สุคติของแม่หมอ
หมอบุญช่วย เธอเป็นพยาบาลผดุงครรภ์ แต่ทุกคนในอำเภอวัฒนานคร จ.ปราจีนบุรี สมัยโน้นก็เรียกขานเธอว่า หมอบุญช่วย บ้านคุณตาผมอยู่ตรงข้ามกับบ้านหมอ เธอเรียกตาผมว่า “คุณน้า” ต้องมีคุณนำหน้าด้วยนะ เพราะตาผมก็พอมียศถา …เคยเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก รุ่นเดียวกะจอมพลผิน ชุณหวัณ แต่ป่วยเป็นโรคอะไรไม่ทราบ (สงสัยโรคเรื้อน) ต้องเอามารักษาที่บ้านนอก ๑ ปีด้วยการฝังทรายไว้ริมแม่น้ำ แล้วให้คนเอาข้าวไปหยอดป้อน พอรักษาหาย กลับเข้าไปเรียน เขาปลดชื่อออกแล้ว เลยต้องกลับมาทำนาที่บ้านเกิด หอบเอายายมาด้วย ยายเป็นต้นเครื่องโรงละครที่วังบูรพา เป็นขอมจากลโวทยฺปุระ ผิวขำตาคม
ประดาลูกๆของตา มีแม่ผมเป็นอาทิ ต่างเรียกหมอบุญช่วยว่า “พี่ช่วย” บ้านเราสนิทกันมาก ตาผมเองก็เป็นหมอสมุนไพรด้วย ก็ยิ่งสนิทกับหมอบุญช่วย ตารักษาเก่งมากทีเดียว ครั้งหนึ่งผมอายุ 8 ขวบ ป่วยเป็นโรคบิด อาการปางตาย ตาเอากระดูกงูเหลือมฝนรากหญ้านางแดงผสมน้ำให้กิน อาการหายเป็นปลิดทิ้ง (เด็ก 8 ขวบคนนั้นมันคงมีนิสัยสอดรู้มานาน ขนาดนอนซม ตามาฝนยา ยังถามตัวยาว่าคืออะไร)
แม่เล่าว่าลูกแม่ 6 คน นั้น 4 คนคลอดด้วยมือหมอบุญช่วยทั้งสิ้น รวมทั้งผมด้วย ลูกคนแรกนั้นลำตัวขวาง ออกไม่ได้ คงต้องตายทั้งแม่และลูก แต่หมอบุญช่วยมีเทคนิคพิเศษ เอามือล้วงๆ กดๆ ควักหัวออกมาจนได้ รอดทั้งแม่และลูกจนบัดนี้ จนวันนี้เด็กบ้านนอกที่รอดตายราวปาฏิหารย์นี้กลายมาเป็นรองผจก.ใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ เงินเดือนหลายแสน
แต่หมอบุญช่วยนั้น ก่อนท่านเสียลงเมื่ออายุ 90 พอดี ท่านไม่มีอะไรเลย เพราะในขณะเป็นหมอนั้นท่านเป็นหมอใจบุญ ใครไม่มีเงินจ่ายท่านก็คลอดให้ฟรี แม่ผมตกระกำในช่วงนั้นยากจนเข็ญใจก็คลอดฟรี งานศพท่านนี้ผมเลยทำบุญไป 1 หมื่นบาท เพื่อใช้หนี้แทนแม่ นึกว่าจะได้จัดอันดับเป็นที่หนึ่ง เปล่า ที่หนึ่งให้ 5 หมื่นบาท เพราะก็ถูกคลอดมากะมือท่าน ขณะนี้เป็นมารดาของสส. สองคน และเป็นพี่สาวที่แสนรักของผมด้วย (แต่ตอนนี้การเมืองอยู่คนละขั้ว) ทีสองก็เปล่า เป็นของพี่ชายเราเอง เงินไม่ได้วัดระดับความรักหรือกตัญญู แต่ในยามนี้ลูกเต้าท่านก็ไม่มีเงินทองมากนัก ก็ช่วยกันไปตามมีตามเกิด
คุยกะลูกๆของหมอบุญช่วย ซึ่งก็นับถือกันเป็นพี่น้องทั้งหมด ได้ความว่าหมอท่านคลอดเด็กมาเป็นหมื่น ไม่มีตายสักคน ซึ่งผมว่าน่าจัดเป็นสถิติโลกได้เลย เสียดายไม่มีใครสนใจไปเรียนรู้วิชชาคลอดเด็กกะท่านไว้ วันนี้ผมว่าแม้มีเทคโนฯขั้นสูง สถิติไม่รู้แต่เดาว่าไม่น่าตายน้อยกว่า 5 จากหมื่นคน
ผมไปเยี่ยมไข้หมอฯ ท่านไม่รู้สึกตัวแล้ว ไม่น่าเชื่อไม่มีใครไปเยี่ยมเลยนอกจากญาติๆสนิทไม่กี่คน เหมือนคนไข้อนาถา แม่ผมทำอาหารมาส่งคนเฝ้าไข้อยู่หลายวัน ผมไปสอนพยาบาลที่ดูแลท่านว่า ให้ดูท่านดีเพราะนี่คือแม่พระ ดูให้ดีแล้วจะได้บุญอักโข ก่อนจากท่านมาผมกราบที่เท้าท่านอำลาเป็นครั้งสุดท้าย
ท่านจากไปแล้ว ลูกๆท่านขอให้ผมช่วยแต่งกลอนหน้าศพให้แม่ด้วย ผมก็เลยแต่งไป น้ำตาพรากไป ก็ได้ออกมาดังข้างล่างนี้แหละ
หมอแม่พระบุญช่วย
หมอบุญช่วย ช่วยหนุน จุนค้ำโลก
ด้วยมือสอง ที่โชก น้ำคร่ำหมอง
ดึงเด็กรอด คลอดมา จนช่ำชอง
มือทั้งสอง ของท่าน ครรภ์ผดุง
ดึกดื่นคืนค่ำย่ำรุ่ง หมอหมายมั่นมุ่ง
ลัดทุ่งเลาะนาป่าดง
ช่วยแม่และเด็กให้คง ชีพอยู่ดำรง
ยืนยงไร้โรคราคี
เงินทองขัดสนบ่มี หมอไม่หน่ายหนี
คลอดฟรีไม่มีรีรอ
หลายสิบขวบปีไม่ท้อ ทำหน้าที่หมอ
เกิดก่อหน่อเนื้อชีวี
บุญ ทำมาเนิ่นช้า นานปี
ช่วย แม่ให้เด็กมี กำเนิด
สู่ โลกได้ดิบดี มีสุข จมแฮ
สววรค์ มีตาจะเปิด รับหมอ แม่พระฯ
ประพันธ์โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ทวิช จิตรสมบูรณ์
ตัวแทนลูกๆนับหมื่นคนที่มีบุญได้รับการสัมผัส
จากมือของหมอแม่พระบุญช่วย เป็นคนแรกในโลก
« « Prev : ปลาทูนึ่งและไก่ปิ้ง
Next : คนฉลาดทำอาชีพอะไรดี…เมื่อผมเถียงกับองค์กรวัดไอคิว » »
4 ความคิดเห็น
อ่านแล้วสลดใจ ผู้สูงวัยคือบุคคลที่สร้า้งบ้านสร้างเมือง สร้างความเจริญทุกๆด้าน รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเรามีทุกวันนี้ พอท่านแก่เฒ่าหมดกำลังวังชา หาได้ตอบแทนบุญคุณท่านเลย ทำไมคนดีๆ ต้องมีชีวิตบั้นปลายเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ตอบแทนบุญท่านตอนที่มีชีวิตอยู่ รัฐควรมีนโยบาย ดูแลผู้สูงอายุที่ยากไร้ ในช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต เป็นการตอบแทนบุญคุณผู้สูงอายุของประเทศ
เห็นด้วยครับพี่อาม่า คนยิ่งแก่ยิ่งมีปัญญา แต่รัฐบาลไม่กล้าหันมามอง เพราะว่ามีคะแนนโหวต 1 คะแนนเท่ากับไอ้พวกหมาๆ ที่หาซื้อเสียงได้ ส่วนพวกคนแก่ท่านมีปัญญาสั่งสมมานาน ซื้อเสียงก็ไม่ได้ เรื่องอะไรพวกแมร่งจะมาเอาใจให้ยาก
ไอ้นักเลือกตั้งพวกนี้ ต้องวิสัญญีลูกเดียว
ขอบคุณผู้บันทึกนี้ครับ สท้อนให้เห็นคุณค่าของคนในอดีต รากเหง้าของการอยู่ร่วมกัน ผมก็ได้หมอตำแยเป็นคนทำคลอดแม่
เห็นวิถีชีวิตของคนสมัยก่อน และความกตัญญูที่เป็นรากเหง้าสำคัญของสังคม
น้อมส่งคุณยายเดินทางไกลด้วยความสงบ สว่าง งามค่ะ