ตามลม(๓) : วัดอุณหภูมิก่อนตัดสินใจ…ดีกว่าน่า

อ่าน: 1480

พูดกันเรื่องไอน้ำทำให้ชื้น ชื้นก็คือเปียกน้อยๆ เปียกน้อยกว่าก็คือแห้ง ทำให้ไอน้ำแห้งก็คือลดไอน้ำ ไอน้ำมากเมื่อมีน้ำมาก อย่างนี้ก็ต้องตามไปดูว่าตึกนี้มีเรื่องเกี่ยวกับน้ำที่ไหน เมื่อไร อย่างไรบ้างก่อนเนอะ จะได้ลดน้ำให้ไอน้ำน้อยลง

คราวก่อนนึกไว้เรื่องลมเป่า โดยหลักของการเจือจางอะไรก็แล้วแต่ที่ไหลได้ คำแนะนำคือเติมเพิ่มอะไรที่สิ่งนั้นไปปนอยู่ ลมเป่าสามารถใช้เติมเข้าไปที่ตึกแห่งนี้อย่างไร ก็ต้องไปดูก่อนละมัง

จะไปดูก็ต้องรื้อความรู้ก่อนไปซะหน่อย เรื่องลม เรื่องเป่า จะได้สังเกตว่าที่คิดจะทำนั้นโอเคแค่ไหน

ธรรมชาติสร้างลมขึ้นจากความต่างกันของอุณหภูมิในอากาศ ๒ จุด ความเย็นทำให้อากาศจากที่ร้อนกว่าเคลื่อนไหวเข้าไปหาเหมือนหนุ่มร้อนเจอสาวใจเย็นดูดเข้าไปหา เวลาไปเจอกันก็ผ่องถ่ายความร้อนให้จนอุณหภูมิเท่ากัน  เมื่อไรที่อุณหภูมิเท่ากัน ลมก็หยุดพัด (ธรรมชาติตรงนี้เหมือนอารมณ์คนเลยนะ)

ก็คงจะต้องไปดูทั้ง ๒ ตึกเพื่อมาหาคำตอบว่าจะทำยังไงต่อกับเงื่อนไขของความเป็นตึกเดียวกันแม้จะอยู่คนละชั้น แล้วทำำให้คนสบายกับอากาศรอบตัวพร้อมๆกับไม่เป็นอากาศที่เลี้ยงเชื้อโรคในทั้ง ๒ ตึก

ก่อนเป่าก็ต้องรู้ก่อนว่า ตรงไหนอากาศนิ่ง ตรงไหนลมพัดอยู่แล้ว  จะได้นำมาตัดสินใจว่า ตรงไหนควรกรองอากาศ ตรงไหนติดแอร์แล้วดี ตรงไหนควรปรับอะไรอีก แหงละว่าควรดูเรื่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับตึกทั้ง ๒ ชั้นด้วย

เคยเห็นน้ำร้อนเดือดมั๊ย สิ่งที่เห็นจะเห็นน้ำมันหมุนวนแล้วก็มีน้ำเดือดกระเซ็น เห็นไอที่ลอยขึ้นเหนือน้ำเนอะ  ไอน้ำที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำนี่แหละที่ปนในอากาศแล้วให้ผลเป็นความชื้นสัมพัทธ์ และใช่ว่าจะมีแต่น้ำเดือดเท่านั้นที่ให้ไอ น้ำอะไรก็ให้ไอน้ำได้เพียงแต่ไม่หนาพอให้ตาเรามองเห็นเท่านั้นเอง

ยิ่งร้อนยิ่งไอเยอะ ยิ่งอากาศเย็นยิ่งเห็นเยอะใช่ไหม แปลว่าอุณหภูมิของน้ำและอากาศเข้ามาเอี่ยวด้วยกับการเกิดความชื้นสัมพัทธ์เนอะ

แกะรอยค้นหาต่อก็ไปเจอคำอธิบายว่า “ทุกอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ๑๐ องศาเซนติเกรดของอากาศ จะเพิ่มที่ให้ไอน้ำปนเพิ่มได้อีกเป็น ๒ เท่าของที่ปนอยู่แล้วเดิม”

อย่างนี้แปลว่า อากาศที่อุณหภูมิต่างกันเพิ่มไอน้ำที่ปนเนอะ ยิ่งร้อนยิ่งเพิ่มด้วยซิ  ลมเกิดจากความต่างของอากาศด้วย แล้วไหลจากร้อนไปหาเย็น อย่างนี้เกี่ยวกันตรงนี้เนอะ ยิ่งร้อน ยิ่งไม่มีลม ยิ่งร้อน ยิ่งเพิ่มไอน้ำ ไม่รู้เข้าใจผิดหรือเปล่า

จำได้ว่าเมื่อเรียนเรื่องเมฆ ครูสอนว่า เมื่อไรที่แดดร้อน น้ำจะกลายเป็นไอลอยไปเกาะกันบนฟ้า มากเข้าๆก็จะกลายเป็นเมฆ  แปลว่ายิ่งร้อน ยิ่งมีไอน้ำมาก ไอน้ำที่เพิ่มนั้นลอยจากพื้นที่ต่ำกว่าขึ้นไปหาฟ้าที่สูงกว่า ที่เข้าใจข้างต้นนั้นไม่ผิดหรอกน่า

อย่างนั้นน่าไปตามดูอุณหภูมิในตึกทั้ง ๒ ตึกซะหน่อยแล้ว จะได้เข้าใจทิศทางลมกับความเกี่ยวข้องในตึก เผื่อว่าจะเติมลมเป่าเข้าไป จะได้กำหนดจุดเป่าได้ตรง

เอาละได้เรื่องน่าสนุกไปลองค้นหาความจริงดูแล้ว ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ ค่อยๆสางค่อยๆคิดแล้วจึงมาตัดสินใจเรื่องแก้ให้ดีกว่า ปัญหามีมานานแรมปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินขนาดคอขาดบาดตาย  ไปพบอะไรมาจะนำมาเล่าให้ฟังเนอะค่ะ

« « Prev : ตามลม(๒) : ชื้นแล้วติดพัดลมไล่ไอน้ำ…จะดีมั๊ยนะ

Next : ตามลม(๔):ดูทิศทางลมไว้หน่อยก็ดีนะ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 0:01

    การไหล ไหลจากแรงดันสูงสู่แรงดันต่ำเป็นหลักครับ อุณหภูมิร้อนเย็นไม่สำคัญ

    ตัวอย่างเช่นห้องหนึ่งเย็นกว่า (เช่นห้องปลอดเชื้อในโรงพยาบาล ห้องผ่าตัด) แต่อากาศเย็นนี้กลับไหลออกมาสู่ด้านนอกห้องซึ่งร้อนกว่าเสียอีก …ขึ้นอยู่กับตำแหน่งการติดตั้งพัดลม ว่าจะเป่าหรือจะดูดด้วย

    เคยได้ยินคำว่า “ลมหนาวจากไซบีเรีย” ไหม มันพัดมาเมืองร้อนแบบไทยเราได้อย่างไร อีหนูเอ๋ย :-)

  • #2 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 0:27

    ตอนที่สอง ..แรงดันที่ว่านี้มันมีสามแรงย่อยด้วยกันนะจ๊ะ คือ แรงดันนิ่ง แรวดันวิ่ง และแรงดันดิ่ง (ศัพท์ไทยที่ผมบัญญัติขึ้นเองจากรากศัพท์ฝรั่ง)

    บางทีเครื่องวัดแรงดันบอกว่าแรงดันสูงกว่า แต่ลมกลับไหลมาสู่จุดนี้จากแรงดันที่ต่ำกว่า ..เนืองเพราะลืมคิดบัญชีแรงดันให้ครบถ้วนนั่นเอง

    แรงดันกับแรงกดดัน ก็ต่างกันนะครับ อิอิ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:24

    ขอบคุณอาจารย์ที่มาเติมความรู้ที่ยังเดาๆให้ชัดขึ้นค่ะ

    ดูเหมือนว่า “เมื่อมีการไหลของอากาศจากที่แรงดันสูงไปหาแรงดันต่ำในแนวราบ อากาศจะมีการกระจายตัวและหมุนวนเวียนด้วย” อย่างนั้นหรือเปล่าค่ะ

    ส่วนเรื่องลมหนาวจากไซบีเรีย ที่มันพาความชื้นมากับมันได้นี่เพราะไปเกี่ยวกับระดับความสูงของแผ่นดินและระดับน้ำทะเลหรือเปล่าค่ะ

    เวลาโดนคนเรียกว่า “อีหนู” นี่รู้สึกเป็นเด็กลงเยอะเลย ไม่มีใครเรียกอย่างนี้มานานแล้ว…อิอิ….ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำเรียกค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.21879005432129 sec
Sidebar: 1.772598028183 sec