักไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก  เนื้อข่าวจริงๆประมาณสัก หนึ่งในสามของอารัมภบทเท่านั้นเอง

 

ลองไปอ่านข่าวนสพ. ฝรั่งดูสิ ไม่ต้องไปไกล เอาฝรั่งในไทยนี่แหละ จะเห็นว่ามันคนละเรื่องเลย

 

ความห่วยแตกประการที่สามของหนังสือพิมพ์ไทยคือ จริยธรรม ของกองบรรณาธิการ (บก.)

 

ลองส่งเรื่องของท่านไปถึงเขาสิ เขาจะเงียบหายต๋อมเหมือนกันทุกฉบับ ไม่ตอบไม่อะไรทั้งนั้น (คงหยิ่งยะโสว่า นสพ./วารสาร ของฉันเนี่ย ระดับแนวหน้านะ ไม่มีเวลาตอบนักเขียนกระจอกอย่างเจ้าหรอก)  บางทีเขาก็ลงให้นะ แต่ก็ไม่แจ้งไม่บอกตามเคย เจ้าไปหาอ่านเรื่องของเจ้าเอาเอง  เงินทองค่าเรื่องก็ไม่ให้ (ไม่ได้เงินแล้วยังต้องเสียงเงินไปซื้อหามาอ่านเรื่องของตัวหรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีก) เขาคงถือเป็นบุญคุณเสียอีกที่หนังสือดังอย่างเขาอุตส่าห์ลงเรื่องให้นักเขียนกระจอกๆอย่างเรา

 

ผมเคยส่งเรื่องสั้นๆทางอีเมล์ ไปยังนิตยสาร Times นิตยสารฝรั่งระดับโลก ภายในสองชม. เขาตอบกลับมาว่าได้รับเรื่องแล้ว กอง บก. จะพิจารณา ได้ผลอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ แล้วภายใน 2 วันก็ตอบกลับมาว่า รับ หรือไม่รับ เมื่อรับก็จะแจ้งให้เราปรับแก้ตรงโน้นตรงนี้ พร้อมบอกว่าจะให้หรือไม่ให้ค่าเรื่องเท่าไร และถ้าไม่ให้ ด้วยเหตุผลใด

 

ไม่น่าแปลกทำไมประเทศเราจึงยังด้อยพัฒนาอยู่จนบัดนี้

 

ความห่วยแตก (ประการที่ 4) ของหนังสือพิมพ์ไทย

 

คือเวลาเขาเขียนข่าวที่เป็นข่าวสืบเนื่องจากข่าววันก่อนๆ เขามักต่างพากันสรุปว่าผู้อ่านทุกคนต้องได้อ่านข่าวในประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้น เขาก็จะไม่ท้าวหรือทวนความเดิมแต่ประการใด ทำยังกะเขียนไดอารีให้ตัวเองอ่านยังงั้นแหละ

 

ส่วนนสพ. ฝรั่ง (แม้แต่ฝรั่งในบ้านเรา) ถ้าเป็นข่าวต่อเนื่อง ย่อหน้าสุดท้ายของข่าว จะเป็นย่อหน้าที่เขาทวนความเก่าให้ฟ้งพอสังเขป เอาเฉพาะหลักการสำคัญของข่าว ที่เขาไม่เอาไปไว้ข้างหน้า เดาว่าคงกลัวว่าจะไปทำความรำคาญให้กับผู้อ่าน”ส่วนใหญ่” ที่ติดตามเรื่องนี้มาแต่ต้น แต่วันก่อนๆ แต่เขาก็ไม่ลืมคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ตามมาแต่ต้น เลยเอาไปขมวดไว้ด้านหลัง

 

ส่วนสไตล์การเขียนบทความในวารสารรายสัปดาห์ก็คล้ายๆกัน ของไทยเรามักไม่ปูพื้น ท้าวความเป็นมา มาถึงก็วิจารณ์กันแหลกลาญไปเลย เพราะสมมติกันว่าผู้อ่านมีพื้นความรู้ในเรื่องนั้นๆดีอยู่แล้ว (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นความจริง) แต่บทความฝรั่งจะปูพื้นให้พอสมควร แม้เราไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในประเด็นนั้น ไปอ่านเข้าก็พอจับความได้ที่เดียว การเขียนแบบนี้ยังเป็นผลดีด้านประวัติศาสตร์อีกด้วย ใครจะรู้อีก 100-200 หรือ แม้แต่ 1000-2000 ปีจากนี้ไปนักประวัติศาสตร์เขามาค้นคว้า เขาจะได้อ่านได้เข้าใจว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

 

คนไทยเรามักคิดกันสั้นๆ ใกล้ๆ แบบนี้เสมอ นี่ขนาดสื่อนะ ซึ่งถือว่าเป็นชนระดับปัญญาของประเทศ

 

แล้วรากหญ้าที่อำมาตย์กำลังกลัวกันเหลือเกินล่ะ..

 

…สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๒)

 

 


มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 7:32 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1191

มองยุทธศาสตร์ไต้หวันแล้วหันดูตัว

 

ประธานาธิบดีหม่า แห่งไต้หวัน  ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ (เมื่อประมาณพศ. ๒๕๔๙) ว่า ที่ผ่านมาไต้หวันผิดพลาดที่เอาเศรษฐกิจไปผูกไวกับอุตสาหกรรมไอทีเพียงอย่างเดียว ทำให้เจ็บหนักเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก

 

เขาเพิ่งเกิดวิสัยทัศน์ว่าจะปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้หลากหลายมากขึ้นโดยจะเน้น 6 ด้านคือ

  • 1. พลังงานเขียว
  • 2. อุตสาหกรรมการเกษตร
  • 3. การท่องเที่ยว
  • 4. เทคโนโลยีชีวภาพ
  • 5. อุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม (cultural industry ไม่ทราบว่าหมายถึงอะไรแน่ อาจหมายถึงอุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับวัฒนธรรมจีน เช่น สินค้าที่เฉพาะคนจีนบริโภค)
  • 6. อุตสาหกรรมที่อิงอยู่กับการคิดค้นใหม่ (ท่านอภิสิทธิ์ก็กำลังพูดถึงประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน)

 

ผมเพิ่งเขียนไปหยกๆ ถึงเกาหลี ที่เขาก็กำลังเน้นปฏิวัติลูกที่สามคือ ชีวเคมี ดูสิครับประเทศแนวหน้าเขาต่างหันมาทางเกษตร ชีวะ กันทั้งนั้น ทั้งที่ศักยภาพด้านภูมิศาสตร์พื้นฐานของเขาไม่สอดคล้องนัก

 

ส่วนไทยเรามีศักยภาพด้านนี้สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่กลับไม่สนใจโดยไปกระสันต์อยากเป็นใหญ่ทางอุตสาหกรรมอีเล็กทรอนิกส์และสร้างรถยนต์จนขายตัวให้นายทุนต่างชาติด้านนี้เข้ามาปู้ยำประเทศเป็นการใหญ่ใน 40 ปีที่ผ่านมา

 

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความนับร้อยได้แล้วกระมังเพื่อเสนอให้รัฐบาลไทยปรับยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติให้การเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นแกนหลัก โดยผมได้พยายามชี้ให้เห็นว่าถ้าคิดบัญชีให้ดีแล้วจะเห็นว่าการเกษตรมีมูลค่ามหาศาลกว่าสินค้าอื่นมากนัก (ทั้งมูลค่าตรงและอ้อม) (ผมได้ทำนายไว้ด้วยว่าเศรษฐกิจโลกต้องพังแน่ไม่ช้าก็เร็ว การเน้นการเกษตรจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้มากที่สุด)

 

ประเทศเราดูถูกการเกษตรเหลือเกิน จนขณะนี้ไม่มีใครเรียนวิศวเกษตรกันแล้ว ได้แต่นักศึกษาหางแถวที่คะแนนสอบเข้าเพียง 150 เต็ม 500  ส่วนวิศวคอมฯ โทรคมฯ ไฟฟ้า แย่งแทบจะเหยียบกันตาย วิศวกรรมอาหารมีมหาลัยเปิดสอนเพียงสองแห่งเท่านั้น แต่วิศวคอมพิวเตอร์เปิดสอนทุกซอกตึกเลยก็ว่าได้ (นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายส่งเสริม หรือมีแผนชาติทางด้านนี้เลย) …เท่ากับว่ารัฐบาลไทยกำลังเป็นองค์กรที่บ่อนทำลายประเทศไทยมากที่สุดก็ว่าได้

 

ผมเน้นให้ฟังอีกครั้งนะครับว่าถ้าไม่นับธุรกิจบริการ การเกษตรเป็นภาคที่จ้างแรงงานใหญ่ที่สุดใน usa  (ประมาณ 30% ทั้งที่เกษตรกรจริงมีเพียง 1.8% เท่านั้น)  ส่วนรถยนต์ที่ว่ายิ่งใหญ่นั้นไม่น่าถึง 2% ของแรงงานทั้งหมด  คอมพิวเตอร์ไม่น่าถึง 1%

 

ถ้าให้ผมมีอำนาจในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ของชาติผมจะกำหนดดังนี้

 

  • 1) เกษตรชีวภาพ (ออกกฎหมายห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด) และการประมงชีวภาพ
  • 2) อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร (เช่น แปรรูปอาหาร ปุ๋ยชีวภาพ )
  • 3) เทคโนโลยีชีวภาพ (การวิจัยเกี่ยวกับ 1 และ 2 รวมถึงด้านอื่นๆ)
  • 4) การปลูกไม้เนื้อแข็งและอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (ปลูกแบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้พื้นดินชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วย ดังที่ผมได้เขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว)
  • 5) อุตสาหกรรมต่อเรือ (เรื่องนี้ผมได้เขียนไว้มากแล้ว ว่าเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลหลงลืมไปว่าเรามีฐานทางด้านนี้มากและนานมาแล้ว แต่ดันหันไปส่งเสริมการต่อรถแทนต่อเรือ)
  • 6) การศึกษา วิจัย ผลิต ยาสมุนไพรตำรับไทย และการรักษา บำบัดโรคตามวิถีพุทธ (ซึ่งจะได้ทั้งเงินและจิตวิญญาณ)
  • 7) พลังงานสะอาด (ลม แดด น้ำ และ ชีวภาพ)

 

การกำหนดนี้จะต้องมีแผนงานรองรับด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่ากำหนดด้วยปาก เช่น รัฐบาลทักษิณกำหนดจะเป็นครัวโลก แต่ไม่เคยมีแผนสร้างคนด้านนี้ เช่น วิศวเกษตร วิศวอาหาร วิทยาศาสตร์อาหาร เลย ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนเดิม

 

ยุทธศาสตร์ที่ผมจะไม่ส่งเสริมคือ

 

  • 1) การท่องเที่ยวจากต่างชาติ (แบบที่ปธด.หม่า คิด) (ผมว่ามันไม่ยั่งยืนหรอก และยังต้องไปง้อเขากิน พึ่งตัวเราเองดีกว่า ยังฝรั่งกุ๊ยๆ เข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีหญิงไทยเต็มเมือง)
  • 2) อุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย (แต่ต้องมีพอเพียงของเราเอง โดยไม่หวังขายออกไปทำกำไร เช่น การต่อสร้างรถยนต์ รถไฟใช้เอง รวมไปถึงอาวุธสงคราม)
  • 3) การลงทุนจากต่างชาติ (ยิ่งลงมากเท่าไร เราก็เป็นบ๋อยเขาเท่านั้น ไม่รู้จักเป็นนายตัวเองกันซะที)

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๔๙)


มองเกาหลีเพื่อเอามาชี้ทางไทย

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 6:53 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 975

ประเทศไทย…พัฒนาแบบก้าวกระโดด (ข้ามหัวตัวเอง)

 

เมื่อประมาณพศ. ๒๕๔๘ ผมได้มีโอกาสสนทนากับศาสตราจารย์จากประเทศเกาหลี ท่านเล่าว่าขณะนี้รัฐบาลเกาหลีกำลังมีแผนระยะยาวและใหญ่มากในการปฏิวัติขั้นที่สาม คือการปฏิวัติด้านชีวภาพ

 

ทั้งนี้เขาบอกว่า การปฏิวัติขั้นแรกและขั้นสองที่ประเทศได้ทำสำเร็จลงไปแล้วคือ การปฏิวัติการเกษตร และ ปฏิวัติอุตสาหกรรม นั่นเอง

 

ส่วนรัฐบาลและนักการเมืองไทยเรานั้นเมื่อพูดถึงการเกษตร  คิดได้เพียงแค่การประกันราคาพืชผลเท่านั้นเอง  จนปล่อยปละละเลยจนเกษตรไทยเหี่ยวเฉาเท้าลีบ จนขณะนี้การเรียนวิศวเกษตรกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ หาคนเรียนไม่ได้แล้ว ..แต่วิศวกรรมอากาศยานคนแย่งกันเรียนเจียนบ้าทั้งที่ประเทศไทยไม่มีอุตสาหกรรมอากาศยานรองรับแม้แต่น้อย..อนิจจาคนไทยเอ๋ย

 

ประเทศมหาอำนาจทุกชาติในโลกนี้ต่างพัฒนามาจากรากฐานการเกษตรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเมกา EU ญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลี  ดังนั้นกินเนสบุคจะต้องบันทึกไว้ว่าประเทศไทยกำลังเป็นประเทศแรกในโลกที่มีความสามารถพิเศษในการพัฒนาแบบกระโดดข้ามหัวตัวเองได้

 

ขนาดม.เกษตรศาสตร์ยังพยายามหนีภาพลักษณ์การเกษตรยกใหญ่ หันไปเปิดสาขาวิชาหลากหลายที่แสนไกลเกษตร จนเกษตรแท้ๆ เหลืออยู่เพียงนิดเดียว ขณะที่ม.ในสหรัฐมีม.เกษตรชั้นนำทำวิจัยออกสินค้ามาขายเราอยู่เรื่อยๆ เช่น คอร์แนล ยูซีเดวิส มินเนสโซตา อิลลินอยส์ มิชิแกนเสตท

 

ที่ไทยเรารังเกียจเกษตร ผมเชื่อว่ามีฐานคิดมาจากพวกนักเรียนนอกตีนแดงที่มีแต่ดีกรีแต่หามีปัญญาไม่ และมีเส้นสายใยโยงจนได้เข้าไปเป็นใหญ่ ไปกำหนดนโยบายการบริหารประเทศได้

 

คนพวกนี้พากันไปคิดแต่จะก้าวกระโดดไปสู่อุตสาหกรรมและความร่ำรวย โดยหาได้สำเหนียกว่าการกระโดดให้สูงมันต้องมีพื้นที่แข็งแกร่งคอยรองรับ ไม่งั้นตีนมันติดหนึบ โดดไม่ขึ้นหรอก เปรอะตีนเล่นอีกต่างหาก

 

ลองคิดดูคนเรา 1 คนกินข้าวมื้อละ 30 บาท 5 ปีคิดเป็นเงิน 164,250 บาท ในช่วงเวลานี้ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 ตัวราคาเพียง 20,000 บาท แต่ถ้าเราเอาอาหาร 30 บาทนี้ไปขายในยุโรปมันจะกลายเป็นราคา  10 เท่า ได้ 1.6 ล้าน ในขณะที่คอมฯที่ยุโรปก็สองหมื่นเท่ากัน

 

ถ้าเลิกโง่ แล้วคิดให้ออก จะเห็นว่าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไม่ได้มีราคาต่ำอย่างที่คิดกันหรอก ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นอุตสาหกรรมที่จ้างแรงงานใหญ่ที่สุดในสหรัฐได้หรือ แถมถ้าเศรษฐกิจโลกตกต่ำมันยังเป็นหยุ่นกันกระแทก เพราะตกต่ำอย่างไรก็ยังต้องกิน ส่วนคอมพิวเตอร์มันชะลอการซื้อได้

 

ตอนนี้เราปฏิวัติอุตสาหกรรมแบบไทยๆ มาได้ 40 ปี ทำกันได้เพียงแค่ขายประเทศให้นายทุนต่างชาติเข้ามาปู้ยำ พร้อมแพคเก็จแจกแถมนานับประการผ่านองค์กรบ๋อย (BOI)  (ชื่อย่อออกเสียงได้เหมาะสมดีเพราะทำให้คนไทยกลายเป็นบ๋อยต่างชาติไปหมดทั้งประเทศแล้ว)

 

ผมจึงได้คิดค้นนโยบายปฏิวัติอุตสาหกรรมท้องถิ่นขึ้นมาเพื่อกอบกู้ชาติไทย ให้รอดพ้นจากความผิดพลาดของรัฐบาลในยุคก่อนๆ (โปรดหาอ่านเอาในบลอกผม ซึ่งเขียนไว้มากหลายในบริบทต่างๆ)

 

ส่วนเรื่องปฏิวัติชีวเคมีของเกาหลีนั้นว่าไปแล้วก็คือ สูงสุดคืนสู่สามัญ กลับไปหาต้นผักต้นหญ้าอีกตามเคย แม้เรื่องนี้เองผมก็ได้คิดไว้ให้ประเทศของผมพอควร เนื่องจากเห็นว่าประเทศเราได้เปรียบชาติอื่นในฐานะที่อยู่ในเขตร้อนชื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และพืชผลโตเร็วกว่าเขามาก

 

ในเกาหลีเองพื้นฐานการเกษตรที่เขาทำไว้ดีแล้ว ทำให้เขาต่อยอดออกไปด้านชีวภาพได้โดยง่าย สร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล แต่สิ่งที่เขาขาดคือวัตถุดิบ จนต้องออกมาควานหาในไทย เวียตนาม อินโด กันแล้ว สิ่งที่เขาเล็งไว้ในระยะสั้นคือ พลาสติกชีวภาพ การทำแป้งแปรรูป (modified starch) นับพันชนิดเพื่อการค้าในรูปแบบต่างๆ รวมถึงเส้นใยสังเคราะห์ชีวภาพ  ซึ่งมันจะนำไปสู่อะไรต่อมิอะไรอีกมากมหาศาล

 

สำหรับไทยเราผมว่าเราต้องวางฐานแนวคิดให้ดีในเรื่องชีวภาพ ผมได้เสนอไปแล้วในเรื่อง การปลูกป่าเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืนที่จะทำให้มีรายได้ปีละหลายล้านๆบาท ด้วยเนื้อที่เพียง 10 ล้านไร่ ผมขอเสนอเพิ่มอีกคือ (เคยเสนอมาหมดแล้ว แต่พิมพ์ใหม่เท่านั้นเอง)

 

  • ที่สำคัญมากคือเกษตรชีวภาพ ขอเสนอให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่าการใช้สารเคมีทุกชนิดในการผลิตพืชและสัตว์เป็นการผิดกฎหมาย มีโทษร้ายแรง ซึ่งเราจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำเช่นนี้ เชื่อผมสิ มันจะกระหึ่มโลก และจะนำไปสู่สิ่งดีๆอีกมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึง รวมไปถึงการเมืองก็จะดีขึ้นด้วย การศึกษา ศาสนา จะดีขึ้นตามไปหมด
  • สินค้าเกษตรทุกตัว เช่น ยางพารา ต้องเพิ่มมูลค่าให้หมด อย่าขายเป็นยางดิบเช่นทุกวันนี้ จะมีรายได้อีกนับล้านๆ บาท (เพิ่มจากเดิม 20 เท่า) ปาล์มน้ำมันถ้าสกัดสารเป็นประโยชน์เช่นไวตามินอีออกมาได้ก็ได้เงินอีกนับแสนล้านบาท ถ้าทำได้กับสินค้าทุกตัวมันจะเป็นรายได้มหาศาลจนถนนประเทศเราอาจปูด้วยทองก็ยังได้นั่นเทียว
  • สมุนไพรไทย มีคุณค่ามหาศาล ต้องวิจัยให้มากที่สุด ควรตั้งสถาบันวิจัยสมุนไพรไทยได้แล้วจะมีเงินเข้าประเทศอีกหลายล้านล้านถ้าทำให้ดี
  • พืชผัก ผลไม้ สัตว์ แปลกๆ ที่มีศักยภาพเชิงการค้า ยังมีอีกมหาศาล แต่รัฐบาลไม่คิดวางแผนให้ดี ในการผลิต โปรโมท ตรงกันข้ามกลับสอนให้คนไทยหันไปนิยมของต่างชาติเสียหมด เช่น แอปเปิ้ล บรอคคอลลี่ แครอท โดยกระทรวงสาธารณสุขช่วยผลักดันว่าไวตามินสูง ถึงกับบรรจุไว้ในหลักสูตรของนักเรียน เรียกว่าช่วยต่างชาติล้างสมองคนไทยตั้งแต่ยังเด็ก
  • นโยบายนมโรงเรียน เลิกเสียที เอาอะไรที่มันดีกว่ามาแทนนมได้ไหม เช่น น้ำนมข้าวยาคูผสมผักชีวภาพต่างๆของเราเองที่ผลิตได้ในประเทศ จากนั้นส่งออกขายทั่วโลกแทนนมวัว

 

พอพูดถึงการปฏิวัติอะไร นิสัยคนไทยเรามักมองไปที่วิธีการและรูปแบบที่หรูหราไฮเทคเอาไว้ก่อน โดยไม่ค่อยมองฐานราก มันจึงล้มลุกกันอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม การเมือง การศึกษา  ในการปฏิวัติรอบใหม่นี้ไม่ว่าจะปฏิวัติอะไรผมว่าเอาแบบพื้นๆให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยต่อยอดระดับสูงตามวิวัฒนาการของมันจะดีที่สุดนะครับ อย่าไปกระโดดข้ามหัวตัวเองแบบที่ผ่านมาซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงมานานพอแล้ว

 

สังคมไทยที่ผ่านมาเราปฏิวัติ หรือ ปฏิบัติผิดพลาดมามาก เพราะถูก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” และ “ผู้ทรงบารมี” ไม่กี่คนชี้นำ  (ยิ่งถ้ามีทั้งคุณวุฒิและบารมีก็ยิ่งไปกันใหญ่) โดยอาศัยอำนาจบารมีตามโครงสร้างของระบบสังคมในแนวดิ่ง

 

ผมเห็นมาหลายต่อหลายครั้งว่ามันเป็นแบบนี้ในการประชุมแบบที่มีการเห็นหน้ากัน

 

เฮ้อ…หรือว่าเราต้องปฏิวัติวิธีการประชุมกันเสียอีกที

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๔๘)


ข้อกวนคิดวันนี้…ประชาตีบจะตาย(อยู่แล้ว)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 June 2011 เวลา 12:27 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1153

ประชาธิปไตย คือ ระบบการปกครองที่เสียงสวรรค์แห่งประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเลือกผีห่าซาตานที่โกหกได้ใจที่สุดให้มาปกครองพวกเขา..ต่อไปอีกสี่ปี

..คนถางทาง


ช่วยด้วย…การศึกษามัธยมกำลังล่มสลายอย่างน่าใจหาย

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 June 2011 เวลา 6:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1343

นี่คือจดหมายที่ผมเพิ่งเขียนถึงท่านผู้มีอำนาจ..ผมว่าถ้าไม่เลิกระบบนี้ให้ทันกาล ประเทศเราฉิบหายแน่ ..ผมเขียนจดหมายไปหารัฐบาลแล้ว ก็ยังนิ่งเฉยอยู่  (ไม่มีการตอบว่า ได้รับแล้วเสียด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่ผมมีหลักฐานให้เห็นจะจะ)

 

เรื่อง ขอแสดงข้อคิดเห็นเรื่องนศ. ตกออกเป็นจำนวนมาก

 

เรียน ………………

(สำเนาเรียน …………………..)

 

อ.ดร….. ได้สำรวจข้อมูลนศ. วิศวกรรมเครื่องกล ที่ตกออก ในแต่ละปีการศึกษา  แล้วเอามาให้กระผมดู ทำให้กระผมเกิดแนวคิดว่า มีสิ่งผิดปกติสำคัญเกิดขึ้นในวงการศึกษาไทยที่ไปเกี่ยวโยงกับการเรียนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลางอย่างมีนัยสำคัญ

 

ข้อมูล (ปีรหัส/%ตกออก) เป็นดังนี้  (46/11.6)  (47/13.3)  (48/22.4)  (49/27.6)  (50/23.7)  (51/28.2)  (52/22.2)

 

ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มีการกระโดดในการตกออกจากประมาณ 10%  เป็น 20-30% ที่รุ่นปี 48 ซึ่งหากนับถอยหลังย้อนไปจะเห็นว่านศ.รุ่นนี้เข้าเรียนชั้น ม 4 เมื่อปีพศ. 45 ซึ่งน่าจะตรงกับปีที่ รร.มัธยม ถูกบังคับใช้นโยบาย “student center” พอดี  เพื่อรองรับพรบ.การศึกษา 2542 โดยมีการสอนแบบใช้ใบงาน ให้นร. ไปศึกษาหาความรู้กันเอง ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ความรู้ไม่เข้มข้นแล้ว ครูอาจารย์ยังไม่ใกล้ชิดกันนร.อีกด้วย  กระผมเชื่อว่าการสอนแบบนี้ส่งผลให้นร. มีความรู้อ่อนทั่วประเทศ และยังส่งผลต่อพฤติกรรมอีกด้วย จนส่งผลต่อการตกออกในอุดมศึกษา

 

กระผมจำได้ว่า นศ. รหัสก่อน 44 ก็มีการตกออกระดับ 30%  ซึ่งตอนกระผมเป็น รองฯวิชาการ ได้ปรับระบบการติดโปรเสียใหม่ ให้มีแต่โปรต่ำ และให้ติดได้ ๔ ภาค (แทน ๒ ภาคเหมือนเก่า) อีกทั้งให้เลื่อนการนับการเริ่มติดโปรจากภาค ๓  ปี ๑  มาเป็นภาค ๑ ปี ๒ เพื่อให้นศ.ได้มีเวลาปรับตัว  การปรับนี้เชื่อว่าทำให้ลดการตกออกจากเดิม 30% มาเหลือ 10% ได้  แต่บัดนี้กลับมาอยู่ในระดับเก่าอีกแล้ว ซึ่งนับเป็นการสูญเสียสำคัญของชาติ

 

กระผมได้คุยกับเพื่อนคณาจารย์จากม.ขอนแก่น ก็ทราบว่านศ.วิศวะตกออกมากประมาณ 20-30% เช่นกัน

 

จากการคุยกันของคณาจารย์ในสาขาวิชามีความเห็นตรงกันว่า  นศ. รุ่นรหัส 48 เป็นต้นมามีฐานความรู้อ่อนกว่ารุ่นก่อนๆมาก อย่างเห็นได้ชัด

 

กระผมจึงนำเรียนข้อมูลมาเพื่อท่าน……..โปรดพิจารณาใช้ประโยชน์ในการประชุมร่วมกับ ……  เพื่อชี้แจงให้กระทรวงศึกษาทราบถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของชาตินี้ด้วยต่อไป

 

ด้วยความเคารพ

ทวิช จิตรสมบูรณ์


พฤติกรรม/พฤติกาม

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 5 June 2011 เวลา 3:13 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1628

ความต้องการทางกามารมณ์คือรากฐานที่กำหนดพฤติกามของมนุษย์??????

 

Abraham Maslow นักจิตวิทยาร่วมสมัยชาวอเมริกัน  ที่ได้รับการอ้างถึงมากที่สุดคนหนึ่ง ได้จัดลำดับความต้องการของมนุษย์ไว้เป็นปิรามิด  สรุปคือ มนุษย์ต้องการปัจจัยสี่และเรื่องทางเพศ (กิน อึ .. นอน )  เป็นฐานปิรามิด ..เรื่องทางกาย

 

ที่สูงขึ้นไปก็เรื่องของความต้องการทางความมั่นคงในชีวิต อารมณ์ เพื่อน ศักดิ์ศรี สูงสุดที่ยอดปิรามิดก็คือ เรื่องของการตระหนักในตนเอง (self actualization)

 

ดูเผินๆ ก็น่าเห็นด้วยอยู่หรอก เพราะมันเข้ากันได้กับสามัญสำนึกที่ท่าน maslow เอามาจัดให้เป็นระบบ แต่พอไปดูรายละเอียดเรื่อง ตระหนักตนนั้น มีแต่เรื่อง ของ จริยธรรม , การสร้างสรรค์ , การยอมรับความจริง ..อะไรทำนองนี้ ซึ่งผมว่ามันยังไม่สมบูรณ์

 

มีคนวิจารณ์มาสโลวไว้พอควร เช่น หาว่าท่านคิดแบบ ปัจเจกชนนิยม (เนื่องเพราะสังคมอเมริกันมีความเป็นปัจเจกสูง)  ดังนั้นจึงคิดแบบเอาตนเป็นใหญ่  (self-centered) เอา self actualization ไว้สูงสุด ซึ่งอาจไม่เป็นความจริงสำหรับคนที่อยู่ในระบบสังคมนิยม

 

แต่ผมขอวิจารณ์ผู้วิจารณ์ว่า ผิดจุด เพราะแนวคิดของมาสโลว์นี้น่าจะคิดไว้สำหรับคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบใดก็ตาม คล้ายกับว่าเป็นตัวหารร่วมมากของมนุษย์นั่นเอง 

 

ก่อนอื่นผมขอวิเคราะห์โครงสร้างของแนวคิดมาสโลวก่อนว่า น่าจะมีฐานมาจาก self จริงๆ เริ่ม แต่ self existence –> self security –> self satisfaction –> self actualization  ตามลำดับ  แต่ผมว่าของท่านยังเป็นปิรามิดยอดด้วนอยู่ ที่ยังขาดคือ Self preservation (การถนอมรักษาตนภายหลังการตาย)

 

แต่ก็น่าเห็นใจท่านมาสโลว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของวิญญาณ ซึ่งอาจจะเกินระดับจิตวิทยาไปเสียหน่อย

 

ในก้นบึ้งแห่งจิตใจ (วิญญาณ)  มนุษย์ทุกคนต่างตระหนักในเรื่องของการตาย และเรื่องหลังตายเสมอ อาจโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม  เรื่องของการกลัวตายและการหายสูญทางวิญญาณนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ในวงกว้างมากเหลือเกิน ผมว่าอาจมากกว่าเรื่องเซ็กส์ตามทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์  เสียอีก  

 

(เรื่องเซ็กส์นี้ว่าไปแล้วน่าจัดเป็นอีกขั้นหนึ่งคือ self-propagation ซึ่งว่าไปแล้วทฤษฎีของทั้งมาสโลว และ ฟรอยด์ ต่างผิดที่ไปจัดเอาเซ็กส์เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเช่นนี้เด็กที่ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ก็ใช้ระบบทั้งสองนี้ไม่ได้สิ ศาสนาพุทธเราจัดไว้กว้างๆ ว่า กาม ซึ่งความหมายกว้างกว่าเซ็กส์มากมาย)

 

ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในอีจิปต์โบราณ กษัตริย์กลัวตาย เลยให้สร้างปิรามิด (ของมาสโลว?)  ส่งผลต่อพฤติกรรมสังคมของคนอีจิปต์อย่างมหาศาล ในไทยเราก็สอนกันหนักหนาให้ทำความดี ตายไปแล้วจะได้มีคนคิดถึง  (เช่นเพลง “โลกหมุนเวียน” ของครูเอื้อ ซึ่งเป็นเพลงยอดนิยมของผมด้วย

 

..นี่แสดงว่ากลัวว่าตายไปแล้วจะหายสูญไปจากจิตใจคนอื่นนั่นเอง ก็เลยเป็นผลพวงทางอ้อมของการ “รักษาตน”

 

 

แต่ละคนจะมีหลักการรักษาตนแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การทำดี เพื่อว่าตายไปแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง แล้วแต่ความเชื่อ

 

ส่วนคนที่ไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ ก็มีพฤติกรรมไปอีกอย่าง ทำนองตะแบง ก็เลยเป็นผลโดยอ้อม (แรงสะท้อนกลับ) ของการรักษาตนนั่นเอง

 

ดังนั้นผมเห็นว่า เรื่องวิญญาณนี้ มีอิทธพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ มากกว่า พฤติกาม ของฟรอยด์เสียอีก

 

ถึงจุดนี้ผมขอเสนอทฤษฎีผมบ้าง ว่ามนุษย์มีความต้องการตามลำดับดังนี้

  • ความต้องการทางกาย (physical needs) คือการดำรงชีวิต เช่น ปัจจัยสี่ ความปลอดภ้ยในชีวิตและทรัพย์สิน
  • ความต้องการทางอารมณ์ (Emotional needs) หมายถึงสิ่งที่มากระทบประสาทสัมผัสทั้งหก (ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) เช่น อาหารอร่อย รูปสวย เพลงเพราะ การสัมผัส (รวมทั้งเรื่องเพศ)
  • ความต้องการทางใจ (Psychological needs) เป็นระดับที่ลึกลงไปกว่าอารมณ์สักหน่อย เช่น เกียรติ ความรัก ความอบอุ่น
  • ความต้องการทางวิญญาณ (Spiritual needs) คือ การถนอมรักษาวิญญาณทั้งระหว่างมีชีวิตและภายหลัง

 

…สองเกิด ใจเต็ม (๒๖ พค. ๒๕๕๔)

 

 


พิเรนก็จริง..แต่ไม่บ้านะโว้ย

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 June 2011 เวลา 1:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1178

คำว่า พิเรน เป็นคำด่าต่ำช้า…ถึงเวลาชำระประวัติศาสตร์เสียที

 

 

จากการสุ่มอ่านดะของผมสมัยวัยรุ่น ได้ความว่า พระพิเรนทร์ฯ (ชื่อยาว..สร้อยต่อท้ายจำไม่ได้)  ได้เสนอแนวคิดในที่ประชุม “อำมาตย์” ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า …

 

ไอ้เรือรบฝรั่งเศสที่มันมาจอดทอดสมอ ข่มขู่สยามเราอยู่หน้าพระราชวังนี้ เราควรแก้ไขด้วยการส่งนักดำน้ำทน เข้าไปเอาสว่านเจาะเรือมันให้รั่ว แล้วจมลง

 

อำมาตย์ทั้งหลายโห่ฮา …หาว่า หมอนี่เพี้ยน

 

แต่ผมอ่านแล้วน้ำตาแทบไหล …สังคมไทยมักเป็นเช่นนี้เสมอ ..ใครคิดต่างจากระดับปัญญาตน ก็หาว่าเขาโง่ จนเอามาลือกันว่า ถ้าใครเพี้ยน ก็เหมือนกับพระพิเรนทร์ จนกลายมาเป็น พิเรน ในวันนี้ ของดีๆ แต่กลายเป็นเน่าไปได้ในสังคมไทยเรา …โสน้าหน้า ขอให้เป็นขี้ข้าฝรั่งต่อไป

 

วันนี้ผมอยากชำระประวัติศาสตร์ ให้ไปสืบกันว่าวันที่พระพิเรนทร์เสนอแนวคิดนี้คือวันไหน แล้วกำหนดให้เป็น “วันพิเรน”

 

ในวันหยุดราชการนี้ ให้คนไทยทำอะไรที่พิเรน ที่บ้าๆ เล่นกันสนุกสนาน สักวัน

 

ดีไหมจ๊ะ

 

…คนถางทาง  (๔ มิย ๕๔)


ขยะ ณ เฉียงเหนือ

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 June 2011 เวลา 12:02 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1026

อะไรไม่ดี มักเอาทิ้งอีสาน เช่น ตำรวจ ข้าราชการไม่ดี ถูกจับได้ ก็ย้ายมาอยู่อีสาน

แม้แต่ความขมขื่น ก็เอามาทิ้งแม่โขง

http://www.youtube.com/watch?v=OzYs2pUEVD4

ต่อไปคงมีคน เอาความอาดูรไปถมแม่มูน

หรือ เอาความชอกช้ำไปดัมพ์แม่ชี กันบ้างแหละ..ผมว่า

 


จดหมายด่วนถึงลมอันเป็นที่รัก

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 June 2011 เวลา 12:08 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1450

เรื่อง  นโยบายกังหันลมในประเทศไทย

กราบเรียนท่านอาจารย์…ที่เคารพ

 

ผมต้องกราบขอโทษ ที่เขียนถึงอาจารย์ช้า หลังจากที่สัญญาว่าจะเขียนมาถึงอาจารย์ เนื่องเพราะผมติดภารกิจเดินทางไกล 3 ครั้งติดต่อกันครับ

 

ผมมีประเด็นเกี่ยวกับกังหันลมดังนี้ครับ

 

  • 1) การสำรวจหาช่องลมแรงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ที่ต้องเร่งทำ เพราะลมไม่เหมือนแดดตรงที่กำลังงานแปรผันกับความเร็วยกกำลังสาม ในusa แสนกว้างใหญ่ มีช่องลมอยู่ไม่กี่ช่องเท่านั้นเอง ถ้าเป็นในทะเลสามารถใช้ดาวเทียมช่วยได้ โดยวัดคลื่นผิวน้ำ แต่บนบกยากกว่ามาก ผมเห็นว่าวิธีดีที่สุดคือ ส่งจดหมายออกไป 80,000 ฉบับ ถามผู้ใหญ่บ้าน พร้อมออกแบบเครื่องวัดลมอย่างง่ายให้ด้วย เช่น เอาลูกปิงปองผูกเชือกห้อยไม้ไผ่ จาก 80,000 อาจได้หมู่บ้านลมแรง 2000 หมู่บ้าน เราก็ลงไปสำรวจด้วยตนเองอย่างหยาบ แล้วกรองให้เหลือสัก 500 หมู่บ้านเพื่อทำการวัดลมอย่างละเอียด วิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกที่สุด และ แม่นที่สุดครับ ผมพยายามบอกผู้เกี่ยวข้องหลายคนในเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจทำ เร็วๆนี้พพ. ให้ทุนโครงการไปทำ ใช้ CFD ทำนายลม ซึ่งผมขอไม่เชื่อถือข้อมูลนี้

 

  • 2) ผมเห็นว่าขณะนี้เราประเมินศักยภาพกำลังลมในประเทศไทย ต่ำกว่าความจริงไป 4 เท่า เช่น เราบอกว่าความลมเร็วเฉลี่ย 5 m/s แต่เราลืมไปว่าลมของประเทศไทยเป็นลมมรสุมที่กลับทิศทางปีละ 1 ครั้ง มันแรง 3 เดือน แล้วหยุด 3 เดือน แล้งแรงสลับทิศ เป็นอยู่อย่างนี้ ดังนั้นลม 5 m/s แสดงว่าในช่วงมรสุม เฉลี่ย 10 m/s เมื่อยกกำลังสามแล้วแสดงว่าได้พลังงานเพิ่ม 8 เท่า แต่เมื่อคิดเป็นงานรายปีแล้วจะได้งานเพิ่ม 4 เท่า ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันทำให้เราต้องปรับขนาดเจนเนอร์เรเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น 8 เท่า ในขณะที่ใช้ใบกังหันเท่าเดิม การออกแบบต้องทำใหม่หมด เราต้องลงทุนเพิ่มขึ้น (เฉพาะเจนฯ) ถึง 8 เท่า แต่ค่าเสาเพิ่มนิดหน่อย ค่าใบกังหันเท่าเดิม อาจต้องเพิ่มค่าเฟืองเกียร์ ดูคร่าวๆ เหมือนว่าเราต้องลงทุนเพิ่มมากขึ้น 2 เท่า ในขณะที่ขายไฟได้มากขึ้น 4 เท่า คุ้มสุดคุ้มครับ แต่ตอนนี้เราได้แค่ เท่าเดียว

 

  • 3) การหากราฟสถิติลมก็สำคัญมาก เพราะที่ลมเฉลี่ยความเร็วเท่ากัน หากราฟสถิติลม เบ้ต่างกัน (ค่าตัวเลข weibul ต่างกัน) จะมีผลต่อกำลังงานที่ได้ต่างกันมาก การเลือกกังหันลมก็ต่างกัน ซึ่งอาจหมายถึงกำไรที่ต่างกันมาก ขนาดว่าทำให้บริษัทหนึ่งขาดทุน และบริษัทหนึ่งกำไรได้ทีเดียว เรื่องนี้กลุ่มวิจัยของผมได้ทำการวิจัยออกมาให้เห็นผลแล้วด้วย ครับ แต่ส่วนใหญ่ในเมืองไทยไม่มีใครทราบ และเราก็ได้สำรวจแล้วด้วยว่า ลมภูเก็ตมีweibul 1.7 ในขณะที่ดอยม่อนล้าน เชียงใหม่มี 2.7 ซึ่งต่างกันมาก

 

  • 4) ยุทธศาสตร์เรื่องแรงงานก็ต้องคำนึ่งครับ เพราะของเราลมนิ่งปีละ 6 เดือน (อาจยกเว้นช่องลมแรงบางแห่ง) ซึ่งมันต้องจอดอยู่เฉยๆ เราอาจต้องมียุทธศาสตร์ในการให้คนงานที่ว่างงานช่วงนี้ไปทำงานในโรงงานไฟฟ้าอื่นที่ทำงานสลับกับกังหันลม เช่น พลังชีวมวล

 

 

พร้อมนี้ผมใคร่ขอเรียนให้ทราบถึงการวิจัยในกลุ่มวิจัยกังหันลมของผม  ขณะนี้ มีโพสดอค 1 คน นศ. ปริญญาเอก 3 คน ช่วยผมทำงาน เราเน้นไปที่ aerodynamic ศักยภาพเราตอนนี้คือ เราสามารถออกแบบใบกังหันลมให้มีปสภ. สูงสุดเท่าเทียมฝรั่ง คือ 50% และมีระบบทดสอบด้วย CFD ที่แม่นยำ (ทุกวันนี้การรัน CFD ทำได้ไม่ยากครับ แต่การให้ผลแม่นยำทำได้ยากที่สุด บางทีผลผิดไป 100% )  เราทำทั้งแกนนอนและแกนตั้ง รวมทั้งศึกษาผลกระทบของสถิติลม ขณะนี้ผมเองมีนวัตกรรมที่ปลายปีกกังหันลม สามารถทำปสภ. จาก 15% ขึ้นเป็น 27%  (ทดลองกังหันขนาด 1 ม. ปสภ. เลยต่ำครับ) ผมเชื่อว่าถ้าเอาไปใช้กับกังหันตัวใหญ่ ปสภ.อาจเพิ่มจาก 50% เป็น 70% ได้ (สูงเกินค่าสูงสุด หรือ Betz limit)  ซึ่งผมกำลังหาเวลาจดสิทธิบัตรทั่วโลกอยู่ครับ

 

ท่านอาจารย์มีอะไรให้ผมรับใช้ทางด้านนี้ก็ยินดีครับ

 

ด้วยความเคารพ

ทวิช จิตรสมบูรณ์


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๑๖) (สำนึกในหน้าที่)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 June 2011 เวลา 12:04 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1120

…จำไม่ได้ว่าโพสต์ไปหรือยัง..ถ้าแล้ว..กราบขออภัยโต้ย..ก็แก่แล้ว ย่อมคี่ลืมเป็นทำมดา

 

เป็นที่ทราบกันดีว่าฝรั่ง (โดยเฉลี่ย) มีสำนึกในหน้าที่มากกว่าคนไทย  ทำอะไรจริงจัง ส่วนไทยเราเหลาะแหละ ทำไปเล่นไป หลายคนไม่ทำอะไรเลย (เพราะมีนายคุ้มกะลาหัว)

 

ส่วนพวกนายเล่าทำอะไรกันบ้าง ของฝรั่งนายก็ทำงานของนายไปตามหน้าที่ ส่วนของไทย นายมักไม่ค่อยทำงานเต็มที่ แต่เอาเวลาไปประจบสอพลอนายใหญ่ขึ้นไปเสียมาก  นายใหญ่ก็สอพลอต่อไปเป็นทอดๆ  จนนายใหญ่ๆ เสียผู้เสียคนกันหมด  เพราะด้านชาชินกับระบบนี้  พอตนเองขึ้นไปใหญ่ก็คาดหวังว่าลูกน้องจะต้องสอพลอตน

 

พอหัวมันเน่าเสียแล้วจะให้หางมันหอมนั้นมันก็ยาก มันก็เลยเน่าทั้งระบบในที่สุด

 

สาเหตุน่าจะคือ นิสัยอิงตน กับ อิงนาย อีกแล้ว

 

คือ ฝรั่งเขาอิงตน อิงความสามารถตนเป็นหลัก การจะไต่เต้าในหน้าที่ก็ต้องแสดงผลงานแห่งตนให้เป็นที่ประจักษ์  ส่วนไทยเราอิงนาย การจะไต่เต้าก็ต้องทำให้นายรัก ต้องเป็นไปพวกเป็นกลุ่มของนาย ไปกินข้าวกับนาย คอยเทกระโถนรับใช้   ส่วนผลงานนั้นเป็นรอง

 

ดังนั้นคำว่า “สำนึกในหน้าที่” นี้มีอะไรซ่อนเร้นอยู่  มันเป็นผลพวงของ “นิสัยแห่งสังคม” ด้วย

 

การแก้ปัญหาของไทยเรา ใช่ว่าจะไปปรับระบบให้คนไทยเราทั้งหมดมีนิสัยอิงตนแบบฝรั่ง ซึ่งผมเคยบอกแล้วว่ามันยากมาก เพราะเป็นผลสะสมหลายพันปีของวัฒนธรรม  แต่เราควรมาคิดกันว่าทำอย่างไรดีจะทำให้ “เจ้านาย” จำนวนน้อยนั้น เป็นคนเก่งคนดีให้ได้ เพราะถ้านายเก่งดีมีคุณธรรมเสียแล้วก็จะไม่ยอมรับการสอพลอของลูกน้อง ระบบสอพลอก็จะค่อยๆ สูญหายไปเอง

 

ทำอย่างไรจะนำระบบ “ทศพิธราชธรรม” กลับเข้ามาใช้เป็นกรอบการทำงานของ “นาย” ได้เหมือนในอดีตที่เจ้านายมักมีธรรมทั้งสิบนี้ จน “ไพร่ฟ้าหน้าไส” ไปตามๆกัน  ถ้าการปกครองในช่วงใด ไพร่ฟ้าหน้าซีด  ผู้ปกครองมักอยู่ไม่ได้  ต้องถูกำจัดไปในที่สุด

 

คำว่าทศพิธราชธรรม นี้คือ ธรรมสำหรับนักปกครอง ซึ่งหมายรวมนักปกครองทุกระดับ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงหัวหน้าแผนก

 

สมัยโบราณของไทยเรานั้นแม้แต่ “ทาส” ก็ได้รับการปกครองเลี้ยงดูอย่างเมตตาธรรมเป็นส่วนใหญ่จากนายทาส  ดังหลักฐานปรากฏว่า เมื่อร. ๕  ทรงเลิกทาส ทาสจำนวนมากไม่ยอมเป็นอิสระ กลับอาสาเป็นทาสต่อ เนื่องเพราะสบายดีและมีสุขเมื่ออยู่กับนายทาส เพราะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีนั่นเอง นี่แสดงว่านายทาสคงมี ทศพิธราชธรรมพอควรทีเดียว

 

เห็นได้ชัดว่ากษัตริย์ทรงมีทศพิธราชธรรม เพราะวังกษัตริย์ไทยโบราณนั้นเล็กมาก สมเด็จพระนเรศวรที่ทรงมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้มหาศาล ไม่เคยทรงเกณฑ์แรงงานประชาราษฎร์มาสร้างวังหรูหรา (เหมือนแวร์ซาย และ บัคกิงแฮม ของอังกฤษและฝรั่งเศส) แต่กลับทรงอยู่วังจันทรเกษมที่เป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆเท่านั้น  วังที่ใหญ่ที่สุดคือวังพระนารายณ์ที่ลพบุรี แต่ก็ไม่ได้กระผีกของแวร์ซายอยู่ดี) 

 

นี่คือจุดแข็งสำคัญของวัฒนธรรมไทยในอดีต ที่เราลืมกันไปหมดแล้ว หันไปสมาทานระบบฝรั่งมาใช้ โดยที่เราไม่ได้มีลักษณะนิสัยที่สอดคล้อง  มันก็เลยผิดฝาผิดตัว ทำให้ประเทศเราด้อยพัฒนามาจนบัดนี้ ทั้งที่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นประเทศไทยพัฒนาเท่าเทียมยุโรปในทุกด้านก็ว่าได้  ไม่ว่าจะในด้านสถาปัตยกรรม การก่อสร้าง การปืน การเรือ

 

การที่ระบบทศพิธราชธรรมดำรงอยู่ได้ก็เพราะในสมัยโบราณ ศาสนจักรมีความเข้มแข็งเท่าอาณาจักร พระยังสอนนายทั้งหลายได้ให้เป็นนายที่ดีได้นั่นเอง แต่วันนี้พระเราก็สมาทานเอาระบบฆราวาสมาใช้เต็มๆ พระผู้น้อยก็ต้องสอพลอพระผู้ใหญ่ เพื่อที่จะไต่เต้าทางสมณศักดิ์ เวลาที่จะมาศึกษาธรรมวินัยและมาสอนคนก็น้อยลงไป

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๓ พย. ๕๓)



Main: 0.14195513725281 sec
Sidebar: 0.0079920291900635 sec