ถึงเมืองอัครา
จากเมือง FARIDABAD ไปยังเมืองอัครา ภาพในสองข้างทางชวนให้ทำความเข้าใจคนอินเดียไม่น้อย ชีวิตที่เห็นในเมืองหลวงอย่างเดลี โกลกาตาพอมาเห็นที่นี่ก็เป็นอีกแบบ จากเดลีมาถึงชนบทอย่าง FARIDABAD ชีวิตผู้คนก็มีมุมต่างไป
ริมทางในเดลีเห็นต้นไม้เขียวครึ้ม แต่ริมทางเมือง FARIDABAD นี้เห็นดินเห็นทรายพร้อมความโล่งหรือไม่ก็ตึกแถวอย่างที่เห็น
หลังจากเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อย รถก็นำพาเราไปจนถึงเมืองอัครา เมืองนี้เป็นเมืองชนบทที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่ามีมรดกโลกตั้งหลายแห่งอยู่ ทำให้นึกสงสัยว่าคุณสมบัติของความเป็นมรดกโลกของที่นี่คืออย่างไรเหมือนเมืองเก่าอยุธยาของบ้านเรามั๊ย
พวกเราไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวแต่ตามรอยวัฒนธรรมเพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดวิธีอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีหลากหลายวัฒนธรรม สถานที่ประวัติศาสตร์ของอินเดีย ทัชมาฮาล ป้อมอัครา เหล่านี้เป็นสถานที่ซึ่งเชื่อมโยงให้เข้าใจการเปลี่ยนผ่านของสังคมอินเดียทั้งนั้น
ถนนหนทางเชื่อมเมืองหลวง ใช้ช่องทางเดินรถเป็นอย่างนี้ รถอย่างนี้
เมื่อรถพาพวกเราเข้าไปถึงเขตเมืองอัครา ฉันไม่ใคร่รู้สึกเลยว่าเมืองนี้เป็นเมืองฝุ่น ความหนาแน่นของเขตเมืองที่ได้เห็นคล้ายๆตลาดเมืองบุรีรัมย์ ต่างกันเพียงความหนาแน่นบนท้องถนนอะไรอย่างนั้นแหละ
สองข้างทางแปลกเปลี่ยนไปเมื่อรถวิ่งเข้าชนบท รู้ว่าเป็นชนบทจากรถลากพ่วงอย่างที่เห็น
สถานที่ซึ่งรถพาเราแวะพักกินมื้อเที่ยงเป็นที่ซึ่งคืนนี้เราจะอาศัยนอน โรงแรมนี้ไม่หรูเท่าในเดลี ไม่มีประตูเอ็กซเรย์ให้ต้องเดินผ่าน มียามคอยเฝ้าประตูใส่เสื้อสีจัดจ้านตัดผิวน่าดูเชียว อาหารมื้อเที่ยงของวันนี้เหมือนที่เคยกิน มีเนื้อสัตว์ให้กินด้วย อิ่มกันแล้วก็เตรียมตัวไปเยี่ยมถิ่นมรดกโลกกัน
รถบรรทุกเป็นหลักฐานเดียว ที่พอจะบอกได้ว่าเมือง FARIDABAD แห่งนี้ มีเศรษฐกิจการค้าที่เดินสะพัดซ่อนอยู่
สภาพเมืองที่เห็นเหมือนชนบทของเมือง FARIDABAD นั้นดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่ามีเงินสะพัด แต่ถ้าเคยเห็นสภาพเมืองสุดเขตแดนของบ้านเราจะเชื่อได้เลยว่าสิ่งที่เห็นมันหลอกตา
หลักฐานยืนยันว่าคนอินเดียเป็นคนช่างขาย อยู่บนป้ายร้านและต้นไม้ริมถนนเข้าเมืองอัครา
พูดถึงมรดกโลก อินเดียมีประวัติศาสตร์ถึง ๕,๐๐๐ ปีจึงทำให้มีมรดกโลกอยู่ถึง ๒๗ แห่ง เป็นมรดกธรรมชาติ ๕ แห่ง และมรดกวัฒนธรรม ๒๒ แห่ง คนเลือกมรดกโลกคือยูเนสโก เขาจะเลือกสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่การปกป้องให้ได้ตกทอดไปถึงอนาคตแล้วขึ้นทะเบียนให้ เริ่มทำมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕
ความเป็นคนใจกว้างเรื่องศาสนาและการปกครองมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์แล้วของอินเดียมีสิ่งปลูกสร้างพวกนี้แหละเป็นหลักฐานยืนยัน ความรุ่งเรืองที่เปลี่ยนสมัยยืนยันว่ากษัตริย์ผู้ก่อกำเนิดโบราณสถานกลุ่มนี้มีทั้งผู้เป็นเอกอัครนูปถัมภกในศาสนาฮินดู เชน พุทธ ฮินดู และคริสต์
ทิวทัศน์ระหว่างแวะกินมื้อเที่ยง สบายตาและเต็มไปด้วยสีสัน
ขอวกมาเล่าเรื่องมะม่วงอินเดียอีกหน่อย ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เมื่อราชวงศ์โมกุลปกครองอินเดีย มะม่วงได้รับการยกย่องเป็นต้นไม้ในพระบรมราชาอุปถัมภ์และเป็นผลไม้ที่สำคัญที่สุดในสมัยประวัติศาสตร์
กษัตริย์ที่หลงใหลมะม่วงที่สุด คือ พระเจ้าอัคบาร์มหาราช พระองค์ถึงกับให้ปลูกมะม่วงพันธุ์ลัคบาซึ่งถือว่าดีที่สุดในสมัยนั้นไว้ในสวนใหญ่ใกล้ดาระภังค์ เป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ต้นในพ.ศ. ๒๐๐๙- ๒๑๔๘ (ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๖๐๕)
ช่วงเวลาที่เริ่มปลูกมะม่วงของอินเดียยุคนี้ตรงกับเวลาที่พระบรมธาตุเจ้าศรีจอมทองได้รับการบูรณะขึ้นในวัดจอมทอง เมืองเชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทองนี้มีเรื่องราวเกี่ยวพันด้านวัฒนธรรมกับอินเดียด้วยนะ รู้กันหรือเปล่า การปลูกสิ้นสุดลงตรงกับปีที่สมเด็จพระนเรศวรของเราเสด็จสวรรคต
๗ สิงหาคม ๒๕๕๓
Next : จากเชียงใหม่สู่ทัชมาฮาล » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ถึงเมืองอัครา"