ตามรอยน้ำพุร้อน (๔)
มีคนบอกว่า ระบบธรณีวิทยา การเคลื่อนไหวของผิวเปลือกโลกที่ลึกลงไปประมาณ ๓๕ กม. ที่เป็นแผ่นหินที่เชื่อมต่อถึงกันและรอยต่อรอยแยกของ plate กิจกรรมแผ่นดินไหว ลาวาใต้พิภพ มีความสัมพันธ์กับสนามแม่เหล็กโลก
แผนภูมิข้างล่างทำให้เข้าใจขึ้นว่าน้ำพุร้อนแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแยกอย่างไร สัมพันธ์กับหินอย่างไร
แผนที่ ๒ ฉบับนำมาเทียบกันแล้วก็แปลกใจ พื้นที่น้ำพุร้อนในภาคเหนือกับพื้นที่แผ่นดิน(เคย)ไหว เป็นพื้นที่เกือบครือกันเลย แต่ของภาคใต้กลับไม่ใช่
ดูอุณหภูมิของน้ำพุร้อนแล้ว ความร้อนใต้เปลือกโลกใต้รอยแยกของภาคเหนือจะร้อนกว่าภาคใต้
พอนึกถึงว่า น้ำพุร้อนเป็นพื้นที่ภูเขาไฟที่กำลังจะมอดหรือดับลงแล้ว แผนที่น้ำพุร้อนจึงเหมือนกำลังบอกว่าตรงไหนของบ้านเรามีภูเขาไฟ
ตรงไหนเป็นภูเขาไฟ ตรงนั้นเป็นแหล่งแร่ธาตุราคาแพง ถ้าแร่ธาตุนั้นคือถ่านหิน ก็ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมกระบี่จึงมีถ่านหินและมีมาก จนทำเหมืองได้ ทำไมถ่านหินแม่เมาะจึงขุดเท่าไรก็ไม่หมดสักที
เขาว่าอำเภอเฉลิมพระเกียรติ์ จังหวัดบุรีรัมย์ เช่น เขากระโดง เขาไปรบัด ภูอังคาร เขาพนมรุ้งอันเป็นที่ตั้งประสาทหินเขาพนมรุ้ง เหล่านี้เป็นพื้นที่ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว
การที่ขุดถ่านหินได้ก็เพราะที่ตรงนั้นเป็นภูเขาไฟดับสนิทแล้ว อ้าว อย่างนี้ไม่ต้องกลัวว่าแผ่นดินไหวจะเกิดที่กระบี่ได้ซินะ
พื้นที่อื่นในประเทศไทยที่เป็นภูเขาไฟอีกก็มี ดอยผาคอกจำป่าแดด และปล่องภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู จังหวัดลำปาง ภูเขาหลวง จังหวัดสุโขทัย ภูเขาพนมสวาย ภูเขาพนมอัลลองสวายตันยู จังหวัดสุรินทร์
ขอบคุณภาพจากเว็บไซด์กรมทรัพยากรธรณี
« « Prev : ตามรอยน้ำพุร้อน (๓)
Next : ตามรอยน้ำพุร้อน (๕) » »
2 ความคิดเห็น
พวกของไหลนี้มันดิ้นได้มากครับ อย่าเพิ่งไปเชื่อข้อมูลมากนัก โดยเฉพาะจากองค์กรวิชาการไทยที่ไม่ค่อยเข้มข้น เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำงาน เอาแต่เลียนายริมสนามกอล์ฟ
20 ปีก่อนนักวิชาการไทย ฟันธงกันว่า เมืองไทยไม่มีศักยภาพลมพอที่จะทำกังหันลม มีผมค้านอยู่คนเดียว
วันนี้กำลังเห่อกังหันลมกันเต็มประเทศ แต่ผมกลับค้านว่าระวังเจ๊งระนาว ถ้าไม่เลือกแหล่งพื้นที่ให้ดีที่สุด สรุปคือกังหันลมทำใด้ แต่ต้องเลือกแหล่งให้ถูก ริมทะเลอาจเจ๊ง ภาคกลางแถวสุพรรณอาจรวย ไม่แน่หรอก ต้องมีวิชาการ
ส่วนแผ่นดินไหวน้น พงศาวรดารกรุงศรีฯ ฉบับหลวงประเสริฐบันทึกไว้ว่าสยามประเทศเคยถูกแผ่นดินไหวถล่มถึงสามครั้งนะครับ
เห็นด้วยกับอาจารย์ว่าของไหลมันดิ้นได้
ก็เลยตามรอยว่าเขาให้ความรู้อะไรกันไว้ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความจริงที่เห็นกับตาเอง
เพื่อกลั่นกรองว่าควรเชื่ออะไร ไม่ควรเชื่ออะไร
จะได้ไม่เสียใจว่าทำพลาดเพราะความเชื่อของเรา เพราะเรื่องที่ทำเป็นเรื่องการช่วยคน
ในทางวิชาการของหมอๆ เราค้นหา sensitivity มาใช้งานเพื่อเตือนใจให้เฝ้าดู
หลังจากรู้จักมันดีแล้ว ความแม่นในการเตือนภัยยิ่งมากขึ้นๆ
จนกระทั่งกลายเป็นเรื่อง specificity คือ ทำนายได้ตรงเผงค่ะอาจารย์
ชอบใจที่อาจารย์มาแลกเปลี่ยนมากเลย เพราะช่วยกระตุกบางมุมที่ไม่ได้มองหรือเผลอเชื่อโดยไม่ได้ใคร่ครวญ