เรื่องของเส้นใหญ่

อ่าน: 1555

เมื่อไปดูรากปัญหาของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่มีคนรวบรวมไว้  ก็แทบไม่น่าเชื่อว่า รากปัญหานี้เกิดขึ้นในช่วงวัย 7 ขวบแรก และสามารถเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในครรภ์มารดา

มีคนเขาว่าไว้ว่า สิทธิและเสรีภาพของความเป็นคนไทย คือ กลไกที่ให้ผลลัพธ์เป็นคุณภาพชีวิตของคนไทยในวันนี้  อย่างนี้มีความเป็นไปได้ที่ความเป๋ของสมดุลระหว่างสิทธิและเสรีภาพจะเกิดขึ้นก่อนที่รากปัญหาของความรุนแรงจะปรากฏกายขึ้นให้รับรู้นะ

มีความเป็นไปได้ว่าต้นเหตุที่แท้อาจจะมาจากความเป๋ของสมดุลสิทธิและเสรีภาพด้วยซิ

ขัดสน ด้อยโอกาส ขาดแคลนสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต ด้านอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย

ขาดความรัก ขาดความอบอุ่นในครอบครัว ลงมือกระทำทารุณต่อร่างกาย ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว

เด็กถูกนำไปเร่ขาย ถูกทอดทิ้งให้อดอยากหิวโหย ถูกทำลายตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์ ถูกทำแท้งเมื่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ถูกสอนให้จับอาวุธ ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็นทหาร และเป็นเหยื่อของการสู้รบตั้งแต่อายุระหว่าง 7 - 8 ขวบ

ผู้เป็นหลักในครอบครัวเร่ร่อนไปเพื่อทำกินในที่ต่างๆ

สังคมเป็นสังคมไร้ระเบียบ ไร้วินัย ละทิ้งคุณค่าทางวัฒนธรรม

เหล่านี้คือรากปัญหาของความรุนแรงในสังคมที่มีคนรวบรวมและบอกต่อไว้

ถ้าเรื่องของขาใหญ่เป็นเรื่องที่รากปัญหากำเนิดขึ้นมาตั้งแต่วัย 7 ขวบแรก  การแก้ปัญหาเพื่อให้เรื่องราวของความรุนแรงในองค์กรนั้นบรรเทาลงก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก  เวลาที่เนิ่นนานทำให้เรื่องราวฝังลึกจนตกผลึกซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึกไปซะแล้วมั๊ง

ถ้ารากปัญหาของขาใหญ่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพที่เป๋ไปด้วยแล้วละก็ ตรงนี้ยิ่งยากมากๆทีเดียวที่จะแก้ให้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความจริงและเห็นตัวเอง

สัปดาห์ก่อนเจอเส้นใหญ่ ได้ยินคำบ่นว่าขุ่นขึ้งกับคำตำหนิจากผู้ใหญ่คนหนึ่งเกี่ยวกับงานขององค์กร  แปลกใจกับวาจาที่บอกว่าขุ่นขึ้งแต่ข้อตัดสินใจกลับเหมือนกลัว

เส้นใหญ่ปรึกษาทีมงานเรื่องงานที่อยากพัฒนาเพื่อไม่ให้โดนผู้ใหญ่ตำหนิ  แต่งานชิ้นที่เขาเลือกนั้น ทีมงานเห็นตรงกันว่า ทำดีอยู่แล้ว ตัดสินจากผู้รับผลงานชื่นชม ทีมงานเตือนเขาเวลาที่ผู้ใหญ่คนนี้ตำหนิ จึงควรใคร่ครวญและฟังไว้ ไม่ควรเก็บมาเป็นเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงตามข้อตำหนิที่ไม่ตรงจริง

บังเอิญโดยส่วนตัวก็รู้จักผู้ใหญ่ที่เส้นใหญ่ไปเจอมา รู้จักความดื้อและเชื่อมั่นในตัวเองของเขามาก่อน ความถือดีทำให้ผู้ใหญ่คนนี้เชื่อแต่ความเห็นของตัวเองเท่านั้น ใครคิดไม่ตรง ทำไม่ตรงใจ ไม่มีทางได้รับคำชื่นชม

ระหว่างที่ร่วมฟังอยู่จึงสะดุ้งใจ ฉุกใจกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างเส้นใหญ่กับขาใหญ่ เมื่อเห็นภาพคล้ายๆกัน คำถามลอยขึ้นมาว่า เป็นไปได้มั๊ยที่เมื่อไรขาใหญ่อารมณ์เสียและปล่อยคำบ่นว่า เส้นใหญ่จะประเคนสิ่งที่ต้องการให้ทันทีที่รับรู้อารมณ์ไม่พอใจเพื่อให้หยุดบ่น  ถ้าใช่  องค์กรนี้ก็ป่วนละเออ

ต่อมาอีกไม่กี่วัน มีโอกาสแวะไปเยี่ยมองค์กรนี้โดยบังเอิญ ก็พบสมาชิก 2 คนขององค์กร ได้คุยกันสั้นๆ ดูเหมือนว่า แต่ละคนที่ยังคงทำงานกันอยู่ ต่างคนต่างอยู่อย่างไรไม่รู้ ทั้งๆที่ขณะนั้น งานที่กำลังทำเป็นงานที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันและกัน

สมาชิกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ขาใหญ่ที่จริงเป็นคนทำงานเก่ง ทำงานดี แต่ไม่ถูกใจกันด้วยเหตุที่ว่า หัวหน้างานเป็นคนใจร้อน และอีกคนที่ทำงานร่วมกันก็ขัดแย้งทางความคิด ไม่ยอมรับวิธีที่ขาใหญ่ช่วยคิดและนำเสนอ บรรยากาศในองค์กรนี้จึงเป็นอย่างที่เห็น ไม่ลงรอยกัน เพราะแข่งกันเก่ง

ก็ได้แต่เก็บข้อมูลไปเงียบๆ บอกตัวเองว่า ดูเหมือนมาเจอองค์กรที่สะสมคนเก่งไว้หลายคน และคนเก่งกำลังแข่งกันแสดงความเก่งด้วยแรงจูงใจบางอย่าง

มาเจอเรื่องราวเข้าอย่างนี้ ก็มีแต่รอตามผลคำปรึกษาที่ให้ไว้กับหัวหน้างานไปแล้ว ก็แล้วกัน

แล้วก็มีวันหนึ่ง บังเอิญเจอหนุ่มน้อยคนหนึ่งซึ่งเคยเรียนร่วมชั้นกับขาใหญ่ ได้ข้อมูลของขาใหญ่เพิ่มมาว่า ในตอนที่เรียนชั้นประถมต้นขาใหญ่ไม่กลัวใคร ไม่พอใจขึ้นมาก็จะไม่ยอมใคร โวยวายลั่น  เธอชอบขอดูคะแนนสอบของเพื่อนๆแต่แอบคะแนนของเธอไว้ไม่ให้ใครเห็น

ข้อมูลที่ได้เพิ่มชี้มุมให้เห็นภาพเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาอย่างเป็นตัวของตัวเองมากมาย จนกลายเป็นคนกล้าไม่กลัวใครขึ้นมาเลยแฮะ ความเป็นไปของวัยเด็กประถมก็ดูเหมือนไม่ได้ผิดแปลกไปจากเด็กทั่วๆไป

อืม จะสรุปว่ารากปัญหาในครอบครัวทำให้เธอเป็นเยี่ยงนี้ได้มั๊ยนี่ สรุปไปจะไม่แฟร์กับครอบครัวเธอนะ รอข้อมูลเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ดีกว่า

« « Prev : ตามลม(๒๒): อ้าว…ปลวก…ร่วมทำเหตุนี่เอง

Next : ตามลม(๒๓): ลองลูกบอลน้ำหมัก….ถุงทราย…ฝายแม้ว » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 20:03

    ผมว่าคุณหมอทฤษฎีมากไปหน่อยนะครับ

    เอาง่ายๆ หมาสองตัว ตัวหนึ่งใจดี เชื่องสุดๆ อีกตัวดุกัดไม่เลือก ทั้งที่เลี้ยงมาด้วยกันเหมือนกัน คอกเดียวกันด้วยซ้ำ หมอจะเอาทฤษฎีอะไรมาจับ หรือว่า ช่าวหมามัน คนไม่เกี่ยว :-)

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 22:56

    ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ก็แค่เกาะแกะเคาะแคะลงมือฝึกธรรมะระดับปฐมเมื่อไม่นานมานี้ และไม่ใช่นักสังคมศาสตร์ จึงไม่บังอาจเถียงทฤษฎีที่เขาเชื่อกันมานาน

    แต่ทฤษฎีที่รวบรวมยกมาในบันทึกนั้น ในความเป็นหมอ มันก็ทำให้เอ๊ะ และไม่อยากเชื่อตาม ก็เลยใช้หลักกาลามสูตรเรียนรู้ เปรียบเทียบไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจแล้วได้พบความจริงที่ใช้งานได้ ดีกว่าเชื่อทฤษฎีเยอะเลย

    กรณีของขาใหญ่ก็ได้เรียนรู้ “ความรู้สึก” ของคน ว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตประจำวันของคนแต่ละคน ที่ป่วนคนได้ทุกที่ ทุกเวลา อยู่ที่ว่า คนรับแล้วแปลบวกหรือลบ แปลบวกก็ไม่มีอะไร แปลลบก็ได้เรื่องป่วนความรู้สึกตัวเองไป เริ่มจากเรื่องเล็กๆก็กระเพื่อมเป็นคลื่นใหญ่ขึ้นๆๆๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

    ตรงนี้แหละค่ะที่ได้แถม เห็นมุม “ธรรม” ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ โดยคนอื่นเป็นครูสอนด้วย

    ยังไงเรื่องของขาใหญ่ก็ยังมีเรื่องอีกยาวค่ะ ถ้าหัวหน้าหน่วยงานนั้นเขายังเดือดร้อนในใจและมาปรึกษา

  • #3 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 23:06

    ขาใหญ่คือหมาดุ กัดไม่เลือก เป็นธรรมดานะหมอเจ๊

    ก็โยนกระดูให้แทะมากๆ ก็คงเพลิน จนไม่มีเวลามากัดคนหมู่มาก

    อาจเป็นหนทางแก้ปัญหาเฉพาะกิจที่ประหยัดที่สุดนะผมว่า

    แต่หมาบางตัวที่มันเลียต่อหน้า แล้วพอเผลอมันแอบงับน่องเราตอนดึกๆ ที่มันคิดว่าเราจำหน้ามันไม่ได่นี่สิ
    หรือหมาที่เราขุนมันมาแต่น้อย แต่วันนี้มันโตใหญ่ แล้วดุเราแฮ่มๆ ทุกวันนี่สิ ทำไงดีล่ะหมอเจ๊

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 กรกฏาคม 2011 เวลา 23:35

    หมอยังไม่มีโอกาสเจอขาใหญ่และคุยด้วย ในส่วนของบุลิกที่ได้ฟังผ่านหู ก็เห็นว่าเธอมีดี เป็นคนตรง แต่เป็นคนที่มีความคาดหวังสูง โดยเฉพาะต่อตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนเก่งนะคะ หมอคิดว่างั้นนะคะ มุมหนึ่งของคนเก่งที่มีความคาดหวังสูง ย่อมเป็นธรรมดาที่ “ขี้บ่น” ใช่มั๊ยค่ะอาจารย์

    ที่หมามันแอบกัดเรา เป็นเพราะมันระแวงภัย และเราไปทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัยซะมากกว่า การที่เราจะทำให้ความไม่ปลอดภัยของเราหายไป ก็ต้องทำให้มันรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เราเท่านั้นแหละ ในส่วนตัวเชื่อว่า ความเมตตาของเราเองช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้มันได้ค่ะอาจารย์ และถ้ามันยังแอบกัดเราอยู่ ก็แปลว่า รังสีแห่งความเมตตาที่เรามียังไม่แรงพอให้มันรับรู้ได้ค่ะ

    ส่วนหมาที่มันดุเราแฮ่มๆ ก็เหมือนกัน ความที่มันรู้ว่าเราเลี้ยงมัน รู้จักมันมานานนี่แหละ ที่เมื่อมันจะไม่เอาเรา มันก็รู้สึกไม่สบายใจว่ามันจะปลอดภัย มันก็เลยขู่ไม่ให้เราเข้าใกล้มันซะ

    โบราณเขาว่า หมากัดอย่ากัดตอบ ใช้ได้ในกรณีนี้หรือเปล่าค่ะอาจารย์

  • #5 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 กรกฏาคม 2011 เวลา 1:55

    หมากัดไม่กัดตอบหรอกครับ มีอยู่เพียงสองอย่างคือ แผ่เมตตาให้มัน หรือไม่ก็เอา .357 กดโป้งเข้ากระหม่อมมัน อิอิ

    สมัยผมเป็นพระธุดงค์ ผจญหมามามาก จากการเดินตัดป่าสู่หมู่บ้าน

    พอจะเดินตัดป่าหญ้าแสนรกท่วมอก รองเท้ารองทรีนก็ไม่มี ทำได้เพียงแค่แผ่เมตตา ท่องมนตรา ” วิรุญปักเข ….เมตตัง …” สัตว์มีเขี้ยวทั้งหลาย อย่าได้ทำร้ายเราเลย …อีกทั้งในย่ามก็มีหัว กลิ้งกลางดง ที่ว่ากันว่า ขลังนักแล สัตว์มีเขี้ยวทั้งหลาย มี งู แมงป่อง หมา หมี เสือ เป็นอาที มิอาจกล้ำกลาย

    แต่สัตว์บ่มีเขี้ยว มีเพียงเขาอ่อนๆ สองเขา กลับกล้ำกรายได้เหลือหลาย … พระธุดงค์และไม่ดงค์ทั้งหลายต่างพลาดท่ากันมามากราย หิหิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.15178203582764 sec
Sidebar: 0.31392693519592 sec