อยากให้ลอง
ก่อนงานหลักที่ตั้งใจมาทำกันเป็นงานแรกที่เดลีสิ้นสุดลง ท่านทูตได้แยกตัวจากกลุ่มของเรากลับก่อน มารู้ทีหลังว่าที่ท่านแยกตัวกลับก่อนเพราะมีพวกเราไม่สบายแล้วท่านพาตัวกลับไปพักผ่อนรอที่สถานทูต แล้วท่านจึงเดินทางต่อไปปฏิบัติภารกิจของท่าน ขอบคุณแทนเพื่อนๆนะคะท่าน
วันนี้ตอนที่ท่านมาร่วมฟัง มีชายหนุ่มคนหนึ่งติดตามมาด้วย มารู้จักทีหลังว่าเป็นทูตทหารเรือ เมื่อมีการแนะนำตัวกันที่สถานทูต
ชีวิตริมถนนในกรุงเดลีอยู่กับความร่มรื่นและเป็นระเบียบงามตากว่าที่เห็นในโกลกาตาเนอะ
ออกจาก IPCS กันแล้ว พวกเราไม่ได้ตรงดิ่งไปสถานทูตกันหรอก สถานที่ที่ตรงดิ่งกันไปเป็นตลาดที่มีช๊อปเล็กๆให้เดินช๊อปปิ้ง ขนาดตลาดไม่ได้โตนัก ใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ นาทีก็เดินทั่วทุกร้านแล้ว
สินค้าที่มีขายอยู่ในช๊อป บ้างเป็นหนังสือ บ้างเป็นเครื่องหอมแฮนเมด บ้างเป็นเสื้อผ้าหรูๆแบบในห้าง ราคาเรียกได้ว่าแพง เมื่อเทียบกับลุคส์เสื้อผ้าที่ได้เห็น แต่แพงก็มีคนซื้อนะ รักษาอัตลักษณ์คนไทยจริงจริ๊ง
พวกเราใช้เวลาโต๋เต๋อยู่ที่นี่ราวๆครึ่งชั่วโมงก็ผละมา ลุงเอก น้องโอมกับฉันได้แต่เดินซึมซับบรรยากาศคุยกันไปศึกษาสินค้าอินเดียกันไปเท่านั้นเอง
ขณะเดินกลับมาด้วยกันเพื่อขึ้นรถ ฉันเหลือบเห็นเพื่อนเข้าไปอัดกันอยู่ในร้านหนึ่ง ขนาดเล็กเท่ารังหนู น่าฉงนไปออซื้ออะไรกัน เลยแวะดูกัน
มีคนแวะซื้อเฮ็นน่าเพื่อนำไปใช้เปลี่ยนสีผมนี่เอง คนซื้อเล่าว่าใช้ดีผมไม่เสีย เคยใช้แล้ว คราวนี้มาเองขอซื้อไปเยอะๆหน่อยเหอะ ว่าแล้วก็ขอซื้อเหมาหมดร้านซะเลย บรรจุภัณฑ์ในมือที่เห็นไม่ได้เลิศเลอ มองเผินเหมือนแป้งซองมองเล่ยะยังไงยังงั้น เสียดายที่ลืมถ่ายรูปมาให้ดู
ตลาดเล็กๆที่เล่าน่าจะเป็นตลาดของมนุษย์เงินเดือนนะ ดูจากลักษณะของ”พื้น” ที่เห็นนี่แหละค่ะ
ถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางไปสถานทูตไทยประจำกรุงเดลีแล้วละ เย็นนี้พวกเรามีลาภปากจะได้กินอาหารไทยที่สถานทูตกัน
รถพาเราไปถึงหน้าสถานทูตยังไม่มืด พาตัวเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน อาคารสถานทูตอายุหลายร้อยปีที่เห็น แผ่รังสีให้รู้สึกอบอุ่นค่ะ
กว่าจะเข้าไปพร้อมกันได้หมดในห้องรับรอง เพื่อนหลายคนก็ใช้เวลาผ่านด่านกันหลายด่าน ด่านแรกที่ใช้เวลากันไปเป็นเรื่องของซีนถ่ายรูปรอบๆสถานทูตที่ช่วยกันหามุม ด่านต่อมาเป็นด่านผ้าทอของอินเดียที่ท่านทูตนัดพ่อค้าให้นำสินค้ามาวางรอล่อตาล่อใจอยู่แล้ว แม้เวลาที่ให้ผ่านด่านจะมีน้อย ก็ยังมีคนช๊อปไวคว้าสินค้าได้หลายชิ้น
บรรยากาศของหน่วยราชการ สำนักงานการเคหะอินเดีย ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าไปยังตลาดข้างบน
ที่แปลกก็คือสินค้าที่ชวนให้มาวางตั้งราคาในอัตราที่เรียกว่าโก่งก็ได้นะ เจ้าหน้าที่ของสถานทูตก็ไม่สามารถใช้บารมีทำให้ลดได้ ที่พ่อค้าตั้งราคาสินค้าสูงได้มีเฉลยนะ ขอยกไปบอกตอนท้ายบันทึกละกัน
เมื่อพวกเราพร้อมกันแล้ว หลังท่านทูตกล่าวต้อนรับ พวกเราก็ได้เรียนรู้อินเดียเพิ่มจากผู้แทนของประเทศไทยที่ทำงานอยู่ในสถานทูตหลายหน่วยด้วยกัน เริ่มต้นจากท่านทูตเอง
ฉันเพิ่งรู้จากที่ท่านเล่านี่แหละว่าอินเดียเป็นประเทศใหญ่เป็นอันดับ ๗ ของโลก การปกครองรัฐที่ชัดเจนขึ้นในสมองก็คือแม้ภาพรวมการปกครองของเขาจะเป็นแบบประชาธิปไตยแบบระบบรัฐสภา แต่เมื่อมองแยกย่อย การปกครองของเขาในระดับท้องถิ่นกลับมีรูปแบบผสมผสานกัน นอกจากความเป็นรัฐที่มี ๒๘ รัฐ อินเดียยังมีดินแดนสหภาพอยู่อีก ๗ เขตด้วย
บรรยากาศนอกรั้ว ในรั้ว และภายในอาคารสถานทูตไทย หลักฐานนี้บอกว่าคำว่า “วิสัยทัศน์” เกิดขึ้นในประเทศไทยมายาวนานเป็นร้อยปีแล้ว
ภาพที่เห็นนี้ทำให้มองเห็นชัดว่าทำไมอินเดียจึงยังคงชนเผ่าเล็กๆที่มีวัฒนธรรมเฉพาะของเขาเอาไว้ได้ เข้าใจภาพการปกครองแบบประชาธิปไตยที่คงรักษาไว้ซึ่งพหุวัฒนธรรมมากขึ้น ลักษณะอย่างนี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทย มีอีกหลายอย่างที่บ้านเราต้องปรับตัว
ดีใจกับพรรคพวกที่ร่วมมือกันทำงานวิชาการของสมาชิก ๔ส. ทุกรุ่นที่จะมีส่วนขับเคลื่อนให้ความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของเมืองไทยคงไว้ได้แบบอินเดียรักษาวัฒนธรรมตัวเองไว้ได้แฮะ
อีกภาพที่ชัดขึ้นก็เป็นเรื่องการนับถือศาสนาพุทธ เมื่อนับกันมาเทียบ ที่ฉันเข้าใจว่าคนพุทธในอินเดียน่าจะเยอะเหมือนบ้านเรา กลับไม่ใช่แฮะ เพราะอินเดียแยกแยะคนนับถือศาสนาไว้เพียง ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกฮินดูปาเข้าไปถึง ๘๑% อันดับสองรองลงมาเป็นมุสลิม กลุ่มสุดท้ายเป็นคนศาสนาอื่นๆ และเขาก็ไม่แจงนับแตกกลุ่มศาสนาอื่นๆเลยหละ
ได้รู้จักหน้าตาของผู้นำประเทศอินเดีย ๒ ท่านด้วย แต่ไม่รู้ว่าทั้งประธานาธิบดีประติภา ปติล (Prathiba Patil) และนายกรัฐมนตรีมันโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) วรรณะอะไร
นายกรัฐมนตรีของอินเดียท่านนี้อยู่พรรคคองเกรส นายกรัฐมนตรีมันโมฮัน ซิงห์ ของอินเดีย จะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 หลังพันธมิตรนำโดยพรรคคองเกรสของเขาคว้าชัยชนะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดมาครองได้
ผู้แทนของหลายกระทรวงมาร่วมให้ความรู้อินเดียให้พวกเราฟังอย่างจุใจ การค้า การทหาร การทูต ครบเครื่องทุกด้าน
ผู้นำแดนภารตะวัย ๗๖ ปี พร้อมคณะรัฐมนตรีรวม ๖๐ คน มีกำหนดเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งต่อหน้าประธานาธิบดีประติภา ปาติล ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงนิวเดลีช่วงค่ำวันศุกร์ โดยนายซิงห์นับเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฉายาว่า “มิสเตอร์คลีน” จากภาพพจน์นักการเมืองมือสะอาด เขากลับมาดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัยหลังครบวาระเทอมแรก
เห็นจำนวนรัฐมนตรีของเขาแล้วนึกถึงกลุ่ม ๔ส.ขึ้นมาตะหงิดแฮะ องค์คณะของ ๔ส.นี้ใหญ่กว่าครม.อินเดียเลยนะ
รัฐบาลผสมของเขากวาดที่นั่งจากการเลือกตั้งได้ ๒๖๒ ที่นั่งจากทั้งหมด ๕๔๓ ที่นั่ง ขาดไป ๑๐ เสียงก็จะได้เสียงข้างมากแล้ว พรรคการเมืองที่เขาดึงมาร่วมเพื่อตั้งรัฐบาลผสมเป็นพรรคการเมืองระดับท้องถิ่น ซึ่งทำให้เขามีในสภาเพิ่มเป็น ๓๒๒ มือ
เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ นี้เองที่นายซิงห์กำลังจัดตั้งรัฐบาลอยู่ กระทรวงที่อยู่ในมือของพรรคเขามีทั้งคลัง กลาโหม ต่างประเทศ และความมั่นคงภายใน ใหญ่ๆทั้งนั้น กระทรวงรถไฟและโทรคมนาคม เป็นโควต้าของพรรคร่วมรัฐบาล
ท่านทูตมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกมากมาย จะทะยอยเล่าผ่านบันทึกต่อๆไปนะคะ วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ท่านเอ่ยคำว่า “อยากให้ลอง” ก่อน
การที่ท่านให้พ่อค้าผ้านำสินค้ามาเสนอขายกับพวกเรา ๔ส.๒ โดยไม่ตกลงราคาอะไรไว้ก่อนหน้า นั่นนะท่านกำลังให้พวกเราเรียนรู้การค้ากับอินเดียนะเออ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากเรียนเรื่องของการทำการค้า หลายคนๆซึ้งใจกับฝีมือตัวเองเลยเชียวที่สามารถต่อรองราคาจากตัวเลข ๔ หลัก ลงมาเหลือราคาหารสี่ หารห้าจากราคาขายตอนเริ่มต้น ในขณะที่มีคนด้อยฝีมือกว่าซื้อสินค้าในราคาแค่ลดเปอร์เซ็นเลขหลักเดียวเท่านั้น
Next : มหาวิทยาลัยสร้างชาติ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "อยากให้ลอง"