ท้องกิ่วจนได้เรื่องดีๆ

อ่าน: 1546

เมื่อพวกเราเดินทางกันไปยังจุดหมาย ปรากฏว่าถนนสายที่ร้านอาหารนี้ตั้งอยู่รถบัสไม่สามารถเข้าไปจอดได้ รถจึงต้องจอดให้ลงกันที่อีกถนนหนึ่งแล้วลงเดินกันไป

ขณะที่พวกเราเดินตามกันมาตามทางเท้าพระพิรุณพรมน้ำลงมาจากฟ้าเบาๆพอดี  คนที่มีร่มติดตัวจึงได้มีโอกาสให้น้ำใจเล็กๆกับคนอื่น

บนทางเท้าที่เดินผ่านกันมามีคนอินเดียผู้ชายเท่านั้นที่เดินสวนไปมา เห็นคนอินเดียผู้หญิงบ้าง เธอกระเตงลูกยืนรีๆรอๆอยู่ใต้ชายคาอาคาร

แต่ละคนที่ได้แวบเห็น ทั้งชายหญิงผิวคล้ำๆดำๆทั้งนั้น คนในภาคใต้ของเราว่าผิวคล้ำแล้ว คนอินเดียที่เห็นตรงหน้าคล้ำกว่าเยอะเลย

เมื่อเดินถึงที่หมายพวกเรางง มองเข้าไปไม่เห็นมีลักษณะเหมือนร้านอาหาร ปรากฏว่าต้องขึ้นลิฟท์ไปอีกทอดจึงใช่

ก่อนพาตัวไปนั่งโต๊ะ หลายคนที่ก๊อกเต็มอั้นแวะปล่อยน้ำ  ปรากฏว่ามีสถานที่รองรับแค่เพศละห้องต่อชั้น แถมห้องน้ำผู้หญิงชั้นเดียวกับร้านอาหารปิดซ่อมซะอีก เพื่อนผู้ชายเลยใช้วิธีเข้าไปทีเดียวหลายคนและแบ่งปันคิวห้องให้ผู้หญิงใช้ด้วย

บรรยากาศในร้านอาหารชั้นบนของโรงแรมที่ไม่รู้ชื่อ วงเพลงตั้งวงกล่อมให้คลายอารมณ์อยู่หลังฉากที่เห็นนั่นแหละค่ะ

สบายตัวกันแล้วก็เข้าไปร้านอาหาร ภายในของร้านจัดไว้คล้ายร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรา

กว่าจะมาถึงร้าน ความหิวได้มาสะกิดจนทำให้เพื่อนคนหนึ่งไม่สบายท้อง เทียวไปเทียวมาเข้าห้องน้ำด้วยเข้าใจว่าจะท้องเสีย จู่ๆก็หายไปไม่มีใครรู้

แต่ฉันรู้เพราะเขาบ่นเปรยๆให้ได้ยินก่อนฉันเข้ามาในร้านจึงออกมาตามหาตัว พบเขาพยายามดูแลตัวเองอย่างเงียบๆอยู่ตรงลานหน้าร้าน เดินไปเดินมาแบบไม่รู้จะทำยังไง จะขอให้เพื่อนๆช่วยก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรทำนองนั้น

เมื่อถามอาการเขาปฏิเสธอีกแนะว่าดูแลตัวเองไปแล้ว ฉันก็เลยใช้วิธีบังคับ “นอนลงซะดีๆไอ้น้อง พี่ขอตรวจดูหน่อยว่าเป็นอะไร” อ๊ะๆๆๆ…อย่าตกใจค่ะ…ฉันไม่ให้เขานอนบนพื้นหรอก โชคดีตรงลานหน้าห้อง มีเก้าอี้รับแขกตัวยาวๆวางอยู่ เพียงแต่มันวางอยู่ในลานโล่ง ใครเดินมาเข้าห้องน้ำจะเห็นชัดแค่นั้นเอง

เห็นความลังเลหันมองซ้ายขวาก่อนจะล้มตัวนอนตามเจ๊สั่ง ฉันก็สัมผัสว่าเขาอายผู้คนที่มานอนยาวตรงนั้น จึงเอาตัวบังเขาไว้ระหว่างที่เขาล้มตัวนอน ชวนคุยไปเรื่อยๆ พร้อมลงมือคลำๆๆๆ  แล้วก็โล่งใจ ไม่ใช่ไส้ติ่งอักเสบแน่นอน สงสัยจะเป็นนิ่วที่กำลังหลุดลงมาตามท่อไต

เมื่อฉันบอกข้อวินิจฉัยให้รู้ เขาสีหน้าดีขึ้น อืม….สงสัยคิดเดาไปเองว่า ตูเป็นไส้ติ่งซะละมั๊ง มันจึงได้ปวดขนาดนี้ แล้วกลัวเนอะ

ฉันคงหายตัวออกมานานจึงมีเพื่อนหลายคนตามหา  พี่แดงตามมาด้วยทำให้มีผู้ช่วยหายาให้

เมื่อหนุ่มน้อยอินเดียได้มาร่วมวงเพลงก็ติดใจ คอยดูแลอยู่ไม่ห่างโต๊ะเลย ระหว่างโต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กัน

ฉันกลับเข้ามาที่ร้านอาหาร พระเจ้าช่วยกล้วยทอด คนอินเดียเขาใจเย็นสมคำร่ำลือจริงๆ  หลังจากจานแรกถูกนำมาเสิร์ฟแบ่งให้กันกินได้คนละชิ้น จานที่ ๒ ยังไม่ยกมาให้เลย นึกถึงบรรยากาศกินเลี้ยงในงานโต๊ะจีนดูนะคะ รอคล้ายๆอย่างนั้นแหละค่ะแต่นานน๊านนาน

เวลาแบ่งกันกินมีพนักงานเสิร์ฟคอยจัดการหยิบแบ่งให้ มิได้วางจานไว้ให้พวกเราจัดการเองเหมือนกินเลี้ยงโต๊ะจีน

ร้านนี้ถ้าเปิดขายในภูเก็ตหรือกระบี่ฉันว่าเจ๊งแน่ ท่านกงสุลตั้งใจเลือกให้พวกเราแสดงว่ามีความพิเศษซ่อนอยู่ เมื่อลองพิศอีกมุม ฉันก็เห็นมุมบวกของการทำอะไรช้าๆขึ้นมาแฮะ

จะว่าไปแล้วบรรยากาศร้านนี้เหมาะสำหรับให้คนมานั่งสนทนากันมากๆค่ะ  ไม่รีบร้อนกับการกิน ไม่เสียสมาธิกับการคุย ด้วยมีเวลาว่างจากการกิน บรรยากาศดีๆนี้ท่านกงสุลตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมอบเป็นห้องเรียนยามค่ำให้พวกเราได้สานเสวนากันเลยหละ

แต่วันนี้พวกเราล่าช้ามากแถมไม่ได้รองท้องมาก่อนกันเหนียวทั้งๆที่ได้บทเรียนความช้าอย่างอาหารเช้ามาแล้วก็ยังไม่ไหวทัน  โสน้าหน้าตัวเองที่ไม่ช่างสังเกต เรียนรู้ช้า ท้องจึงหิวกิ่วจนเป็นเรื่อง ไม่ได้ว่าใครนะคะว่าตัวเองค่ะ ก็ฉันรู้สึกหิวจนท้องกิ่วเหมือนกันนี่นา ….5555

ระหว่างคอยอาหาร เพื่อนๆส่วนหนึ่งก็ตั้งวง อ๊ะ…อ๊ะ….อย่าคิดด้านลบๆๆ……วงที่ว่านี่คือวงเพลงค่ะ

น้องยะทำอีท่าไหนไม่รู้ หลอกล่อให้พนักงานเสิร์ฟวัยละอ่่อน มาร้องเพลงอินตระเดียให้ฟัง ผลัดกันเป็นนักร้องและลูกคู่เป็นที่สนุกสนาน

ระหว่างการตั้งวง มีผู้หญิงลุกจากโต๊ะอื่นมาแจมด้วย มีคุณเซี๊ย อาจารย์หน่อย

ขอบคุณน้องสุชาติ ที่ร้องเพลงไทยขอบคุณท่านกงสุลแทนพวกเราทุกคน

วงเพลงร้องเพลงกันไป รออาหารกันไป อย่างไม่ทุกข์ร้อน อีก ๓ วงก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ  วงหนึ่งนั่งคุยกันเอง วงหนึ่งนั่งคุยแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนหญิงชาย อีกวงมีลุงเอก ท่านกงสุล ประธานรุ่น และพี่ๆที่อาวุโสกว่าใครในรุ่นนั่งคุยกัน

เมื่ออาหารรายการที่ ๒-๓ ถูกนำมาเสิร์ฟ คนไข้ของฉันก็พาตัวเข้ามาร่วมวงกับเพื่อนๆได้แล้ว  อาหารมาท้องที่เรียกร้องก็ทำให้ปากไม่ว่างร้องเพลงกันแล้ว  เสียงในห้องอาหารจึงเงียบลง

แต่เสียงที่โต๊ะฉันไม่ได้เงียบหรอกนะ เรานั่งบ่นกันเบาๆ ก็ที่โต๊ะอื่นได้อาหารกันไปแล้วครบเมนู โต๊ะเราก็ยังไม่มีอาหารกิน ทวงถามไปที่คนเสิร์ฟ เขาก็พยักหน้าแบบรับรู้ และก็แค่รับรู้จริงๆ เพราะจนแล้วจนรอดอาหารที่ยกมาให้โต๊ะเรามีแค่ ๓ เมนู จนกระทั่งลุงเอกเดินมาเยี่ยมโต๊ะ แล้วไม่เห็นเมนูที่โต๊ะลุงเอกมี นั่นแหละจึงได้อาหารมา แต่อารมณ์วัยรุ่นเดอะเซ็งแล้ว อาหารที่นำเสิร์ฟให้จึงถูกเมิน

บทเรียนจากโต๊ะอาหาร ก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า วัฒนธรรมที่แตกต่างของคน ความคุ้นชินของคน เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งได้ หาก “ใจคนไม่นิ่งพอ”  การนิ่งในที่นี้ฉัันหมายถึง การนิ่งที่ประดับด้วยความไม่ติดใจ ให้อภัย ปลดอารมณ์ขุ่นเคืองไว้นอกจิตใจได้นะคะ

ส่วนหนึ่งก็ห้อมล้อมอยู่ด้านหน้า ส่งใจขอบคุณ ขวามือเป็นดอกทานตะวันอินเดียมั๊ง เห็นลอยน้ำอยู่สวยดี เก็บภาพไว้ซะเลย

เมื่ออิ่มกันแล้ว ประธานก็ชวนพวกเรากล่าวคำขอบคุณท่านกงสุลและขออำลา น้องต้น(สุชาติ ชวางกูร) ทำหน้าที่เป็นผู้ขออำลาผ่านบทเพลงที่ขับขานด้วยเสียงที่แสนไพเราะ ชวนฟัง มีน้องยะ เล่นดนตรีคลอตาม

เวลานั้นฉันก็เรียนรู้ความรู้สึกเหมือนกันว่า ในยามที่อยู่ไกลบ้าน เสียงเพลงจากคนภาษาเดียวกัน สร้างความชื่นใจให้ไม่เบาเลย

มอบของที่ระลึกให้ท่านกงสุลแล้ว พวกเราก็ชวนกันลงมาชั้นล่าง ปรากฏว่าหลงทางออก เิดินวนเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกของชั้นล่าง จึงทำให้มีโอกาสเห็นหนุ่มวัยทำงานของอินเดียที่ชวนกันมาสังสรรค์กินอาหารร่วมกัน ไม่เห็นอบายมุขที่เขาเสพอย่างบุหรี่ ไม่เห็นเครื่องดื่มอย่างเหล้าเบียร์บนโต๊ะของเขา เห็นสาวอินเดียควงมาด้วยแค่คนสองคน ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มทั้งนั้นเลย

ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ในโรงแรมค่ะ เสียดายที่ไม่รู้ชื่อ เวลาที่พวกเราออกมาจากร้านอาหารแห่งนี้เป็นเวลา ๔ ทุ่มแล้ว

เมื่อออกจากร้าน พวกเราก็ตั้งใจว่าจะเดินไปขึ้นรถ แต่ปรากฏว่ามีดาวรุ่งมาสกัด รปภ.หน้าโรงแรมนั่นเอง เขาเข้ามาบอกว่า ให้ยืนรอให้พร้อมหลายคนก่อนแล้วค่อยเดินไปพร้อมกัน  ที่จริงรปภ.เขาได้ข้อมูลว่าจะมีรถมารับพวกเราที่หน้าโรงแรม เขาจึงดึงพวกเราให้รอค่ะ

ระหว่างยืนรอกัน หญิงอินเดียที่เห็นกระเตงลูก พาตัวเข้ามาหาพี่เชียร (วิเชียร คุตตวัส) และแบมือขอเงิน พี่เชียรมองหน้าเธอหรือเปล่าฉันไม่รู้ รู้แต่ว่า เธอแบมือขอได้แค่แป๊บเดียว รปภ.ก็มาไล่เธอให้ห่างจากกลุ่มของเรา

เมื่อมารอกันอยู่หลายคนแล้ว พวกเราก็ชวนกันเดินมาขึ้นรถ ไม่รอรถให้เข้ามารับ เพราะคืนนี้ดึกแล้ว ระหว่างเดินกลับ ไม่ใคร่มีผู้คนเดินสวนไปมาอย่างตอนขามาแล้วค่ะ

ขึ้นรถกันได้แล้ว ทีแรกก็มีเสียงเฮฮาคุยกัน แล้วเสียงก็ค่อยๆเงียบลงๆๆ และเมื่อ ๒ ชั่วโมงผ่าน รถก็วิ่งมาถึงประตูเข้ารีสอร์ทที่พัก เสียงหลายคนดังขึ้นอย่างดีใจ “ถึงแล้วๆ”  ลุงเอกแจ้งเลื่อนเวลานัดหมายของการออกเดินทางไปดูงานวันรุ่งขึ้นเป็น ๘.๐๐ น. ล้อเลื่อน ทุกคนจึงได้รับการปล่อยตัวลงจากรถ

พวกเราแยกย้ายเข้าที่พักกัน บางคนก็แยกตัวไปจับกลุ่มคุยกันต่อ บางคนที่ทำงานด้านสื่อก็แยกตัวไปทำงานส่งเจ้านาย

ฉันเองกลับเข้าห้องพัก จัดการชาร์ตแบตกล้อง ได้ปลั๊กกลมมาจากไกด์เขาแจกให้  ระหว่างเตรียมตัวเพื่อเข้านอน ไฟฟ้าในห้องก็ดับพรึบ ทั้งห้องมืดสนิทลง  รูมเมทยังไม่กลับห้องตอนที่ไฟฟ้าดับ

ความมืดเป็นเพื่อนอยู่ไม่นาน ความสว่างก็มาไล่ เตรียมตัวเข้านอนได้เรียบร้อยแล้วก็เข้านอนซิ ตอนเข้านอน รูมเมทยังจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใช้งานวันต่อๆมาอยู่เลย

ระหว่างที่ยังไม่หลับก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ  แม้จะไม่ได้คุยกันเรื่องของการดูงานเหมือนที่ไปภาคใต้ แต่ก็เข้านอนดึกไม่แพ้กัน คืนนี้กว่าจะหลับก็เลยเวลาตีหนึ่งแล้วค่ะ

๔  สิงหาคม ๒๕๕๓

« « Prev : แลกเปลี่ยนที่ JADAVPUR

Next : ชวนให้นึกถึงบ้านเราแฮะ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "ท้องกิ่วจนได้เรื่องดีๆ"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.027483940124512 sec
Sidebar: 0.15560817718506 sec