เรียนต่อจากเรื่อง “เสียหมา”
วันนี้มีคนมาชวนแก้โจทย์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ที่ทำให้สะกิดใจกับการบ่มเพาะสัญชาตญาณของการปกป้องตนในตัวคน
คำว่า “สัญชาตญาณ” ที่แวบเข้ามาในหัวตั้งแต่หลายเดือนก่อน ชวนให้นึกถึง “struggle for survival” และ “symbiosis” ที่วิชาหนึ่งเคยสอนไว้
เมื่อย้อนกลับไปแกะรอยใหม่ หลังจากได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคน 2 คู่ ก็เริ่มเข้าใจเรื่องอารมณ์ในมุมใหม่แฮะ
เมื่อมีคำถามโผล่มาว่า “สัญชาตญาณ” “พฤติกรรม” “อารมณ์” ต่างกันอย่างไร ก็ได้คำตอบว่า
“สัญชาตญาณ” เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบไว้เพื่อให้ สิ่งมีชีวิตสามารถดูแลตัวเองให้รอดชีวิต เป็นผลผลิตจากความสัมพันธ์ระหว่าง “ฐานกาย” และ “ฐานใจ”
“อารมณ์” เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบไว้เพื่อให้ สิ่งมีชีวิตสามารถดูแลตนเองให้รอดชีวิต เป็นผลผลิตจากความสัมพันธ์ระหว่าง “ฐานใจ” กับ “ฐานคิด”
ความสามารถในการควบคุมสัญชาตญาณ แล้วปล่อยออกมาเป็นพฤติกรรม ทำให้สิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทแตกต่างกัน
“มนุษย์” ต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆตรงที่ ใช้ทั้งสัญชาตญาณ และอารมณ์ เพื่อความอยู่รอด มีสมองที่สามารถข่มหรือควบคุมสัญชาตญาณแห่งตนไว้ มีปัญญาที่สามารถใช้ควบคุมอารมณ์ได้
เมื่อไรไร้ปัญญา อารมณ์ = สัญชาตญาณ ได้เลย
เมื่อไร ความสามารถนี้ถึงจุดสมดุลระหว่างสัญชาตญาณ อารมณ์ สมอง และปัญญา เกิดขึ้น ความอยู่รอดนั้นก็จะเป็นความร่มเย็นทั้งของตัวเองและผู้อื่น สมดุลของสรรพสิ่งเหล่านี้เสีย ความร่มเย็นที่ว่าจะเกิดไม่ได้
จู่ๆเรื่อง “เสียหมา” ของพี่ชายที่รักก็แวบเข้ามาทำให้ฉุกคิดเรื่องสัญชาตญาณ ก็เกิดคำถาม “หมาทำให้เสียคนได้ไหมนะ”
จึงตามไปถามครูกู้เพื่อเรียนรู้สัญชาตญาณของหมา ก็ได้เรื่องมาอย่างนี้
ครูบอกว่าหมาแต่ละตัวทำอะไรต่อมิอะไรตามสัญชาตญาณ มากน้อยไม่เท่ากัน มันเลยมีนิสัยและบุคลิกลักษณะต่างกัน
หมาทุกตัวเกิดมาพร้อมนิสัยบางอย่างติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ว่าประสบการณ์แรกเกิด หรือการเลี้ยงดูจากแม่และเจ้าของในช่วงแรกของชีวิต เหล่านี้มีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอของมันได้
สามารถเรียนรู้พื้นนิสัยมันได้ โดยดูว่ามันจะทำยังไงเวลาเจอสถานการณ์ต่างๆ เพราะว่ามันทำอะไรต่อมิอะไรตามสัญชาตญาณ
เรื่อง “เสียหมา” เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะแนวคิดของการเตรียมตัวของคนเพื่ออยู่กับหมาที่เลี้ยงไว้ใช้งานนั่นแหละ
เขาว่าการเผชิญกับสัญชาตญาณที่ไม่ต้องการของหมานั้นให้เลือกเตรียมตัวได้ 2 แบบ
หนึ่ง คือ เปลี่ยนนิสัยคนให้เข้ากับนิสัยหมา สอง คือ ทำให้เสียหมา (เปลี่ยนนิสัยหมาให้ตรงกับที่เจ้าของต้องการ)
การประเมินสัญชาตญาณหมาว่าอย่างไหนสูง อย่างไหนต่ำเพื่อใช้เตรียมตัว เขาใช้ความถี่ของพฤติกรรมหมาเป็นเครื่องมือตัดสิน
สัญชาตญาณไหนทำบ่อยมาก ทำสม่ำเสมอให้ 10 คะแนน
ทำเรื่อยๆ ไม่สม่ำเสมอ ให้ 5 คะแนน ไม่ทำเลยให้ 0 คะแนน
ดูคะแนนเป็นหมวด หมวดไหนสูงกว่า 50 ถือว่ามีสัญชาตญาณชนิดนั้นอยู่สูง หมวดไหน ต่ำกว่า 30 ถือว่ามีอยู่น้อย
ผลประเมินนี้ไม่ได้เป็นคำตอบเรื่อง “ดีหรือไม่ดี” บอกไว้แค่บุคลิกลักษณะและนิสัยอย่างไรเท่านั้นเอง
ก็ได้คำตอบว่า หมาทำให้เสียคนได้ มาอย่างนี้แล
2 ความคิดเห็น
ครึ่งหมาครึ่งคน ยิ่งยากไปใหญ่ นะหมอเจ๊
มะรีนนี้ต้องเข้าคูหา จะเลือกหมู หมา กา หรือ ไก่ ดี ยังคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าตัวข้าจัดอยู่ในสัตว์ประเภทใด เดี่ยวว่าจะลองคำนวณดู
น่าแปลกที่สัญชาตญาณนี้ ดูเหมือนว่าสำคัญมาก แต่กลับไม่ค่อยเห็นในคำสอนของพพจ. ส่วนอารมณ์นั้นสอนไว้มาก (น่าเป็นสิ้งเดียวกะ เวทนา …หนึ่งใน 12 จุดของ ปฏิจจสมุปบาท) ส่วนสมองนั้น ศาสนาพุทธจัดว่าเป็น “สังขาร” (สงสาร สังสาร..วัฎฎ์) แต่บางที่ก็ว่าเป็น มโน สำนึก บ้างก็เอามารวมกันเป็น มโนสำนึก บ้างก็เอาไปเป็นเวทนา (อารมณ์)ว่า อารมณ์ 6 คือ รูปะ โสตะ นาฆะ ชิวหะ ผัสสะ มโน (อารมณ์อันเกิดแต่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ)
มันมั่วดีจริงๆ ..สมแล้วที่ IQ test ของ tickle เขาว่า อาชีพวิเคราะห์จิตนี้เหมาะสำหรับคนฉลาด ขนาดคนโง่มาหลับตาพร่ำมน หมอ วิดวะ นายพล มหาเศรษฐียังไปกราบกันจนแย่งกันหาที่จอดรถเบนซ์ไม่ได้
ครึ่งคนครึ่งหมา กับ หมา(ที่ยังไม่เสียหมา)ซึ่งใช้คราบคนมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน อาจารย์ว่าอย่างไหนดีกว่า