๓ กค. ๒๕๕๔ .. วันเลือกล้ม..spiral down the drain
รู้ผลกันไปแล้ว สำหรับการ เลือกล้ม เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ ที่ใครๆก็ออกมาบอกว่าต้องเคารพเสียงข้างมาก
สำหรับผู้เขียนไม่ขอเคารพจนเกินการณ์ เพราะเราท่านก็รู้กันอยู่เต็มอกว่ามันมีการซื้อเสียงมากเหลือเกิน ผู้เขียนเองเคยทำโพลของตนเองมาแล้วจากคนจำนวนประมาณ 600 คน พบว่ามีการซื้อขายเสียง 70% ของผู้มาเลือกตั้งทั้งหมด
จะให้เคารพเสียงข้างมากที่ถูกซื้อมาอย่างนั้นหรือ ไม่เลย เราควรช่วยกันประณาม หรือ กระทั่ง กระทืบด้วยซ้ำไป
นั่นว่าเฉพาะซื้อทางตรง แต่ยังมีการซื้อเสียงทางอ้อมอีกมากมาย เช่น สัญญาว่าจะให้ ประชานิยมในรูปแบบต่างๆ
ไม่อยากโทษสส.ที่ซื้อเสียงพวกนี้มากเกินไป ต้องโทษคนเลือกด้วย เพราะคนเลือกเป็นอย่างไรก็ได้สส.อย่างนั้น คนเลือกเป็นกาจะให้สส.เป็นหงส์ได้หรือ
ถ้าคนเลือกเข้มข้นและเข้มแข็งด้วย คนเลวๆ มันก็คงไม่กล้ามาลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะสมัครไปก็เสียเงินเปล่าและเหนื่อยเปล่า ตรงกันข้ามถ้าคนเลือกมันเหลวเป๋วแบบนี้คนดีๆที่ไหนเขาจะกล้ามาลงสมัคร เพราะสมัครไปก็เหนื่อยเปล่า พวกเหลวเป๋วมันไม่เลือกให้ฉลาดหรอก
ถ้าคุณภาพคนเลือกยังเป็นแบบนี้ ยิ่งเลือกก็ยิ่งล้ม (ประเทศล้ม)
กรณีผู้นำพรรคใหญ่ไม่ยอมโต้วาทีกับผู้นำพรรคอื่นนั้น ถ้าเป็นในประเทศที่ประชาชนเขาเข้มข้นทางการเมือง พรรคการเมืองนั้นจะล่มทันที แต่ของเรากลับได้ลอยหน้าเข้าสภาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
สว.ท่านหนึ่งสารภาพกับผู้เขียนว่าเมื่อก่อนก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดผู้เขียน ที่เสนอให้มีการคัดเลือกผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยการสอบความรู้ทางการเมือง แต่วันนี้ท่านเห็นด้วยแล้วว่าถ้าขืนปล่อยไปแบบนี้ประเทศไทยเราแย่แน่
ในการสอบความรู้ดังกล่าวนั้น ถ้ากลัว (หรือขี้ขลาด) ว่ามันจะขัดต่ออุดมคติปชต. (วันแมนวันโหวต ตามที่ลอกขี้ปากฝรั่งมา) ก็อาจใช้ระบบว่าทุกคนมีสิทธิพื้นฐานได้ 1 คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าใครไปสอบความรู้การเมืองเพิ่มเติมอาจได้คะแนนเลือกตั้งมากขึ้นเป็น 10 ก็ได้ ถ้าทำคะแนนสอบ 30 ข้อได้ถูกหมด ..แค่นี้เราก็ได้ระบบถ่วงดุลที่น่าจะพอไปได้
คนกทม.มีประมาณ 10% ของคนทั้งประเทศ แต่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล 80% ของคนทั้งประเทศ นี่ถ้านับคนชั้นกลางตามหัวเมืองในเขตหนึ่งของทุกจังหวัดด้วย ตัวเลขน่าจะถึง 95% นี่มันหมายความว่าอะไร ?
น่าจะจัดกลุ่มได้ว่าคนชั้นล่างคือคนที่มีรายได้น้อย จนไม่ถึงระดับที่ต้องเสียภาษี ส่วนใหญ่คนพวกนี้จะอยู่ในอีสาน รองลงไปก็เหนือ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนชั้นกลางน่าหมายถึงคนที่เสียภาษีเงินได้จนถึงระดับ 20% (น่าจะมีประมาณ 20% ของคนทั้งประเทศ) ที่เสียภาษีเกิน 20% ถือเป็นคนชั้นบน (น่าจะมีประมาณ 5%)
คนชั้นกลางนั้นส่วนใหญ่จะเลือกพรรคการเมืองหนึ่ง ส่วนคนชั้นล่างนั้นส่วนใหญ่จะเลือกอีกพรรคการเมืองหนึ่ง และพรรคที่คนชั้นล่างส่วนใหญ่เลือกนั้นก็มักได้จัดตั้งรัฐบาล
กลายเป็นว่าพรรคที่ถูกเลือกโดยคนที่เสียภาษีส่วนใหญ่ 95% (ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย) ไมได้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อไปบริหารงบประมาณนี้ กลับกลายเป็นพรรคที่ซื้อเสียงคนจนส่วยมากที่ได้เข้าไปบริหารเงินที่คนส่วนน้อยหามาให้ จานั้นก็โกงกินตามกระบวนการธุรกิจการเมือง เพื่อเอาเงินที่โกงได้มานี้ ไปซื้อเสียง แล้วกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อบริหารงบประมาณประเทศที่ 95% หามาได้จากคน 25% ทีไม่ได้เลือกพวกตน
แล้วเราจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆหรือ
เราจะช่วยกันกู้ชาติได้อย่างไรดี หรือว่าปล่อยให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เสียภาษีเงินได้มันเรียนรู้จากความเจ็บปวดเสียบ้างสักระยะเวลาหนึ่ง พอมันเจ็บมากๆ แล้วมันก็คงได้คิดเองสักวัน
ฟังดูดี แต่ผู้เขียนเกรงว่า มันจะล้มแบบไม่ลุกเสียก่อน แบบว่าล้มหายตายจาก จนสิ้นชาติไปเลย เพราะไอ้พวกหัวหน้าโจรพวกนี้พอมันยิ่งรวยเท่าไร ชาติก็ยิ่งจนมากเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้มันกุมอำนาจได้มากขึ้น (เพราะมันหากินกับความโง่ของประชาชนที่ยากจนอยู่แล้ว)
ดังนั้นระบบนี้มันเป็นระบบที่ “กินตัวเอง” จนเลือนหายไปในที่สุด สำนวนภาษาฝรั่งเขาเรียกกันว่า spiral down the drain (ควงสว่านไหลลงท่อน้ำทิ้ง)
ถ้ามีการสอบดังที่เสนอ เชื่อว่าคนที่ขายเสียง (เสียงชั้นเลว) อาจได้เสียงเพิ่มขึ้นจากการเดาข้อสอบมั่วๆ 30 ข้อ ทำให้ได้เพิ่มจาก 1 เป็น 3 โดยเฉลี่ย แต่คนชั้นกลางจะมีคะแนนประมาณ 8 เพราะคนพวกนี้มีความรู้ทางการเมืองมากกว่า คะแนนของคนพวกนี้เป็นคะแนนที่มีคุณภาพ ที่ไม่อาจซื้อขายได้ ดังนั้นคะแนนที่เพิ่มมากขึ้นนี้ก็จะสามารถถ่วงดุลกับคะแนนที่ถูกซื้อมาของคนชั้นล่างได้ทีเดียว
ถ้าทำแบบนี้พรรคที่ซื้อเสียง จะได้สส.น้อยลง จนอาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล การลงทุนไปก็สูญเปล่า ต่อไปจะเข็ด ไม่ซื้อเสียง แต่หันมาพัฒนาคุณภาพการเมืองเพื่อจะได้คะแนนสูงขึ้น การเมืองของเราก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ
แล้วความดีขึ้นนี้มันก็จะล้นไหลไปสู่คนชั้นล่างโดยปริยาย ..จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ทำให้ประเทศไทยล้ม
…คนถางทาง
ปล. บทความนี้น่าจะลง ผจก. ออนไลน์ ๔ กค. ๕๔ (วันชาติมะกันซะด้วย ชาติต้นแบบ ปชต. ที่เราลอกเขามาใช้แบบเชื่องๆ )
« « Prev : เคียวยนต์
Next : พรวันเกิด…แหบปี่เบิดเด่ตู๊ยู » »
5 ความคิดเห็น
อ่านแล้วก็สนุกดี เป็นความคิดที่ท้าทายอย่างยิ่ง แต่มิใช่ว่าจะเห็นด้วย….
เมืองไทยคงจะวุ่นวายอีกหลายปี และคิดว่าคงจะวุ่นวายยิ่งขึ้น ๆ ๆ….
หลายปีก่อน รู้สึกสับสนตัวเอง ก็ไปเจอสำนวนในหนังสือเล่มหนึ่งว่า “ชีวิตไม่ต้องกังวลอะไรมาก มันจะแสวงหาจุดลงตัวของมันเอง”
บ้านเมืองก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องกังวลอะไรมาก คงจะแสวงหาความลงตัวของมันเอง….
ลงตัว ไม่่ลงตัว ลงตัว ไม่ลงตัว ….. เป็นอย่างนี้เสมอ ที่ลงตัวนะ มีเวลานิดเดียว แต่ที่ไม่ลงตัวนั้น ใช้เวลานานนนนนนนนน….
ทำท่าบ่นอีกแล้ว (………..)
เจริญพร
สนับสนุนพระคุณเจ้า ของบ่ดีมันจะเสื่อมไปในที่สุด
ดังที่กระผมได้เขียนไว้ในบทความ “ความลงตัว” ที่ว่า มันอาจหมายถึง ก้น ของ drain นะขอรับ แล้วมันจะกู่ไม่กลับ
ดั่งพระสัทธรรม หากพุทธบริษัทสี่ไม่ร่วมกันตั้งธำรงไว้ ก็ย่อมเสีอมสลายหายสูญ ดังที่ทรงวินิจฉัยไว้แล้ว
ทำอย่างไร แบบที่อาจารย์ว่ามันจะเป็นได้จริงล่ะ พวกนักเลือกตั้งซื้อเสียงมันจะยอมไหม ยิ่งมันเข้าไปเขียนกฎหมายและโวตกันได้ มันก็เขียนกันแบบเข้าข้างตัวเองทั้งปี
ผมเคยเสนอปชป.ให้ทำ ท่านก้ไม่ทำ ทั้งที่ท่านนั่นแหละจะได้เปรียบกว่าใครเขา และก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้เสียด้วย ตอนนี้ผมก็ได้แต่ฝากความคิดเอาไว้ เผื่อจะมีใครพอมีอำนาจทำได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้เราเป็นประเทศแรกในโลกด้วย ซึ่งผมว่าจะมีคนเอาอย่างเราอย่างแน่นอน รวมทั้งอังกฤษ และ usa ด้วย เผลอๆ