ฮีโร่ตัวจริง
หลังจากเก็บภาพภายนอกกันแล้ว พวกเราก็พากันเข้าไปเยือนพิพิธภัณฑ์ ภายในของพิพิธภัณฑ์แบ่งสัดส่วนไว้เป็นห้องต่างๆ มีทั้งห้องแสดงประวัติของคานธี ห้องหุ่นจำลองเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง และห้องแสดงการใช้ชีวิตของคานธี
รายละเอียดของสิ่งที่ตั้งแสดงเป็นเรื่องเล่าขานปากต่อปากเกี่ยวกับคานธีที่คุ้นหูกันนั่นเอง
ภาพถ่ายของคานธีในอิริยาบถต่างๆได้แสดงไว้ในบ้านหลังนี้พร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ
เรื่องจำลองชีวิตที่แสดงไว้ให้ภาพจำลองที่สังคมสมัยนั้นปฏิบัติต่อคานธี รวมไปถึงวิถีชีวิตประจำวันของคานธีด้วย
เห็นความสมถะของคานธีแล้วมาประกอบกับการที่คานธีมีพ่อเป็นถึงรัฐมนตรีทำให้ชีวิตคานธีมีมุมน่าสนใจในความรู้สึกของฉัน คานธีมีประสบการณ์อะไรจึงจูงใจให้เลือกใช้ชีวิตติดดินนะ
ภาพจำลองหุ่นขี้ผึ้งที่บรรจุไว้ในห้องกระจกเล็กๆเรียงรายอยู่ในห้องหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวให้เห็นภาพอดีต
ไปฟังเรื่องสมัยเด็กของคานธีก็เริ่มเห็นภาพความเป็นฮีโร่ของพ่อและแม่ของเขา คานธีได้รับการหล่อหลอมจากพ่อแม่ เขาจึงสามารถก้าวมาสู่ความเป็นผู้นำอย่างที่เขาเป็น
คานธีเป็นลูกคนสุดท้องใน ๔ คนของครอบครัว เมื่อเป็นเด็กเขามีร่างกายอ่อนแอ พูดน้อยและค่อนข้างจะขี้อาย ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง กลัวการหยอกล้อ ขี้ขลาด กลัวผี กลัวขโมยและสัตว์เลื้อยคลาน ไม่กล้ามองประตูเวลาค่ำ ไม่ชอบนอนในที่มืดเพราะคิดว่าผีจะมาหลอก กลัวจะมีขโมยมาทำร้ายหรือมีสัตว์มากัดเอา
คานธีเคยขโมยเงินไปซื้อบุหรี่สูบแล้วพ่อจับได้ พ่อของคานธีเป็นคนรักครอบครัว รักความสัตย์ แต่โกรธง่าย มีความเด็ดขาดในตัว ความกลัวพ่อทำให้คานธีตัดสินใจสารภาพผิดกับสิ่งที่ทำ พ่อเขาไม่ได้ลงโทษแต่กอดเขาและชมว่าเขาซื่อตรงและกล้าพูด
ฉันเชื่อว่าตอนนั้นวัยรุ่นอย่างคานธีคงแปลกใจกับพ่อ ความประทับใจที่ก่อเกิดจากคำชมของพ่อช่วยละลายความกลัวให้เขา เมื่อพ่อไม่ซ้ำเติมให้เขากลัวและละอายเขาก็ได้เรียนจากของจริง ได้รู้จักความต้องการที่แท้จริงของตัวเขา จนทำให้กลับมาสร้างตัวเองใหม่เก็บคุณสมบัติแห่งความซื่อตรงและความกล้าไว้กับตัวกลายเป็นคนใหม่
เป็นนักการเมืองทำได้อย่างนี้ จะไม่ให้คารวะพ่อของเขาว่าสมควรเป็นฮีโร่ของลูกยังงั้นหรือ
ห้องนอนที่ใช้จริงถูกจำลองมาแสดงให้เห็นในที่นี้ด้วย
ฉันเชื่อว่าอิทธิพลของพ่อนี่แหละที่ทำให้คานธีเข้าใจและได้ความคิดนี้มาไว้กำกับตัวเองและใช้ช่วยคนอื่น “น้ำตานั้นเป็นเหมือนสิ่งที่คอยชำระล้างความสกปรกของจิตใจให้ออกไป ถ้าคุณสร้างวินัยแบบนี้โดยผ่านทางความรัก มันจะเท่ากับสร้างมนุษยธรรมขึ้นในจิตใจ”
แม่ของคานธีนั้นเป็นสตรีที่เล่ากันมาว่าเคร่งศาสนามาก มักจะปฏิบัติศาสนาด้วยการถือศีลอดเป็นเวลาติดต่อกันนานๆและจะเลือกใช้การถือศีลอดลงโทษตัวเองเมื่อลูกทำผิด เมื่อใดที่ลั่นวาจาว่าจะอดอาหารเพื่อลงโทษ ก็จะรักษาคำพูดทำให้ดูอยู่เป็นนิจ
ฉันว่าคานธีมีแม่นี่แหละเป็นต้นแบบของการใช้วิธีอดอาหารสะท้อนความคิดที่ไม่เห็นด้วย
อีกส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะเป็นบอร์ดแสดงภาพและบันทึกเรื่องเล่าในประเด็นต่างๆไว้
ไม่ใคร่มีใครเล่าว่าพ่อและแม่ของคานธีใช้ชีวิตสมถะหรือเปล่า มีแต่เรื่องเล่าว่าที่พิพิธภัณฑ์มีเครื่องปั่นฝ้ายมาตั้งโชว์ไว้นั้น มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คานธีต้องปรับตัวเองเป็นคนสมถะ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ เกิดการประท้วงใหญ่ทั่วอินเดียเพื่อต่อต้านกฎหมายใหม่โดยคานธีและพวกไม่รู้ว่าฝ่ายปกครองอังกฤษออกกฎห้ามการชุมนุม เมื่อคนอินเดียจำนวน ๒,๐๐๐ คนไปชุมนุมกันที่เมืองอำมริสา กองทหารอังกฤษก็ส่งทหาร ๕๐ นายเข้าไปสลายการชุมนุม มีการใช้อาวุธปืนทำให้คนตายและบาดเจ็บ และหลังการสังหารหมู่นั้นก็ยังมีกฎหมายออกมาอีก ๑ ฉบับกำหนดให้คนอินเดียมีทางเลือกเพียง ๒ ทาง หนึ่งคือให้ค้อมตัวลงคลานเยี่ยงหนอน สองคือถ้าไม่ทำก็ต้องถูกโบยจนตาย
ก่อนที่จะเกิดการแก้แค้น คานธีได้พาตัวก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า “เราจะไม่ทำต่ออังกฤษ เหมือนเช่นที่นายพลดายเออร์ทำต่อเรา เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เราสามารถวางตัว ให้พ้นจากความรู้สึกเกลียดชังเช่นนั้น พวกเขาไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเพื่อน พวกเขาก็ต้องการการปลดปล่อยมากเท่า ๆ กับที่พวกเราต้องการเหมือนกัน…และเราควรยกย่องความกล้าหาญที่เงียบสงบของการตายด้วยการไม่ฆ่า”
คานธีใช้หลักเคารพการตัดสินใจของตนเองแล้วเดินหน้าไปพร้อมการยอมรับว่าไม่เป็นไรที่ทรรศนะคนอื่นแตกต่างแล้วค้าน…หรือเปล่า
๓ ปีหลังจากเหตุการณ์ที่อำมริสาเกิดขึ้น คานธีได้เปลี่ยนแปลงตัวเองทำตัวเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าง่าย ๆ แบบเดียวกันทุกวัน อดมื้อ กินมื้อ ละทิ้งความสะดวกสบาย เฉกเช่นเดียวกับผู้ยากจนที่สุด
และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพึ่งตนเอง คานธีชักชวนชาวอินเดียให้สวมเครื่องแต่งกายในแบบเรียบง่าย ของอินเดีย และให้ทอผ้าขึ้นใช้เอง โดยคานธีใช้เวลาวันละ ๑ ชั่วโมงทุกวันปั่นด้ายเอง เป็นตัวอย่างของการทำตัวง่ายๆนี้
เสื้อผ้าที่ผลิตจากตะวันตกถูกนำมาเผารวมกันเป็นกองใหญ่ เขากล่าวว่า “เสื้อผ้าของต่างชาติบ่งบอกว่า เราเป็นทาสทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก เราไม่อาจปลดปล่อยตัวเองจากความเป็นทาส การเผาเสื้อผ้าของต่างชาติจึงเป็นการฟอกจิตใจของพวกเราเอง”
การเปลี่ยนแปลงตัวเองของคานธีได้เปลี่ยนให้เกิดความสามัคคีของชาวฮินดู มุสลิม กรรมกร และพ่อค้า และทำให้คานธีชนะใจประชาชนอินเดีย และเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเคลือบแคลงเลยเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี
เรื่องของคานธีเหล่านี้สอนอะไรบ้าง ใครที่ได้อ่านลองถอดบทเรียนดูละกัน
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : เมื่อความบังเอิญเป็นเหตุ…ความต้องกันจะให้ผล
ความคิดเห็นสำหรับ "ฮีโร่ตัวจริง"