ชวนให้นึกถึงบ้านเราแฮะ
วันนี้เพื่อนๆตื่นกันแต่เช้า เมื่อฉันกับน้องหมอมมาที่ห้องอาหารเช้าเพื่อนๆหลายคนอิ่มท้องกันแล้ว อาหารเช้านี้เป็นเมนูเดียวกับเมื่อวานเป็นส่วนใหญ่ ฉันจึงไม่โอ้เอ้เลือกมากินจนได้เวลาที่ถูกตามขึ้นรถ
หลายคนชวนกันเก็บภาพตัวเองไว้เป็นที่ระลึกก่อนล้อเลื่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆที่เคยห่างขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น พี่เสริฐ พี่หนุ่ย พี่จุก พี่เปี๊ยก พี่หงวน พี่หรั่ง หน้าตาแจ่มใส นักวิชาการใหญ่อย่างพี่วิชช์ พี่โจ ดูสบายๆผ่อนคลายกว่าเดิม
บรรยากาศในตอนเช้าก่อนออกจากรีสอร์ทมีลมแรงพัดมาบอกว่ามีหวังเจอฝน แล้วก็เจอจริงๆ
ฉันเพิ่งรู้ว่าระยะทางจากโกลกาตามายังรีสอร์ทที่พักยาว ๖๐ กิโลเมตร เดินทางเกือบ ๒ ชั่วโมงอย่างเมื่อคืนแปลว่าที่กำหนดให้รถวิ่งได้เร็ว ๔๐ กม./ชม. เป็นของจริงที่ประชาชนอินเดียเขาปฏิบัติกันได้จริงๆนะนี่ น่าสนใจเนอะว่าอะไรทำให้คนอินเดียไม่แหกกฏแอบวิ่งเร็วกว่านี้
ข้าวผัดใส่ถั่วลิสงและเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่ว และแป้งปั้นอุตะปัม ดูแล้วแปลได้ว่า คนอินเดียมีวิถีที่้ต้องใช้กำลังกายตลอดวัน
รถพาออกจากรีสอร์ทด้วยเส้นทางเดิม ออกมาไม่นาน ฝนก็ตกพรำๆเป็นฝนที่ตกไม่ทั่วฟ้าเพราะบนเส้นทางบางช่วงไม่มีฝนเลย บางช่วงก็มีร่องรอยว่าตกมาก่อนหน้าแล้ว ความแออัดบนท้องถนนมีอยู่บ้างตรงช่วงที่เป็นทางแยกเข้าตลาด แดดยังไม่แรง ฟ้ามีเมฆหนาให้เห็น มองเห็นเมฆฝนบางๆอยู่ลิบๆ
เส้นทางที่รถวิ่งผ่านที่ว่างโล่งจะไม่เห็นป้ายใหญ่ๆเหมือนในกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ของบ้านเรา มาเห็นอีกทีเมื่อรถวิ่งเข้าเขตเมือง ป้ายที่เห็นเป็นสินค้าประเภทสาธารณูปโภค รูปดาราซะมากกว่าสินค้าบริโภคนิยมอย่างบ้านเรา
สตรีที่เห็นผ่านตาบนแผ่นป้ายข้างถนนอยู่ในชุดส่าหรีทั้งนั้นเลย
รถวิ่งผ่านสะพานข้ามแม่น้ำฮูคลีย์ด้วย แม่น้ำแห่งนี้เป็นส่วนของแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านเมืองโกลกาตา สะพานนี้มีหน้าตาคล้ายสะพานพระรามหกบ้านเรา มีชื่อเรียกว่า สะพานฮาว์ร่าห์ นับตามอายุกันแล้วสะพานพระรามหกบ้านเราแก่กว่าราวๆ ๒ รอบครึ่ง ดูตามอายุแล้วถือว่าสะพานทั้ง ๒ แห่งเป็นโบราณวัตถุหรือโบราณสถานละนี่ สะพานพระรามหกสร้าง พ.ศ. ๒๔๖๕-๒๔๖๙ ซ่อมแซม พ.ศ. ๒๔๙๖ สะพานฮาว์ร่าห์สร้างพ.ศ. ๒๔๙๔
ผ่านการเดินทางร่วมกันหนึ่งคืน-หนึ่งวัน ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนดูเอาเองค่ะ
ริมทางที่รถวิ่งผ่านเช้านี้ มีผู้คนยืนอยู่บางตา เห็นแล้วนึกอิจฉาคนอินเดียที่เวลาทำงานของเขาไม่เช้าอย่างบ้านเรา น้องนุชกับไกด์ท้องถิ่นเริ่มส่งเสียงเล่าเรื่องสถานที่ที่กำลังนำพาพวกเราไปทันทีที่ล้อเลื่อน
บนเส้นทางช่วงหนึ่ง มีพื้นที่ว่างโล่งคล้ายทุ่งหญ้าที่ไม่ใช้ทำการเกษตรมีน้ำลุ่มขัง สงสัยว่าจะเป็นแก้มลิงให้กับเมืองนี้มั๊ง เห็นแล้วก็แวบไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมในอินเดียที่เคยเห็นในข่าว ไม่รู้ว่าพื้นที่ที่เห็นอยู่นี้เคยมีน้ำท่วมใหญ่บ่อยครั้งแค่ไหน ท่วมแล้วบ้านเรือนที่เห็นๆอยู่เป็นยังไงบ้าง
มีบ้านเรือนอยู่โดยรอบพื้นที่แก้มลิงหนาตาเหมือนกัน บนทางด่วนเห็นแต่รถบรรทุกและรถบัส ป้ายบอกทางมักจะเห็นตรงแยกใต้ทางด่วน
แล้วก็นึกเลยเถิดไปถึงเรื่องเหตุการณ์เตือนเรื่องน้ำท่วมโลกที่เป็นผลมาจากโลกร้อน มีผู้รู้ทำนายไว้ว่าในเวลา ๑๐ ปีข้างหน้า กรุงเทพฯบ้านเราจะจมน้ำ โกลกาตาเองก็คงหนีไม่พ้นจากภัยธรรมชาตินี้เช่นกันเพราะมีแม่น้ำที่มีต้นน้ำมาจากน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย ไม่รู้ว่าตอนที่รัฐบาลโกลกาตาเขาคิดย้ายเมืองมาจากเหตุผลนั้ด้วยหรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่เมื่อเทียบกับบ้านเราก็น่าสนใจกับการมองอนาคตและการจัดการกันไว้ดีกว่าแก้ของเขานะคะในขณะที่บ้านเรายังไม่ขยับอะไรกันเลยอย่างนี้
วันนี้รถพาเราวิ่งผ่านเมืองสร้างใหม่แล้วเบี่ยงผ่านไปวิ่งบนทางด่วน ถนนบนทางด่วนว่างและโล่ง คนอื่นจะรู้สึกอย่างไรฉันไม่รู้หรอก ทางด่วนของเขาดูง่ายๆสลายๆในความรู้สึกของฉันค่ะ ถนนหนทางธรรมดาที่ผ่านตามาแล้วเป็นถนนที่เรียกว่าแคบถ้าใช้ความรู้สึกของคนเมืองหลวง
ถนนในแถบชานเมืองแคบพอๆกับถนนซอย ถนนในใจกลางเมืองที่กว้างหน่อยก็ยังแคบกว่าถนนราชดำเนินหรือถนนเพลินจิตในเมืองกรุง สองฟากถนนมีผู้คนเดินอยู่บ้าง ยืนรอรถบ้าง ถีบจักรยานบ้าง ลองจินตนาการดูเอาเถิดว่าขับรถเร็วกว่า ๔๐ กม./ชั่วโมงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
ถนนและสองฟากถนนเป็นอย่างที่เห็น คนอินเดียเขาจึงบอกว่า ขับรถในอินเดียต้องมี ๓ ดี คือ เบรคดี แตรดี และโชคดี
ขณะที่รถวิ่งอยู่บนสะพานฮูคลี่ย์ ไม่ใคร่รู้สึกถึงความกว้างของแม่น้ำเท่าไรเลย นึกไม่ออกด้วยว่าความเป็นเมืองท่าของโกลกาตา ณ เวลานี้ มีหน้าตาเป็นยังไง
พูดถึงความเป็นเมืองท่าแล้ว ฉันเพิ่งรู้ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ โกลกาตาเคยเป็นฐานทัพอากาศส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่อ่าวสัตหีบ ฐานทัพนี้ชื่อฐานทัพดิกริด
๕ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : ท้องกิ่วจนได้เรื่องดีๆ
Next : เอ๋อ….เหวอ….เอาไงดี » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ชวนให้นึกถึงบ้านเราแฮะ"