ห่วงโซ่อาหาร (ทางปัญญา)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 July 2011 เวลา 2:50 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1709

อาหารกาย อาหารใจ  มีอะไรเหมือนกันอยู่บ้าง

มีต้นวงจร และปลายวงจร เป็นวงกลม 

ไม่มีอะไรเหนืออะไร สรรพสิ่งล้วนเป็นวงจร

 

คนที่รับการซื้อเสียง 500 บาท แล้วรับเงินไปฟังปราศรัย 3 ครั้งอีก 300 บาท ก็มีปริมาณการเป็นเจ้าของประเทศนี้  1 เสียง เท่ากับ หมอเสม หมอประเวศ นายอานันท์ อ.สุลักษณ์ ทักษิณ และ จตุพร  หมอเหวง นังดา (สงสารที่ติดคุก ..น่าปล่อยออกมาให้ด่าได้เต็มที่ไปเลย เผลอๆและบ้าๆ อาจร่วมแจมเป็นครั้งครา ในบางประเด็น แต่ถ้าเอาทุกอย่างตามที่มรึงว่ามา กรูโดดหนีไปอยู่กะหลวงพ่อคูณดีกว่า)

 

 ..ส่วนแมงมุมใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง กลับไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใด ๆ …แบบนี้มัน 1009 มาตรฐานเลยนะเพ่ …แบบนี้ต้องปฏิวัติ  ๆ ๆ ๆ (เอาไปเป็นวลีแต่งเพลงได้เลย)

 

น้ำใสย่อมตกมาจากยอดเขาสูงสุด  แต่น้ำใสนั้นย่อมกลั่นมาจากไอน้ำที่ลอยมาจากทะเลที่ต่ำที่สุด

 

ปริมาณการไหล เท่ากันเสมอ

 

เมื่อไหร่จะหยุดไหล สักที…ชักเบื่อแล้ว

 

เมื่อไหร่น้ำจะเลิกไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ

เมือไหร่ไอน้ำจะเลิกลอยจากที่ต่ำสู่ที่สูง

เสียที 

 

คำตอบ ละลายอยู่ในสายลม 

แวงซองต์  วาน โกะ คงกำลังอมยิ้ม  

…คนเบิกทาง  ..๑๒ กค. ๒๕๕๔

 

 


เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 July 2011 เวลา 11:27 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2291

4.9 สมดุลระหว่าง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

               

                นักปราชญ์เป็นจำนวนมาก ได้วิเคราะห์และสรุปไว้ว่า การดำรงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนของสรรพสิ่งในธรรมชาตินั้นล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการเกิดสมดุลระหว่างองคาพยพต่างๆทั้งสิ้น การสมดุลในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันต่างก็เกื้อหนุนค้ำจุนซึ่งกันและกันอย่างลงตัว ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เนื่องจากไม่มีใครสะสมส่วนเกิน (ที่เกินจำเป็นต่อการดำรงชีวิต) เช่น ในระบบนิเวศน์ของป่าน้ำลำธาร สัตว์ป่ากินพืชได้อาศัยหญ้าและใบไม้เป็นอาหาร พร้อมกับช่วยแพร่พันธุ์ให้กับพืชสกุลต่างๆ เพราะเมล็ดพันธุ์ที่กินเข้าไป หรือ ติดไปตามขนสัตว์ และเมื่อถ่ายมูลก็เป็นปุ๋ย ตายลงร่างกายก็เน่าเปื่อยกลายเป็นปุ๋ยคืนให้พืชได้กินซากของตนบ้าง แต่หากไม่มีสัตว์กินเนื้ออยู่ด้วย สัตว์กินพืชก็จะมีจำนวนมากจนทำลายพืชได้หมด ดังนั้นสัตว์กินเนื้อพวก งู เสือ สิงโต จึงคอยควบคุมจำนวนสัตว์กินพืชให้อยู่ในปริมาณพอเหมาะ (ได้สมดุล) นอกจากนี้รากไม้ยังช่วยอุ้มน้ำฝน ทำให้น้ำค่อยๆไหลสู่ลำธาร นำความชุ่มชื้นให้กับป่า และเป็นแหล่งน้ำให้สัตว์ทั้งหลายได้ใช้ในการดำรงชีวิต ดังนี้จะเห็นว่าเกิดการสมดุลกันมาเป็นเวลายาวนานมาก สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (รวมทั้งมนุษย์) จึงดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขตามสมควรมาเป็นระยะเวลานานแต่สังคมอดีตกาล

                นับแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เริ่มส่อเค้าว่าความสมดุลเริ่มเปลี่ยนไปมาก เพราะสัตว์สกุลหนึ่ง (เรียกขานกันว่ามนุษย์) เริ่มค้นพบวิธีที่จะทำการสะสมส่วนเกินจำเป็นในการดำรงชีวิตได้อย่างมากและรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นผลมาจากมันสมองที่ได้รับวิวัฒนาการจนถึงขั้นหนึ่งทำให้ค้นพบกรรมวิธีการผลิตแบบใหม่ ผนวกกับการค้นพบระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่มีรากฐานอยู่บนความต้องการในการบริโภคสิ่งต่างๆของมนุษย์ ที่นอกเหนือจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต รวมทั้งการสะสมส่วนเกินเพื่อ”ความมั่นคง”ของชีวิต ทั้งสองสิ่งนี้กลายเป็น “วัฒนธรรม” แบบใหม่ที่มนุษย์ใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีวิต อาจเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรม “บริโภคนิยม” (consumerist culture)

 

ทั้งสามสิ่งนี้เกื้อหนุนกันอยู่อย่าง “ไม่สมดุล” ทั้งนี้เป็นเพราะมีการบริโภคและสะสมส่วนเกินที่ “เกินความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต”  ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้ามาก ทำให้อัตราการตายของมนุษย์ลดน้อยลงมาก ทำให้จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  เมื่อจำนวนคนมีมากกว่าเดิม และแต่ละคนบริโภคและสะสมมากกว่าเดิมในสังคมบุพกาล จึงนับเป็นการขาดการสมดุลเป็นอย่างยิ่ง

 

การไม่สมดุลนี้จะนำพามนุษย์ชาติไปสู่ความหายนะใหญ่หลวงประการใด ยังมิอาจประเมินได้ ณ จุดนี้ แต่ประเด็นนี้ไม่อาจรอให้เหตุเกิดเสียก่อนแล้วจึงค่อยคิดแก้ไข เหมือนดังเช่นในกรณีอื่นๆ เพราะหากถึงจุดนั้นแล้ว อาจหมายถึงความล่มสลายอย่างเฉียบพลันและรุนแรงจนไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้อีกเลย (irreversible damage) อุปมาเช่น การสะสมทองเอาไว้ในบ้านมากขึ้นๆทุกวันโดยไม่ได้เอาออกไปทำประโยชน์อะไร สักวันหนึ่งบ้านก็จะพังครืนลงมาเพราะทนรับน้ำหนักทองที่สะสมไว้ไม่ได้

 

และหากเกิดการพังทลายครืนลงของระบบธรรมชาติที่ค้ำจุนเราอยู่ ก็ย่อมกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเรา และ ของคนทั้งโลกโดยถ้วนหน้า ดังนั้นหน้าที่สำคัญอันหนึ่งของเรา  คนไทย และของคนทั้งโลก คือต้องไม่บริโภค หรือสะสมจนเกินพอดี รวมทั้งต้องช่วยกันให้ความรู้แก่ผู้อื่นที่ยังไม่มีทัศนะทางด้านนี้ด้วย หากทุกคนถือว่าไม่ใช่หน้าที่ ต่างพากันละเลย วันนั้นย่อมมาถึงสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน

 

                เราจะต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ยั่งยืน ซึ่งเราทุกคนในฐานะเจ้าของโลกต้องช่วยกันคิด โดยอาจเริ่มต้นด้วยการถอยไปตั้งหลักใหม่เสียก่อนด้วยการ “ถอยหลังเข้าคลอง” หวนกลับไปพัฒนาวัฒนธรรมใหม่แบบเก่า เช่นวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน ไม่สะสมจนเกินพอดี หากใครเกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนก็มีระบบสงเคราะห์กลางที่คอยบรรเทาช่วยเหลือ

 

ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้ จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากผู้นำประเทศทั่วโลกในยุค”แข่งกันรวย” ที่วัดความภูมิใจของประเทศจากอันดับการแข่งขันที่ได้รับการจัดจากองค์กรต่างๆ ยามใดที่ลำดับการแข่งขันของประเทศตกจากลำดับ 42 เป็น 46 รัฐบาลก็จะเร่งทุ่มงบพัฒนาให้ได้ลำดับสูงขึ้น หากทุกประเทศใช้ระบบนี้หมดในการบริหารเศรษฐกิจและสังคม ก็นับได้ว่าเป็นระบบที่แข่งกันไปสู่ความหายนะ สักวันหนึ่ง คงไม่แคล้วว่าวันโลกาวินาศจะมาถึง

 

โจทย์ ให้ท่านคิดวิธีการในการชะลอ หรือ หยุด การแข่งขันไปสู่วันโลกาวินาศของประเทศทั้งหลายในโลกมาคนละ 3 วิธี อธิบายถึงเหตุผลด้วยว่าวิธีของท่านจะช่วยชะลอ หรือ หยุด การแข่งขันนี้ได้อย่างไร

  

                จากบทเรียนที่ชาวอามิชได้ทำเป็นตัวอย่างไว้ เราน่าจะได้สัมมนากันอย่างหนัก เพื่อหาข้อสรุปให้ได้ชัดเจนว่า นิยามของความสุขที่จริงแท้ ที่เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการของปัจเจก ของสังคมประเทศ และของสังคมโลก ในลักษณะที่สอดคล้องกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมพร้อมกันไปนั้น คืออะไรกันแน่

 

                เพื่อหาคำนิยามนี้ให้ได้ อาจจำเป็นที่จะต้องเริ่มด้วยการถามคำถามง่ายๆ(แต่ตอบยาก)เสียก่อนว่า “คนเราเกิดมาเพื่อจุดประสงค์ใด”  หากตอบคำถามนี้ได้ไม่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ก็คงจะเป็นการยากที่จะกำหนดจุดหมายและคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติร่วมกัน

 

                สมมติว่าเราได้สัมมนาร่วมกันจนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว (จะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีความถูกต้องสมบูรณ์โดยปราศจากการลำเอียงเข้าข้างตนเองของปัจเจกชน ของสังคมประเทศ และ ของสังคมโลก)  จากนั้นเราก็คงต้องเลือกใช้เฉพาะเทคโนโลยีที่ไม่ลดทอนความสมดุลแห่งปัจจัยของความสุขนั้น  ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่หากคิดให้ดีจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับบุคคลหกพันกว่าล้านคนในโลก ประเทศกว่าสองร้อยประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจประมาณ 10 ประเทศ ที่ได้พัฒนาเศรษฐกิจแบบไม่ยั่งยืนมากว่าหนึ่งร้อยปีจนร่ำรวยกันอย่างมหาศาล การที่จู่ๆจะไปบอกให้พวกเขาลดการร่ำรวยลงเพื่อให้ลูกหลานของชาวโลกได้มีหลักประกันคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย

 

                หากสังคมมนุษย์ยังไม่มีหรือยังไม่ยอมรับในปรัชญาคุณภาพชีวิตที่สมดุลกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกเสียก่อน คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนการผลิตและสังคมบริโภคที่เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่นำความล่มสลาย (ไม่ยั่งยืน) มาสู่โลกของเราในที่สุด

 

                เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า ความจนเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี แต่อย่าลืมด้วยว่าคนจนมีอยู่สองประเภท คือประเภท”มีไม่พอ” กับ ประเภท “พอไม่มี” (คือไม่รู้จักพอ) คนจนประเภทหลังนี้น่าเป็นห่วงกว่าประเภทแรก เพราะแม้จะเป็นคนที่คนทั้งหลายจัดอันดับให้ว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศหรือในโลกแล้วก็ตาม ก็ยังไม่รู้จักพอ ยังสร้างสรรค์ความร่ำรวยให้ตนเองอีกต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งคนจนประเภทนี้เป็นพวกที่กุมระบบเศรษฐกิจฐานการผลิตและการบริการของสังคมโลกโดยรวม จึงเชื่อได้ว่าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป การ “สร้างสรรค์” ของท่านเหล่านี้คงจะ “ทำลาย” สิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆมากมายทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

 

วิธีการหยุดยั้งการ”สร้างสรรค์”วิธีหนึ่งที่เราทุกคนในฐานะพลโลกอาจช่วยกันได้คนละไม้คนละมือคือ..การลดทอนการบริโภคอันเกินพอดีของเราลงให้อยู่ในระดับสมดุลอันหนึ่ง…..

 

ขอให้ทุกท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนตลอดไป

 

…คนถางทาง (๒๕๔๗)


เทคโนโลยีนำความสุขมาให้ได้จริงหรือ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 July 2011 เวลา 11:17 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2267

หัวข้อหนึ่งในบทที่ ๔ ในตำรา “การพัฒนาคุณภาพชีวิต”  บทนี้ผมเป็นผู้เขียน (เป็นวิดวะนอกคอกจนนักสังคมเขาเชิญให้ไปร่วมแจม)  ตัดมาบางหัวข้อย่อยพอให้มาอ่านกันเป็นกระสาย ..เขียนไว้เมื่อปี ๔๗ (เรื่อง “อามิช” นั้นเพิ่งทราบว่า เป็นหัวข้อย่อยหนึ่งของบทนี้นี่เอง) ……….

4.7 เทคโนโลยีนำความสุขมาให้ได้จริงหรือ

               

                เราทั้งหลายต่างพากันปลงใจเชื่อว่าเทคโนโลยีนำความสุข(และคุณภาพชีวิตที่ดี)มาให้มวลมนุษย์  แต่เราเคยฉุกคิดกันบ้างไหมว่าความสุข คืออะไร และ เรามีเวลาเหลือที่จะสร้างความสุขให้ชีวิตมากน้อยเพียงใดจากการเข้ามาของเทคโนโลยี

                คำถามที่ว่า “ความสุขคืออะไร” เป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะหากไม่สามารถให้คำนิยามนี้ได้อย่างปราศจากความกำกวมเสียก่อน ก็ป่วยการที่จะบอกว่า เทคโนโลยีนำความสุข(และคุณภาพชีวิตที่ดี)มาให้

 

คำถาม ขอให้นักศึกษาพยายามให้คำนิยามของ”ความสุข”ตามความนึกคิดของตนที่เคยมีมาแต่อดีต จากนั้นจินตนาการต่อไปว่าเทคโนโลยีต่างๆ สามารถสร้างความสุขดังกล่าวให้แก่ตัวเราได้อย่างไร

 

                หากลองสมมุติว่าเราสามารถให้คำนิยาม “ความสุข” ได้อย่างไม่กำกวมแล้วก็ตาม เช่นอาจนิยามว่า คือ การมีบ้านหรู รถหรู การไปท่องเที่ยวทัศนาจรในสถานที่ใฝ่ฝัน การกินอาหารอร่อยถูกปาก การฟังเพลงที่ชื่นชอบ การมีเสื้อผ้าอย่างดี การมีเกียรติในสังคม การมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างเหลือเฟือ การมีสุขภาพดี การมีแฟนสวยหรือหล่อ การอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เราชื่นชอบ เหล่านี้เป็นต้นที่เราเรียกกันว่าความสุข ซึ่งก็คือคุณภาพชีวิตอันดีของเราด้วยโดยปริยาย แล้วหากถามว่า เราจะได้สิ่งเหล่านี้มาอย่างไร ก็คงต้องตอบว่า ต้องทำงานหนักจึงจะได้มา และในขณะทำงานนั้นส่วนใหญ่แล้วก็เครียดมาก ไม่ค่อยมีความสุขกันสักเท่าไร ยิ่งต้องทำงานในองค์กรที่ต้องทำกำไรด้วยแล้วก็จะยิ่งเครียดกันใหญ่ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน รถติด ควันพิษ ทำงานเสร็จ กลับบ้าน รถติด ควันพิษ อีกรอบ ถึงบ้านมืด อาบน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำอุ่น (เทคโนโลยี) ทำให้เกิดความสุขได้ระดับหนึ่ง กินข้าวร้อนๆ (หุงจากหม้อไฟฟ้าเทคโนโลยีสูง) ก็มีความสุขได้อีกระดับ นั่งดูโทรทัศน์ (เทคโนโลยี) หัวเราะได้สักเล็กน้อยเพราะ หม่ำ จ๊กมก เล่นตลกได้เฉียบคมถูกใจจริงๆ จากนั้นก็เข้านอน แล้วก็เข้าสู่รอบวันใหม่ วนเวียน ซ้ำอยู่ชั่วนาตาปี ปีละครั้งเราก็นัดเพื่อนๆไปทัศนาจรไกลๆ กัน (ด้วยรถยนต์ เทคโนโลยี ) ถ่ายรูปกันมาเป็นที่ระลึก (ด้วยกล้อง เทคโนโลยี) ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีก็อำนวยความสุขและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ดีพอสมควรทีเดียว

                แต่หากถามว่าเวลาที่ต้องเสียไปกับความเครียดเพื่อทำงานที่จะให้ได้เงินมาซื้อเทคโนโลยีเหล่านี้คุ้มกันไหมกับความสุขที่ได้รับจากเทคโนโลยี ก็คงต้องถกกันหน่อย เพราะดูเหมือนว่าใช้เวลาไปมากเพื่อมาเสวยสุขเพียงแผล็บเดียวเท่านั้น เช่นในแต่ละวันใช้เวลาเดินทางและทำงานวันละ 12 ชม. เพื่อเสวยสุข 2 ชม. เท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องเป็นห่วงว่าเทคโนโลยีต่างๆเช่นรถยนต์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆจะถูกขโมย ชำรุด เสียหาย ตกรุ่น ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้นอีกมากโข และที่สำคัญที่ว่า “ความสุข” นั้นก็ยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตายว่าเป็นความสุขแน่หรือ ถามว่าเมื่อเห็นเพื่อนบ้านระดับเดียวกันเขาซื้อของรุ่นใหม่มา ในขณะที่เรายังใช้รุ่นเก่าอยู่ (เช่น โทรศัพท์มือถือ) เราจะยังมีความสุขดีดังเดิมอยู่หรือไม่ ทั้งที่ก็ยังมีเทคโนโลยี(รุ่นเก่า)ใช้อยู่ในมือ ดูเหมือนว่าความสุขที่ว่านี้มันช่างรวนเรง่ายเสียเหลือเกิน เพียงแค่คนอื่นเปลี่ยนรุ่นโทรศัพท์มือถือก็อาจทำให้เราสูญเสีย “ความสุข”  ไปเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ กางเกงยีนส์ รุ่นใหม่ก็ยังได้

                ลองจินตนาการว่าเราเป็นชาวนาอยู่ตามบ้านนอก สร้างบ้านอยู่กลางนา มีควายสองตัวสำหรับไถนา ตื่นแต่เช้าเหมือนคนกรุงออกไปทำนา ช้าหน่อย แต่ควายไม่ติด ทำให้ไม่หงุดหงิด และไม่มีมลพิษ (ยกเว้นควายผายลมออกมาพอดี) ขี่ควายไปก็ผิวปากไปด้วย อากาศยามเช้าสดชื่นแสนสบาย นกและจิ้งหรีดส่งเสียงร้องไพเราะอยู่ข้างหู เมื่อถึงนาก็ไถนากันไป ไม่ต้องรีบร้อนมาก เหนื่อยนักก็หยุดพักยังได้ ไม่ต้องมีหัวหน้างานมาคอยเดินกำกับ หรือมีเอกสารกองโตตั้งไว้ข้างหน้า ที่ต้องรีบเคลียร์ออกก่อนสิบโมงเช้า (ไม่งั้นออกของให้ลูกค้าไม่ทัน จะเสียเปรียบคู่แข่ง) ตกกลางวันก็ล้อมวงกินข้าวกันกับเพื่อนไถนาแปลงใกล้เคียง ตกเย็นผิวปากกลับบ้าน แสงอาทิตย์สีทองจับขอบฟ้าสวยงามตา อาบน้ำท่ากินข้าวปลากลางนอกชาน ลมพัดเย็น โพล้เพล้หัวค่ำก็นั่งสนทนา หรือ ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นเข้านอน  หากไม่คิดอะไรมาก หรือ ไม่คิดเปรียบเทียบกับคนกรุง ก็คงจะมีความสุขดี อาจนับเป็นความสุขมากกว่าคนทำงานกินเงินเดือนในเมืองกรุงด้วยซ้ำไป หรือหากคิดเปรียบเทียบอย่างชาญฉลาดก็ยิ่งอาจทำให้มีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก คือคิดเปรียบเทียบว่า เออ..เราไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนคนกรุงนะ

                ดังนี้จะเห็นว่าแม้ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยมากนัก ก็สามารถมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หากมีแนวคิดที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำทาง แนวคิดที่ถูกต้อง (หรือสัมมาทิฐิ) จึงนับว่าสำคัญที่สุดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่หากมีแนวคิดที่ผิด(มิจฉาทิฐิ)เสียแล้ว แม้นอนอยู่บนกองเงินกองทองก็มีความทุกข์มหันต์ได้ ดังมีนิยายเล่าว่า ขอทานคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่หน้าบ้านเศรษฐี แกนั่งขอทานไปก็ผิวปากอย่างมีความสุขไปทั้งวัน อยู่มาวันหนึ่งเศรษฐีเกิดความเมตตาเลยควักกระเป๋าให้เงินไปห้าพันบาท ทำให้ขอทานดีใจมาก แต่ในวันรุ่งขึ้นเศรษฐีเห็นขอทานนั่งซึมไม่ยอมผิวปากเหมือนเดิม ทำให้เศรษฐีนึกสงสัยอยู่ในใจ เพราะเห็นผิวปากได้ทั้งปี พอได้เงินมากน่าจะดีใจกว่านั้นแต่กลับไม่ผิวปาก วันรุ่งขึ้นเศรษฐีก็พบว่าขอทานมาขอเข้าพบ พร้อมกับเอาเงินฟ่อนโตมาคืน โดยบอกว่าผมไม่ขอเก็บไว้หรอกครับ เพราะผมมีความทุกข์มาก กลัวเงินมันจะหายไป เมื่อก่อนบ้านผมไม่มีอะไรไม่ต้องพะวงว่าอะไรจะหาย ตั้งแต่ได้เงินก้อนนี้มาเก็บไว้เกิดความทุกข์มาก เพราะกลัวหาย กลัวโขมย กลัวไฟไหม้ เลยขอนำมาคืนเจ้าของเดิม นิทานนี้สอนให้รู้ว่า มีมากเกินไปก็ทุกข์ได้เหมือนกัน เช่น คนที่รวยที่สุดในโลกก็มีความทุกข์มาก เพราะอย่างน้อยก็คงกลัวคนรวยที่สองในโลกแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ก็เลยเครียดทำงานหนักมากที่สุดเพื่อคงความเป็นหนึ่งไว้ให้ได้ตลอดการ (ไม่เชื่อลองไปถามท่านบิล เกต ดู และนี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมคนที่รวยมากๆแล้วจึงไม่รู้จักพอเสียที)

                หวนกลับมาเรื่องคำนิยามของความสุข ผู้เขียนได้วิเคราะห์ไว้ว่า ความสุขมีด้วยกันสามประเภทคือ สุขกาย สุขใจ(อารมณ์)  และสุขจิต(วิญญาณ) ซึ่งความสุขกายนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่าหมายถึงการมีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคเบียดเบียนทั้งปวง รวมตลอดไปจนถึงการไม่ต้องทำงานหนักเพื่อประกอบกิจกรรมต่างๆ เช่น อาบน้ำ หุงข้าว ทำความสะอาดบ้าน เดินทาง ทั้งนี้เพราะอาศัยเทคโนโลยีช่วยผ่อนแรงนั่นเอง สังเกตได้ว่าเทคโนโลยีส่วนใหญ่มาอำนวยความ”สุขกาย”ในส่วนนี้เป็นอันดับแรก  ส่วนความสุขใจนั้นเกิดได้หลายทาง เช่น การได้อยู่ในแวดวงของคนที่รักที่รู้ใจกัน เช่น คนรัก เพื่อนสนิท พ่อแม่พี่น้อง เครือญาติที่รักสามัคคีกัน เป็นต้น  หรือ การได้อ่านหนังสือดีๆ การได้ฟังเพลง ดูรายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ การได้รับเกียรติคุณต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีก็มีส่วนทำให้เราได้สุขใจมากขึ้นกว่าอดีต เช่น เครื่องอำนวยความสุขต่างๆ โทรทัศน์ วิทยุ เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าความสุขในสองประการแรกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นความสุขอันเนื่องมากจาก “การยึดติด”  เช่นความสุขทางกายอันเนื่องจากการดื่มกินนั้น แต่ละคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน บางคนชอบเผ็ดแต่บางคนชอบจืด บางคนชอบขมแต่บางคนชอบหวาน บางคนชอบเบียร์แต่บางคนชอบเหล้า บางคนชอบบุหรี่แต่บางคนชอบกันชา  บางคนชอบยาบี(บ้า)แต่บางคนชอบยาอี เป็นต้น ที่แต่ละคนมีนิยามของ”ความสุขกาย”แตกต่างกันนี้เป็นเพราะยึดติดกันคนละแนวใครยึดติดอะไรก็ว่าอันนั้นคือความสุข ส่วนความสุขด้านอารมณ์ก็มีลักษณะเดียวกัน หานิยามที่แน่นอนตายตัวอันใดไม่ได้ เช่น บางคนชอบเพลงเบาๆแต่บางคนชอบหนักๆ บางคนชอบอ่านปรัชญาล้ำลึกแต่บางคนชอบอ่านเรื่องบู๊ล้างผลาญ บางคนชอบลูกกรุงแต่บางคนชอบลูกทุ่ง บางคนชอบแต่งกายสีฉูดฉาดแต่บางคนชอบสีขรึมๆ เป็นต้น ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครยึดติดกับรูปแบบใดก็จะทำให้ตนรู้สึกเป็นสุขใจ(อารมณ์) เมื่อได้เสพวัตถุทางอารมณ์ที่ตนยึดติด

                ส่วนความสุขประเภทที่สามนั้นคือความสุขทางจิตหรือวิญญาณนั้น ก็มีอยู่หลายหลักการ เช่นหลักการของศาสนาที่อิงพระเจ้า เช่น คริสต์  อิสลาม ฮินดู และ จูดา(ยิว) และหลักการของศาสนาที่ไม่อิงพระเจ้าเช่น พุทธ และ เต๋า เป็นต้น ในศาสนาที่มีพระเจ้านั้นส่วนใหญ่มีหลักการร่วมกันว่าความสุขคือการได้มีชีวิตนิรันดร์โดยอยู่ร่วมกับพระเจ้าในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ทั้งในเชิงรูปธรรมและหรือนามธรรม ทั้งในปัจจุบันและหรืออนาคต(ในปรโลก)  ส่วนศาสนาที่ไม่อิงพระเจ้านั้นมีหลักการของความสุขทางวิญญาณคือการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม และหวังผลในเวลาปัจจุบันเป็นสำคัญ อาจตีความได้ว่า แม้ในศาสนาที่อิงพระเจ้าก็มีนัยของการไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่มาก เพราะมีความเห็นว่าสรรพสิ่งทั้งปวง(รวมทั้งวิญญาณ)เป็นของที่พระเจ้าประทานให้มา เป็นสมบัติของพระเจ้าทั้งนั้น จึงไม่ควรยึดมั่นและทึกทักว่าเป็นตัวเราและหรือของเรา

                โดยหลักการทางจิตวิญญาณนั้น เมื่อไม่ยึดมั่นในสิ่งใดๆเหมือนกัน นิยามของความสุขทางวิญญาณจึงน่าจะเหมือนกัน คือเป็นความปล่อยวางอย่างใดอย่างหนึ่งในระดับใดระดับหนึ่งที่สอดคล้องกับหลักการของศาสนานั้นๆ และหากเป็นการปล่อยวาง(ไม่ยึดติด)อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้วไซร้ก็คงจินตนาการได้ว่านิยามของความสุขต้องเหมือนกันทุกคนด้วย กล่าวคือ เป็นความสุขที่มีความชัดเจนแน่นอน ไม่รวนเรไปตามความยึดมั่นถือมั่นหรือตามรสนิยมของปัจเจกชน เมื่อเป็นดังนี้จึงน่าจะอนุมานได้ว่าความสุขชนิดนี้เป็นความสุขที่ดีที่สุด และน่าแสวงหาที่สุด  เพราะมีความชัดเจนที่สุด มั่นคงที่สุด และรวนเรน้อยที่สุด

                สำหรับตามแนวทางของศาสนาพุทธนั้นการปล่อยวางอย่างสมบูรณ์ถือเป็นการเข้าถึง”นิพพาน” ซึ่งนิยามกันด้วยภาษาของชาวโลกว่า เป็น”บรมสุข” ดังคำบาลีที่ออกเสียงว่า นิพพานัง ปรมัง สุขขัง (นิพพานคือยอดแห่งความสุข) แต่ผู้น่าเชื่อถือบางท่าน (เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ) ได้เคยกล่าวว่า นั่นเป็นเพียงภาษาพูดของมนุษย์เพื่อให้ดูน่าสนใจใฝ่หา แต่ความจริงแล้ว นิพพานอยู่เหนือความสุขขึ้นไปอีก เพราะการไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นหมายรวมถึงว่าไม่ยึดมั่นอยู่ใน(รสแห่ง)นิพพานด้วย

                สังคมไทยและสังคมโลกโดยรวมควรจะต้องสัมมนากันให้มากว่า ความสุข และ คุณภาพชีวิตที่แท้จริง มีความหมายอย่างไรกันแน่ และมีองค์ประกอบใดแน่ หากยังไม่ถูกต้องเต็มที่และชัดเจนเต็มที่ การเดินทางไปตามเส้นทางเก่าๆเพื่อแสวงหาแคุณภาพชีวิตของมนุษย์ตามที่เชื่อกันหรือถูกทำให้เชื่อกันในปัจจุบันนี้นั้นอาจกลายเป็นเส้นทางที่นำพาสังคมไทยและมวลมนุษย์ทั้งผองในโลกไปสู่วันโลกาวินาศก็เป็นได้ และเมื่อนั้นน้องนุ่งลูกหลานของเรา หรือ แม้แต่ตัวเราเองในชั่วชีวิตนี่ก็อาจจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิต มิใยจะต้องเอ่ยถึงคุณภาพชีวิต


เศรษฐกิจและเทคโนโลยีพอเพียง : กรณีศึกษาชาวอามิช

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 4 July 2011 เวลา 10:35 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1653

เศรษฐกิจและเทคโนโลยีพอเพียง : กรณีศึกษาชาวอามิช (Amish people)

 

หมายเหตุ: ผู้เขียนเคยอาศัยอยู่ที่มลรัฐโอไฮโอ usa เป็นเวลา ๕ ปี ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชุมชนชาวอามิชหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกประทับใจกับวิถีชีวิตของพวกเขามาก จึงได้เขียนบทความนี้ไว้เป็นที่อนุสรณ์ ..เขียนเมื่อปีพศ. ๒๕๔๗

               

วิถีการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า “อามิช” (Amish) ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 2 แสนคน เป็นวิถีชีวิตที่น่าศึกษาและน่าสนใจมาก เพราะกลุ่มชนนี้ไม่ยอมรับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังคงดำเนินชีวิตแบบในยุโรปสมัยก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม คือเดินทางโดยรถม้า ทำไร่ไถนาโดยใช้แรงงานสัตว์ทั้งสิ้น พวกเขาให้เหตุผลโดยหลักการว่าหากใช้เทคโนโลยีมากจะทำให้ “คุณภาพชีวิต” ของพวกเขาตกต่ำลง          

จะเห็นได้ว่าคำว่า “คุณภาพชีวิต” ที่เราคิดว่ารู้จักกันดีนั้น มีคำนิยามที่ไม่เป็นสากล เพราะขึ้นอยู่กับการตีความของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วย ชาวอามิชเห็นว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาคือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบเสงี่ยม ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ทำการเกษตรแบบพอมีพอกิน และดำเนินชีวิตตามประสงค์ของพระเจ้าเพื่อชีวิตนิรันดร์ในปรโลก พวกเขาได้ดำรงชีวิตอย่างนี้มาเป็นเวลาประมาณ 500 ปีแล้ว กฎสังคมโดยทั่วไปของชาวอามิชมีดังนี้

  • - ไม่ใช้กระแสไฟฟ้า (ใช้ตะเกียง)
  • - ไม่ใช้รถยนต์ รถแทรคเตอร์ เครื่องยนต์กลไกทั้งหลาย (ใช้รถม้าและแรงงานสัตว์)
  • - แต่งกายมิดชิด สีเข้ม เรียบง่าย เป็นเครื่องแบบเหมือนกันทุกคน
  • - ไม่ใช้โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ เครื่องอำนวยความสะดวกที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย

 

เหตุผลหลักที่ห้ามใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะเขาเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ  หากใช้มากเท่าใดก็จะทำให้ทำให้เกิดความเสื่อมทั้งต่อตนเองและต่อสังคมดังนี้

  • - ทำให้เกิดความโอ้อวดและความหยิ่งผยอง
  • - ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม
  • - ทำให้สนใจครอบครัวและสังคมน้อยลง (สนใจเทคโนโลยีแทน)
  • - ทำให้จิตใจหยาบกระด้างและโน้มเอียงไปทางรุนแรง (ชาวอามิชเป็นพวกอหิงสาอย่างยิ่ง)
  • - ทำให้ห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้น (ชาวอามิชเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาคริสต์)

 

ทั้งนี้เพราะชาวอามิชถือว่าคุณภาพชีวิตของเขาคือ การอยู่ใกล้ชิดกับสมาชิกครอบครัวและสังคมเพื่อนบ้าน หากใช้เทคโนโลยีมากเกินจำเป็นก็จะทำให้ห่างเหินกันมากเกินจำเป็นด้วย เช่น อาจดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวโดยไม่ติดต่อกับใคร หรือคุยโทรศัพท์นินทาว่าร้ายคนอื่นได้ง่ายเป็นเวลานาน นำความเสื่อมถอยมาสู่สังคมได้ นอกจากนี้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะ พอมีพอกิน ประหยัด สุภาพ เรียบง่าย รักสงบ ตามแนวทางของพระเยซูไครสต์เพื่อเป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ในที่สุด

แต่จริงๆ แล้วชาวอามิชไม่ได้ปฎิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิงพวกเขาจะประชุมเพื่อตกลงร่วมกันว่าเทคโนโลยีใดจำเป็นก็จะรับไว้และรับในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น พวกเขายอมรับให้เก็บนมวัวในถังแสตนเลสที่มีเครื่องกวนไฟฟ้าได้ เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำตามกฎกระทรวงเกษตรเพื่อที่จะได้รับการรับรองว่าสะอาดพอที่จะขายในท้องตลาดได้ การใช้โทรศัพท์ในกรณีจำเป็นเช่น เรียกหมอ ก็ทำได้ การใช้รถยนต์เพื่อไปโรงพยาบาลแบบฉุกเฉินก็กระทำได้

วิธีการและระดับของการยอมรับเทคโนโลยีของชาวอามิชนับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ก่อนอื่นสังคมของเขามีวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างเป็นระบบว่าคุณภาพชีวิตคืออะไร ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายและแม้กระทั่งหลังจากตายแล้ว จากนั้นเขาจะประชุมร่วมกันว่าจะยอมรับเทคโนโลยีใดหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเทคโนโลยีนั้นจะมาช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น หรือมาบั่นทอนให้ลดลง  ในขณะที่สังคมของประเทศไทยเปิดกว้างยอมรับเทคโนโลยีทุกอย่างโดยไม่ค่อยได้วิพากษ์ไตร่ตรองและประชุมหารือกันเลย ส่วนใหญ่ก็มักอ้างกันแต่เพียงว่าหากไม่ยอมรับก็จะทำให้ตามโลกเขาไม่ทัน แต่ไม่แน่ใจนักว่าตามไปที่ไหนและมีจุดหมายอยู่ที่ใด  ส่วนชาวอามิชมีจุดหมายชีวิตที่ชัดเจนว่าต้องการไปอยู่กับพระเจ้า

ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ คุณภาพชีวิตของชาวอามิชนั้น หมายรวมถึงความสุขสามประเภท คือความสุขทางกาย ความสุขทางอารมณ์(พวกอามิชก็ร้องรำทำเพลงด้วย) และความสุขทางจิตวิญญาณ  ในความเห็นของผู้เขียนนับได้ว่าเป็นนิยามที่มีความสมดุลกว่านิยามของคนทั้งหลายในโลก ซึ่งมักเอากันแค่ความสุขทางกายหรืออย่างมากก็เพิ่มทางอารมณ์ด้วยเท่านั้น

  

หมายเหตุ ความเชื่อด้านศาสนาของชาวอามิชแยกตัวออกมาจากกระแสหลักของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกและโปรแตสแตนเมื่อประมาณ คศ. 1500 ทำให้ถูกพวกกระแสหลักเข่นฆ่าอย่างทารุณเป็นจำนวนมาก จนต้องอพยพหนีไปอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ยังถูกตามรังแก จึงต้องอพยพไปอยู่อเมริกาในราวปี คศ. 1850 ปัจจุบันส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในตอนกลางด้านเหนือของอเมริกา ในรัฐโอไฮโอ เพนซิลเวเนีย และอินเดียนา เป็นต้น แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมมากในแต่ละปี แต่ชาวอามิชก็ยังคงวิถีชีวิตแบบพอเพียงได้อย่างคงเส้นคงวาตลอดมา

 

ตัวผู้เขียนเองเมื่อปีคศ. 1995 เคยร้องขอและได้รับอนุญาตให้ไปพำนักกับครอบครัวอามิช ๑ เดือนก่อนเดินทางกลับประเทศไทย แต่ติดภารกิจวุ่นวายเสียก่อน เลยไม่ได้ไป ยังเสียดายโอกาสอยุ่จนวันนี้

 

…คนถางทาง (๒๕๔๗)


พรวันเกิด…แหบปี่เบิดเด่ตู๊ยู

11 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 July 2011 เวลา 9:39 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1890

๒๖ มิย ที่ผ่านไปมีคนส่งข้อความมาระลึกถึงตั้ง 1 แผ่น เท่ากับว่าดีกว่าปีก่อน ถึง infinity เท่า (1 หาร 0 = infinity) ถือเป็นพัฒนาการที่น่าอิจฉา แต่ใน face book มีสัก ๒๐๐ (หน้าม้าทั้งน้าน) นี่ยังไม่ได้ตอบพวกเขาเลย 

นานนับสิบปีมาแล้ว ได้แต่เพลงไว้ โปรโมทไม่ขึ้นสักที วันนี้เลยเอามาระบายไว้ให้เป็นรอยเปื้อนลางๆ  พอดีครบรอบ ไตระเวอรสารี ของลานปัญญา

ขออวยพรให้มีปัญญามากๆ กากน้อยๆ แต่เครื่องเคียงก็หร่อยพอโอละหนอ (ไม่ใช่โอละพ่อ)

 

ช่วยกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดตัวเองหน่อยนะครับ..ทำนองเดียวกันกับ happy birthday to you

สุขเถิดวันเกิดของคุณ
สุขเถิดวันเกิดของคุณ
สุขเลิศล้ำนำพรอันประเสริฐ
แสนบรรเจิดวันเกิดคุณ

 

…คนถางทาง (๓ กค. ๕๔)


๓ กค. ๒๕๕๔ .. วันเลือกล้ม..spiral down the drain

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 July 2011 เวลา 9:04 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1421

รู้ผลกันไปแล้ว สำหรับการ เลือกล้ม เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ  ที่ใครๆก็ออกมาบอกว่าต้องเคารพเสียงข้างมาก

 

สำหรับผู้เขียนไม่ขอเคารพจนเกินการณ์  เพราะเราท่านก็รู้กันอยู่เต็มอกว่ามันมีการซื้อเสียงมากเหลือเกิน  ผู้เขียนเองเคยทำโพลของตนเองมาแล้วจากคนจำนวนประมาณ 600 คน พบว่ามีการซื้อขายเสียง 70% ของผู้มาเลือกตั้งทั้งหมด

 

จะให้เคารพเสียงข้างมากที่ถูกซื้อมาอย่างนั้นหรือ  ไม่เลย เราควรช่วยกันประณาม หรือ กระทั่ง กระทืบด้วยซ้ำไป

 

นั่นว่าเฉพาะซื้อทางตรง แต่ยังมีการซื้อเสียงทางอ้อมอีกมากมาย เช่น สัญญาว่าจะให้ ประชานิยมในรูปแบบต่างๆ  

 

ไม่อยากโทษสส.ที่ซื้อเสียงพวกนี้มากเกินไป ต้องโทษคนเลือกด้วย  เพราะคนเลือกเป็นอย่างไรก็ได้สส.อย่างนั้น  คนเลือกเป็นกาจะให้สส.เป็นหงส์ได้หรือ

 

ถ้าคนเลือกเข้มข้นและเข้มแข็งด้วย คนเลวๆ มันก็คงไม่กล้ามาลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะสมัครไปก็เสียเงินเปล่าและเหนื่อยเปล่า  ตรงกันข้ามถ้าคนเลือกมันเหลวเป๋วแบบนี้คนดีๆที่ไหนเขาจะกล้ามาลงสมัคร เพราะสมัครไปก็เหนื่อยเปล่า พวกเหลวเป๋วมันไม่เลือกให้ฉลาดหรอก

 

ถ้าคุณภาพคนเลือกยังเป็นแบบนี้ ยิ่งเลือกก็ยิ่งล้ม  (ประเทศล้ม)

 

กรณีผู้นำพรรคใหญ่ไม่ยอมโต้วาทีกับผู้นำพรรคอื่นนั้น ถ้าเป็นในประเทศที่ประชาชนเขาเข้มข้นทางการเมือง พรรคการเมืองนั้นจะล่มทันที แต่ของเรากลับได้ลอยหน้าเข้าสภาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

สว.ท่านหนึ่งสารภาพกับผู้เขียนว่าเมื่อก่อนก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดผู้เขียน ที่เสนอให้มีการคัดเลือกผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยการสอบความรู้ทางการเมือง แต่วันนี้ท่านเห็นด้วยแล้วว่าถ้าขืนปล่อยไปแบบนี้ประเทศไทยเราแย่แน่ 

 

ในการสอบความรู้ดังกล่าวนั้น ถ้ากลัว (หรือขี้ขลาด) ว่ามันจะขัดต่ออุดมคติปชต. (วันแมนวันโหวต ตามที่ลอกขี้ปากฝรั่งมา) ก็อาจใช้ระบบว่าทุกคนมีสิทธิพื้นฐานได้ 1 คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าใครไปสอบความรู้การเมืองเพิ่มเติมอาจได้คะแนนเลือกตั้งมากขึ้นเป็น 10 ก็ได้ ถ้าทำคะแนนสอบ 30 ข้อได้ถูกหมด ..แค่นี้เราก็ได้ระบบถ่วงดุลที่น่าจะพอไปได้

 

คนกทม.มีประมาณ 10% ของคนทั้งประเทศ แต่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล 80% ของคนทั้งประเทศ  นี่ถ้านับคนชั้นกลางตามหัวเมืองในเขตหนึ่งของทุกจังหวัดด้วย ตัวเลขน่าจะถึง 95%     นี่มันหมายความว่าอะไร ?

 

น่าจะจัดกลุ่มได้ว่าคนชั้นล่างคือคนที่มีรายได้น้อย จนไม่ถึงระดับที่ต้องเสียภาษี ส่วนใหญ่คนพวกนี้จะอยู่ในอีสาน รองลงไปก็เหนือ  เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนชั้นกลางน่าหมายถึงคนที่เสียภาษีเงินได้จนถึงระดับ 20% (น่าจะมีประมาณ 20% ของคนทั้งประเทศ) ที่เสียภาษีเกิน 20% ถือเป็นคนชั้นบน (น่าจะมีประมาณ 5%)

 

 

คนชั้นกลางนั้นส่วนใหญ่จะเลือกพรรคการเมืองหนึ่ง ส่วนคนชั้นล่างนั้นส่วนใหญ่จะเลือกอีกพรรคการเมืองหนึ่ง และพรรคที่คนชั้นล่างส่วนใหญ่เลือกนั้นก็มักได้จัดตั้งรัฐบาล

 

กลายเป็นว่าพรรคที่ถูกเลือกโดยคนที่เสียภาษีส่วนใหญ่ 95% (ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย)  ไมได้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อไปบริหารงบประมาณนี้ กลับกลายเป็นพรรคที่ซื้อเสียงคนจนส่วยมากที่ได้เข้าไปบริหารเงินที่คนส่วนน้อยหามาให้  จานั้นก็โกงกินตามกระบวนการธุรกิจการเมือง เพื่อเอาเงินที่โกงได้มานี้ ไปซื้อเสียง แล้วกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารงบประมาณประเทศที่ 95% หามาได้จากคน 25% ทีไม่ได้เลือกพวกตน   

 

แล้วเราจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆหรือ

 

เราจะช่วยกันกู้ชาติได้อย่างไรดี หรือว่าปล่อยให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เสียภาษีเงินได้มันเรียนรู้จากความเจ็บปวดเสียบ้างสักระยะเวลาหนึ่ง  พอมันเจ็บมากๆ แล้วมันก็คงได้คิดเองสักวัน

 

ฟังดูดี แต่ผู้เขียนเกรงว่า มันจะล้มแบบไม่ลุกเสียก่อน  แบบว่าล้มหายตายจาก จนสิ้นชาติไปเลย  เพราะไอ้พวกหัวหน้าโจรพวกนี้พอมันยิ่งรวยเท่าไร ชาติก็ยิ่งจนมากเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้มันกุมอำนาจได้มากขึ้น (เพราะมันหากินกับความโง่ของประชาชนที่ยากจนอยู่แล้ว)

 

ดังนั้นระบบนี้มันเป็นระบบที่ “กินตัวเอง” จนเลือนหายไปในที่สุด  สำนวนภาษาฝรั่งเขาเรียกกันว่า spiral down the drain (ควงสว่านไหลลงท่อน้ำทิ้ง)

 

 

ถ้ามีการสอบดังที่เสนอ เชื่อว่าคนที่ขายเสียง (เสียงชั้นเลว) อาจได้เสียงเพิ่มขึ้นจากการเดาข้อสอบมั่วๆ 30 ข้อ ทำให้ได้เพิ่มจาก 1 เป็น 3 โดยเฉลี่ย แต่คนชั้นกลางจะมีคะแนนประมาณ 8  เพราะคนพวกนี้มีความรู้ทางการเมืองมากกว่า  คะแนนของคนพวกนี้เป็นคะแนนที่มีคุณภาพ ที่ไม่อาจซื้อขายได้ ดังนั้นคะแนนที่เพิ่มมากขึ้นนี้ก็จะสามารถถ่วงดุลกับคะแนนที่ถูกซื้อมาของคนชั้นล่างได้ทีเดียว

 

ถ้าทำแบบนี้พรรคที่ซื้อเสียง จะได้สส.น้อยลง จนอาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล  การลงทุนไปก็สูญเปล่า  ต่อไปจะเข็ด  ไม่ซื้อเสียง แต่หันมาพัฒนาคุณภาพการเมืองเพื่อจะได้คะแนนสูงขึ้น การเมืองของเราก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ

 

แล้วความดีขึ้นนี้มันก็จะล้นไหลไปสู่คนชั้นล่างโดยปริยาย ..จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ทำให้ประเทศไทยล้ม

…คนถางทาง

ปล. บทความนี้น่าจะลง ผจก. ออนไลน์ ๔ กค. ๕๔ (วันชาติมะกันซะด้วย ชาติต้นแบบ ปชต. ที่เราลอกเขามาใช้แบบเชื่องๆ )


เคียวยนต์

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 July 2011 เวลา 7:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1776

 

 

เอาควายคะนองศึกตัวนี้ไปช่วย ชาวนาจะมีรายได้เพิ่มปีละ 30000 ล้าน

 

โพสต์เรื่องโครงงานวิศวะไปหยกๆ คิดว่ามันตกไปบางเรื่อง บัดนี้เพิ่งคิดออก คือไอ้เครื่องหัวเรื่องนี่แหละ

 

คือเอาเครื่องตัดหญ้าแบบมือถือมาโม ให้หมุนช้าลงจาก 3000 รอบต่อนาทีเหลือ 100 รอบ แล้วเอามาหมุนซี่ฟันรวบคอรวงเข้ามาปั่นให้เมล็ดข้าวตกลงไปในกระบวย จากนั้นพัดลม (ทำจากใบพัดเครื่องบินเล็ก)  จะดูดเมล็ดข้าวพ่นผ่านท่อเข้าไปเก็บในกระเป๋าสะพายหลัง พร้อมพ่นเศษฟางออก ทำเหมือนรถคอมไบน์เลย  เป็นโครงการที่มันมากๆ

 

ถ้าออกมาดี คงได้ทันเอาไปเกี่ยวนาข้าวแม่ใหญ่ ที่คงสุกทันกัน ..เรียกว่าครบวงจรเลย นาหยอดหล่นเกี่ยวด้วยเคียวยนต์

 

เด็กนศ.กลุ่มนี้มี 4  คน เอางานเอาการดี เป็นลูกชาวนาทุกคน ผมเลยปลุกระดมว่า ต้องช่วยกันทำให้ดีนะ ทดแทนคุณพ่อแม่  มีลูกศิษย์เป็นเด็กบ้านนอกนี่ดีไปอย่าง มันอึดดี โขกสับไปเถอะ ยิ้มรับ กราบเราเสียอีก ไปโขกเด็กกรุงเตปแบบนี้มันตื้บเอาแหงๆ

 

ค่าเกี่ยวข้าวด้วยรถเกี่ยววันนี้ตกไร่ละ 500 บาท ในขณะที่ชาวนามีกำไรสุทธิประมาณ 2000 บาท หักออกเสีย 500 ก็เหลือ 1500 ลดไป 25% แถมรถพวกนี้เกี่ยวขณะมีความชื้นสูงมากประมาณ 30% เอาไปขายก็ถูกหักค่าความชื้นจากโรงสีอีก 30% …แล้วมันจะเหลืออะไร ก็ต้องขายเสียงกินกันตายไปตามยถากรรมนั่นแล

 

….คนถางทาง (๒ กค. ๕๔)


โครงงานวิศวกรรมป.ตรี..ฝึกมือและสมอง

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 2 July 2011 เวลา 1:55 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1492

ท่านใดมีหัวข้อดีๆช่วยนำเสนอด้วยครับ

แต่สำหรับภาคการศึกษานี้ผมมีหัวข้อแจกให้นศ.ดังนี้

 

-เครื่องปิ้งไก่เป็นตัวในแนวตั้งแบบประหยัดพลังงานและแรงงานในการปิ้ง

-เครื่องนึ่งปลาทูประหยัดพลังงานและเวลา (นึ่งนะไม่ใช่ต้มด้วยน้ำขุ่นคลั่กสกป.แบบเดิม) …อ้าวเรื่องนี้เล่าไปแล้ว

-บรรจุภัณฑ์จากกาบกล้วย (ทำร่วมกับอจ.วิศวะพอละเมอ เอ๊ย พอลิเมอร์ ) …สนุกมาก ธุรกิจแสนล้านรออยู่ ช่วยโลกได้อีกล้านๆ คนไทยได้อีก ล้านล้านล้าน แต่นักเลือกตั้งมันไม่สนหรอก เอาเงินไปให้นักวิจัยหรอกแดกทำบ้าอะไรกันอยู่นั่นแหละ …เรากำลังจะทำให้กาบต้นกล้วย จากทิ่ปล่อยทิ้งเน่าในสวน หรืออย่างมากก็เอามาหั่นให้หมูกินนั้น สามารถเพิ่มมูลค่าได้อีก 20 เท่า และช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย

-เครื่องขุดมันสำปะหลังปสภ.สูงและประหยัดพลังงาน (ปสภ สูงหมายถึงหัวมันแตกหัก ตกค้างในดินน้อยกว่าเดิม  ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และเสียเงินค่าพลังงานน้อยลง)

-เครื่องเติมอากาศปสภ.สูงและประหยัดพลังงาน ..นศ. จาก สาขา aerodynamic เลยเอาน้ำกับอากาศมาปนกัน ให้เขาทำเครื่องหมุนที่มีแรงฉุดต่ำมาก (ดังนั้นแรงมอเตอร์ก็ต่ำด้วยทำให้ประหยัดค่าไฟมอเตอร์) ส่วนการเท ก็ให้มีตะแกรงเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มพท.ผิวสัมผัส เพื่อให้ O2 ซึมเข้าไปให้มากที่สุด

 

เอ๊ ทำไมโครงการมันน้อยจังผิดสังเกต หรือว่าลืม น่าจะมีมากกว่านี้  แต่เอาเถอะภาคนี้นศ.ส่วนใหญ่ออกสหกิจศึกษา (ภาษาแขก ภาษาไทยคือ ฝึกงาน แต่ไม่ยอมใช้ กลัวหาว่าเชย)  ภาคหน้ากลับมาก็คง “ปกติ” ที่ผมจะต้องมีโครงงาน 20 ขึ้น (ส่วนใหญ่อจ.ท่านอื่นๆ จะมี 0-2 โครง)

เวลามีกลุ่มนศ.มาหา ผมจะสัมภาษณ์ว่ารักอะไร ชอบอะไร  ดูหน้า ดูเกรด แล้วให้โครงการแบบสมดุล ที่ว่ามาข้างบนเป็นโครงการแรงงานเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้ามีนศ. เกียรติยมเข้ามา ผมมักให้โครงการเชิงทฤษฎี กระดาษแผ่นเดียวกะดินสอ ก็ทำได้แล้ว  หรือโครงการจำลองในคอมพ์ ..ไม่น่าเชื่อว่าบางกลุ่มมันผลิตงานแบบว่าตีพิมพ์ได้เลย ใช้เวลาแค่สามเดือน ในขณะที่เรียนวิชาอื่นๆด้วย ในขณะที่นศ. ปเอกบางคน ทำมา 10 ปียังไม่มีอะไรก้าวหน้า ทั้งที่ก็เรื่องเดียวกัน  (เอานศ.มาธานินทร์ให้ฟังกลางบอร์ดนะเนี่ย …ได้ข่างว่าบางคนก็มาอ่านบอร์ดนี้ด้วย..เออ ก็ดีไปอย่างจะได้รู้ว่า ครูแกเป็นห่วงนะ)

 

ส่วนป.โท ตอนนี้ ผมมีสี่  เท่านั้นเอง ป.เอก ตอนนี้มี 8  ส่วนโครงการตัวเองที่ทำเองมีประมาณ 100 เห็นจะได้

 

มีงานทำดีกว่าตกงาน หิหิ  ..ยังสุข สนุกกะงาน อยู่มากๆ …หมดจากนี้ไปตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะไปเป็นฤาษี  คงสนุกดี  ทำวิจัยเรื่อง อิทธิพลของความโง่สะสมต่ออดีต

 

…คนถากทาง (วันก่อนคืนหมาหอน ๕๔)


คนฉลาดทำอาชีพอะไรดี…เมื่อผมเถียงกับองค์กรวัดไอคิว

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 July 2011 เวลา 10:34 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2781

เรื่องนี้ยาวและยกหางตนบ้าง.ถ้าใครอ่านจบโดยไม่อ้วก แสดงว่าใกล้โซดาเข้าไปแล้ว…..

อาชีพที่เหมาะสำหรับคน ไอคิวสูงตามที่ผมได้รับการบอกเล่าคือ

  

Great Jobs For You

Because of the way you process information, these are just some of the many careers in which you could excel:

  • * Archaeologist
  • * Detective
  • * Psychologist
  • * Sculptor
  • * Architect
  • * City planner
  • * Chief executive

 

อ้าว ไม่เห็นมี หมอ วิดวะ เสนาธิการทหาร (หัวหมอ หัวเสธ)

 

ที่ผมทราบข้อมูลนี้มันมีประวัติเล็กน้อย คือ

 

ประมาณ พศ. ๒๕๕๐ ในขณะที่ผมนั่งพิมพ์อะไรเล่น ผมคงกด ctrl Alt F%#* อะไรมั่วไป  จู่ๆก็มีข้อความบุกรุกเข้ามาหน้าจอ กระพริบแว็บๆ เชื้อเชิญให้ผมไปทดสอบ IQ

  

เอ้าไปก็ไปวะ ลองดูทีว่ากรูง่าวกว่าฝรั่งปานใด สอบเป็นภาษาโคตรแมร่งนี่แหละ

  

ข้อสอบมี 40 ข้อ แบ่งเป็น สี่หมวด คือ คณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์(อังกฤษ) และอะไรอีกอันไม่รู้ประมาณว่าการเชื่อมโยงรูปภาพกับสัญลักษณ์

  

เว็บไซต์แห่งนี้ชื่อ Tickle โฆษณาว่าดีที่สุดในโลก น่าเชื่อถือที่สุด บริหารโดย Dr. ที่จบมาทางการวัด IQ โดยตรง มีคนเข้ามาสอบวัดแล้วนับ 100 ล้านคนทั่วโลก ค่าเฉลี่ยคือได้ 110

  

ผมขอร้องว่าอย่าเข้าไปสอบเด็ดขาด อาจทำให้เสียความมั่นใจในตนเองโดยเปล่าประโยชน์ เพราะข้อสอบเป็นภาษาประกิดที่ยอกย้อน ท่านจะตกอังกฤษมากเสียกว่าตกไอคิว อีกอย่างคำถามพวกนี้มัน Culturally biased ทั้งน้าน ถ้ามันถามเรื่องการทำนา ล่าแย้ แหย่รังมดแดงบ้างสิ รับรองว่าชาวนาไทยเราไปโลดกว่าฝรั่งแน่ๆ

  

ผลการสอบคือ ผมทำผิดไปสองข้อ (อธิบายภายหลัง) แม้กระนั้น ก็ได้สะกอตั้ง 140 ถือว่าสูงในระดับสุดของโลกเจียวนะ (อะแฮ่ม)  ตามสถิติของเขา

  

ผมได้เต็มสิบในหมวดภาษา (อังกฤษ)  คณิต  แต่ผิดหนึ่งข้อหมวดตรรกะ และอีกข้อหมวดเชื่อมโยงรูปภาพกะสัญลักษณ์

  

นี่คือสิ่งอีเมล์ที่ผมได้รับภายหลังการสอบ…..

  

  

The Classic IQ Test

What’s Your IQ?

 

 

Congratulations, Tawit!
Your IQ score is 140

 

Your Intellectual Type is Visionary Philosopher. This means you are highly intelligent and have a powerful mix of skills and insight that can be applied in a variety of different ways. Like Plato, your exceptional math and verbal skills make you very adept at explaining things to others - and at anticipating and predicting patterns. And that’s just some of what we know about you from your IQ results. Read more…

Find out more in your personalized 15-page IQ Report. It’s ready right now!

 

โห..ลำพองใจ..นี่เราฉลาดขนาดเพลโต และ สปิโนซา เจียวหรือ แต่พอกดปุ่มโลดตามไป….ดู่ดู๋ดูดูมันระยำ มาหลอกเอาเงินกับคนฉลาดอย่างเราได้  ต้องจ่ายเงินประมาณ 20ดอลกว่าจะได้อ่านการวิเคราะห์ อ้อ..มันหาเงินวิธีนี้เอง

 

เดาว่ามันคงให้ 140 กะทุกคนเพื่อขายผลการวิเคราะห์แหงๆ  เลยนิ่งเฉยเสีย เพราะเสียค่าโง่เวลาไปทำสอบไร้สาระไปแล้ว 

 

แต่สองวันต่อมาก็ได้รับการวิเคราะห์ 15 หน้าดังว่าฟรี ส่งมาทางเมล์ “เป็นกรณีพิเศษ”  มันอ้างว่าเราเป็นคนพิเศษ เลยให้ฟรี (ธ่อ..แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกฟะ หรือว่ามีอะไรแอบแฝงอีกแล้ว)

 

การวิเคราะห์ที่เขาส่งมาให้ฟรีนี้ ส่วนหนึ่งได้ตัดเอาไปให้อ่านกันในย่อหน้าแรกแล้ว คือ อาชีพอะไรที่เหมาะกับคนระดับนี้…โห ..นักสืบ ..แต่เออก็จริงของมันว่ะ ..สถาปนิกก็ใช่เลย ….แต่นักแกะสลักนี่สิ คิดตามไม่ทันจริงๆ นี่มันทักษะด้านมือนะ จริงอยู่การคิดก็สำคัญด้วย ความจริงควรบอกว่า นักวิจารณ์การแกะสลักเสียมากกว่า วิจารณ์ได้ว่าหางม้ามันสะบัดลมไม่สมจริง แต่จะให้คนมือบอนอย่างเราไปแกะคงทำไม่ได้แน่นอน

 

วันนี้ (พศ. ๒๕๕๔) ผมมานั่งคิดว่า เอ..หรือมันมีอะไรเชื่อมโยงกับการสอบนี้  จู่สองปีที่ผ่านมานี้ โดยที่ผมไม่ไดทำอะไร จี๋จ๋ากะใคร มีองค์กรดังฝรั่งมาใส่ชื่อผมในรายการ ไผเป็นไผในโลกนี้ (Who’s who in the world ..โดย Marquis) จากนั้น ก็ โดย IBC ยกให้เป็น Top 100 Professionals 2011 ต่อมาก็ IBC อีก ทียกให้เป็น 2000 Outstanding Intellectuals of the 21st Century ….เขินจริงเลยเรา มันเอามายกเมฆได้ไง สืบไปรู้ว่ามันให้เสนอชื่อ แล้วให้ กก. คัดเลือกตามผลงาน สงสัยเพื่อนๆนักวิจัยในต่างแดนคงเสนอเราไป เพราะเห็นว่ามันเพี้ยนดี

 

ฝรั่งมันเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะแม้คนไทยด้วยกันมันยังด่าเราว่าเง่าว่างี่กันทั้งประเทศ ทั้งที่เรามีผลงานไปเสนอมากหลาย บทความวิจัยนับร้อยเรื่อง แต่ไม่มีใครเห็นว่าเราดี เก่ง แบบฝรั่งบ้างเลยหวา ตาหลกแตกจริงๆ

 

การสอบ 40 ข้อ ผมทำผิด 2 ข้อ ข้อหนึ่งนั้นผมยอมรับว่ามั่วไป เพราะมันเป็นรูปใหญ่ล้นหน้าจอ ยุ่งเหยิงมาก ให้เราวิเคราะห์ ผมย่อรูปลงมาก็ไม่ได้ ต้องเลื่อนไปเลื่อนมานับสิบครั้ง เหนื่อยและโกรธ  สุดท้ายเลยเดาแบบเสี่ยงดวง ประกอบกับกลัวว่ามันจะหมดเวลา (คนออกข้อสอบมันโง่ น่าจะบอกด้วยว่ามีกำหนดเวลาหรือไม่ ทำให้เราพะวง จน IQ ต่ำลงกว่าเป็นจริง  และคิดว่ามันคงต้องมีแน่ๆ) ก็เลยล่กๆ กดมั่วไป

 

อีกข้อที่ทำผิด แต่ผมว่าผมถูกนะ แต่มันเฉลยผิด เลยเขียนไปต่อว่ามัน ดังข้างล่างนี้ (จนบัดนี้ยังไม่ได้รับตอบ)

 

 Dear Tickle Executives;

 

I had scored 140 on your test. Thanks for having evaluated my intelligence to be as high as Plato and Spinoza. Please allow me to argue and suggest some points on your IQ test. I did 2 wrongs out of your 40 questions. Here’s one:

 

 

If some Wicks are Slicks, and some Slicks are Snicks, then some Wicks are definitely Snicks. The statement is:

 

True
False
Neither

 

You mark “False” on this but I marked “True” and your explanation is:

 

Because the same Slicks that are also Wicks may not be the same Slicks that are also Snicks, we can draw no firm conclusions from the information given that there is a direct relationship between Snicks and Wicks. It is possible that some Wicks may also be Snicks, but you cannot correctly make the statement “some Wicks are definitely Snicks.” Therefore, answer option “B,” or False, is the right answer.

 

I would like to argue that your solution on this is only half wrong (=half right), depending on the original perspective of the questioner (which is obviously limited). Please consider the following statement:

 

If some Americans are IQ testers and some IQ testers are stupid, then some Americans are definitely stupid.

 

The answer is obviously “true” (my answer); the reason being that a subset of a subset of a set is “definitely” a member of the original set.

 

Your answer would be correct if you add the word “probably” after all “are’s”. Or your solution is only probably correct if  Wick and Slick are originally of different set. Consider this statement:

 

If some Americans are Thais, and if some Thais are stupid, then some Americans are definitely stupid. This is mostly (and not definitely) false (as in your solution)

 

The moral of this argument is that IQ score of a testee is probably (and/or possibly) dependent upon the IQ scores of the IQ test developers.

 

Just for your information, another problem that I incorrectly answered was ill-posed, pictorially; for the entire picture was not on the same frame. I had to flip back and forth to find clues for a very complicated picture. Finally I quit, and you should know that most smart people have low tolerance.

 

Another suggestion is that you should tell up front that there is a time limit in the test or not. While performing the test, I figured there was one but you intentionally left it out for you want the testees to figure it out by themselves according to their IQ level. But this should make the testees  unnecessaliry nervous which  could degrade their ability to think, hence the inaccuracy of your test.

 

Anyway, thanks for praising me to be as high as Plato and Spinoza. Too bad, these two cannot enjoy your internet IQ test :-)

 

Tawit Chitsomboon

Full Thai by a red heart;

Semi-American by a green-card.

 

 

 


สุคติของแม่หมอ

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 July 2011 เวลา 7:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1307

หมอบุญช่วย เธอเป็นพยาบาลผดุงครรภ์ แต่ทุกคนในอำเภอวัฒนานคร จ.ปราจีนบุรี สมัยโน้นก็เรียกขานเธอว่า หมอบุญช่วย บ้านคุณตาผมอยู่ตรงข้ามกับบ้านหมอ เธอเรียกตาผมว่า “คุณน้า” ต้องมีคุณนำหน้าด้วยนะ เพราะตาผมก็พอมียศถา …เคยเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก รุ่นเดียวกะจอมพลผิน ชุณหวัณ แต่ป่วยเป็นโรคอะไรไม่ทราบ (สงสัยโรคเรื้อน) ต้องเอามารักษาที่บ้านนอก ๑ ปีด้วยการฝังทรายไว้ริมแม่น้ำ แล้วให้คนเอาข้าวไปหยอดป้อน พอรักษาหาย กลับเข้าไปเรียน เขาปลดชื่อออกแล้ว เลยต้องกลับมาทำนาที่บ้านเกิด หอบเอายายมาด้วย ยายเป็นต้นเครื่องโรงละครที่วังบูรพา เป็นขอมจากลโวทยฺปุระ ผิวขำตาคม

ประดาลูกๆของตา มีแม่ผมเป็นอาทิ ต่างเรียกหมอบุญช่วยว่า “พี่ช่วย” บ้านเราสนิทกันมาก ตาผมเองก็เป็นหมอสมุนไพรด้วย ก็ยิ่งสนิทกับหมอบุญช่วย ตารักษาเก่งมากทีเดียว ครั้งหนึ่งผมอายุ 8 ขวบ ป่วยเป็นโรคบิด อาการปางตาย ตาเอากระดูกงูเหลือมฝนรากหญ้านางแดงผสมน้ำให้กิน อาการหายเป็นปลิดทิ้ง (เด็ก 8 ขวบคนนั้นมันคงมีนิสัยสอดรู้มานาน ขนาดนอนซม ตามาฝนยา ยังถามตัวยาว่าคืออะไร)

 

แม่เล่าว่าลูกแม่ 6 คน นั้น 4 คนคลอดด้วยมือหมอบุญช่วยทั้งสิ้น รวมทั้งผมด้วย ลูกคนแรกนั้นลำตัวขวาง ออกไม่ได้ คงต้องตายทั้งแม่และลูก แต่หมอบุญช่วยมีเทคนิคพิเศษ เอามือล้วงๆ กดๆ ควักหัวออกมาจนได้ รอดทั้งแม่และลูกจนบัดนี้ จนวันนี้เด็กบ้านนอกที่รอดตายราวปาฏิหารย์นี้กลายมาเป็นรองผจก.ใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เงินเดือนหลายแสน

 

แต่หมอบุญช่วยนั้น ก่อนท่านเสียลงเมื่ออายุ 90 พอดี ท่านไม่มีอะไรเลย เพราะในขณะเป็นหมอนั้นท่านเป็นหมอใจบุญ ใครไม่มีเงินจ่ายท่านก็คลอดให้ฟรี แม่ผมตกระกำในช่วงนั้นยากจนเข็ญใจก็คลอดฟรี งานศพท่านนี้ผมเลยทำบุญไป 1 หมื่นบาท เพื่อใช้หนี้แทนแม่ นึกว่าจะได้จัดอันดับเป็นที่หนึ่ง เปล่า ที่หนึ่งให้ 5 หมื่นบาท เพราะก็ถูกคลอดมากะมือท่าน ขณะนี้เป็นมารดาของสส. สองคน และเป็นพี่สาวที่แสนรักของผมด้วย (แต่ตอนนี้การเมืองอยู่คนละขั้ว)  ทีสองก็เปล่า เป็นของพี่ชายเราเอง  เงินไม่ได้วัดระดับความรักหรือกตัญญู แต่ในยามนี้ลูกเต้าท่านก็ไม่มีเงินทองมากนัก ก็ช่วยกันไปตามมีตามเกิด

 

คุยกะลูกๆของหมอบุญช่วย ซึ่งก็นับถือกันเป็นพี่น้องทั้งหมด ได้ความว่าหมอท่านคลอดเด็กมาเป็นหมื่น ไม่มีตายสักคน ซึ่งผมว่าน่าจัดเป็นสถิติโลกได้เลย เสียดายไม่มีใครสนใจไปเรียนรู้วิชชาคลอดเด็กกะท่านไว้ วันนี้ผมว่าแม้มีเทคโนฯขั้นสูง สถิติไม่รู้แต่เดาว่าไม่น่าตายน้อยกว่า 5 จากหมื่นคน

ผมไปเยี่ยมไข้หมอฯ ท่านไม่รู้สึกตัวแล้ว ไม่น่าเชื่อไม่มีใครไปเยี่ยมเลยนอกจากญาติๆสนิทไม่กี่คน  เหมือนคนไข้อนาถา แม่ผมทำอาหารมาส่งคนเฝ้าไข้อยู่หลายวัน  ผมไปสอนพยาบาลที่ดูแลท่านว่า ให้ดูท่านดีเพราะนี่คือแม่พระ ดูให้ดีแล้วจะได้บุญอักโข ก่อนจากท่านมาผมกราบที่เท้าท่านอำลาเป็นครั้งสุดท้าย

 

ท่านจากไปแล้ว ลูกๆท่านขอให้ผมช่วยแต่งกลอนหน้าศพให้แม่ด้วย ผมก็เลยแต่งไป น้ำตาพรากไป ก็ได้ออกมาดังข้างล่างนี้แหละ

หมอแม่พระบุญช่วย

 

หมอบุญช่วย  ช่วยหนุน  จุนค้ำโลก

ด้วยมือสอง ที่โชก  น้ำคร่ำหมอง

ดึงเด็กรอด คลอดมา จนช่ำชอง

มือทั้งสอง ของท่าน  ครรภ์ผดุง

 

ดึกดื่นคืนค่ำย่ำรุ่ง               หมอหมายมั่นมุ่ง

ลัดทุ่งเลาะนาป่าดง

 

ช่วยแม่และเด็กให้คง       ชีพอยู่ดำรง

ยืนยงไร้โรคราคี

 

เงินทองขัดสนบ่มี               หมอไม่หน่ายหนี

คลอดฟรีไม่มีรีรอ

 

หลายสิบขวบปีไม่ท้อ         ทำหน้าที่หมอ

เกิดก่อหน่อเนื้อชีวี

 

บุญ      ทำมาเนิ่นช้า   นานปี

ช่วย      แม่ให้เด็กมี    กำเนิด

สู่          โลกได้ดิบดี    มีสุข จมแฮ

สววรค์ มีตาจะเปิด      รับหมอ แม่พระฯ  

 

         ประพันธ์โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทวิช จิตรสมบูรณ์

          ตัวแทนลูกๆนับหมื่นคนที่มีบุญได้รับการสัมผัส

          จากมือของหมอแม่พระบุญช่วย เป็นคนแรกในโลก



Main: 0.33293008804321 sec
Sidebar: 0.011762857437134 sec