สรุปก่อนจาก-รอไปสัมผัสใหม่

อ่าน: 1279

โกลกาตาที่มีประวัติศาสตร์ของตัวมายาวนานเริ่มจากหมู่บ้าน ๓ แห่ง คือ สุตนติ โควินทปุร์ และ กาลีกาตา แล้วมีการตั้งเต็นท์และแหล่งสินค้าขึ้น

การเติบโตผ่านร้อนผ่านหนาว เผชิญมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสมาอย่างทรนงได้อย่างนี้ ยังมีดีอีกมากมายให้เรียนรู้

บทเรียนที่ดินแดนแถบนี้ถูกอังกฤษใช้ในการต่อสู้กับอิทธิพลของฝรั่งเศสที่เพิ่มพูนมากขึ้นๆทางตอนใต้ของอินเดีย บทเรียนที่เจ้าเมืองเบงกอล สีราช อุดดอลลาห์ ตัวแทนอินเดียแพ้โรเบิร์ต ไคลว์ จนทำให้โกลกาตากลายเป็นศูนย์กลางอำนาจ “ราช” ของอังกฤษในอินเดีย ความเป็นศูนย์กลางก่อนอังกฤษย้ายเมืองไปเดลีน่าสนใจทีเดียว เสียดายที่หาผู้รู้มาเล่าให้ฟังไม่ได้

เบื้องหลังความเท่าเทียมเสมอเหมือนกันทุกคน มีวัฒนธรรมหลากหลาย มีชาวเบงกาลีผู้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รักกีฬา ฉลาด และรักการประพันธ์ ที่มีฐานการปกครองแบบสังคมนิยมให้แง่คิดมากมายทีเดียวว่า อินเดียสร้างชาติอย่างไร

ความเป็นศูนย์กลางของวรรณคดีและศิลปะของโกลกาตา มรดกทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบอาณานิคมจากอังกฤษผสมกับรูปแบบวัฒนธรรมของอินเดียสมัยใหม่ เป็นความหลากหลายที่ไม่เหมือนใครในโลก

การเป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมที่มีอะไรเนียนๆเข้ากันกับวิถีชีวิตของคนที่นี่ มีอะไรที่น่าสนใจในแง่มุมเกี่ยวกับรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมที่บ้านเรามีปัญหาอยู่ไม่น้อยเลย

ภาพวาดนี้อยู่ตรงผนังทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน

มีสถานที่อีกหลายแห่งในโกลกาตาที่อยู่ในโปรแกรมแล้วไม่ได้ไปชม ที่ฉันเสียดายที่สุดเห็นจะเป็นสถานสงเคราะห์คนยากจนและคนเจ็บป่วยของแม่ชีเทเรซา ไม่ได้ชมเพราะเป็นวันหยุดของเขา

ที่ไม่ได้ไปอีกก็เป็นศาสนสถานในศาสนาเชน ฉันเพิ่งรู้ว่าชีเปลือยคือผู้นับถือศาสนาเชน ชีเปลือย มีอีกชื่อว่า “ฑิฆัมพร”

มีวัดเชนในประเทศไทยด้วยค่ะ ใครไม่รู้จักไปทำความรู้จักได้ค่ะ

โกลกาตาเป็นถิ่นเกิดของบุคคลสำคัญที่โลกยกย่องหลายคนเชียวแหละ

คนที่เคยมาเรียนในอินเดียคนหนึ่งเล่าว่่าทั้งอาจารย์ที่ปรึกษา(Supervisor)และอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของเขา บังคับให้อ่านบทความต่างๆในหนังสือพิมพ์และนิตยสารทุกวัน (วันละมากๆ มากๆจนแทบไม่ต้องทำอะไรกันเลย) ซื้อหนังสือพิมพ์มาให้ทุกวัน อ่านเสร็จก็ให้จดศัพท์และเขียนสรุปบทความนั้น เจออาจารย์อีกครั้งเขาต้องพูดสรุปให้ฟังทุกครั้งไป ได้อ่านได้สรุปมากๆเข้าเขาเกิดเสียดายความรู้ที่ได้เพราะบางอย่างมีประโยชน์กับคนไทยมาก บางอย่างบ้านเราไม่รู้มาก่อนเลยและบางอย่างก็เข้าใจผิดๆเกี่ยวกับอินเดีย เขาจึงพยายามรวบรวมข้อมูล ค้นหาแล้วนำมาเล่าสู่กันฟังผ่านบล็อกอย่างที่ฉันกำลังทำอยู่นี่แหละ

ฉันว่าเรื่องเล่านี้ช่วยให้เข้าใจวิธีสอนคนของคนอินเดียเนอะ

ครูเขาคิดอย่างนี้นี่เล่า อินเดียจึงมีทรัพยากรมนุษย์ชั้นเยี่ยมของโลกในเกือบทุกด้าน รางวัลโนเบลได้กันไปไม่รู้กี่คนแล้วน่าจะมากที่สุดในเอเชียและมากกว่าหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว การศึกษาที่เข้มแข็ง การแข่งขันกันเรียนอย่างจริงจังของนักเรียนอินเดีย ตลอดจนภาษาอังกฤษที่แม้แต่คนขายผักในตลาดยังพูดได้ดี

ความเป็นชนชาติที่ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายเกินตัว ไม่ติดหรู ไม่ติดบริโภคนิยม มีการใช้พลังงานทดแทนซึ่งได้วางแผนไว้นานแล้วและประสบผลสำเร็จในปัจจุบันที่คนอินเดียไม่มีคำบ่นเรื่องน้ำมันหรือค่าไฟกันเลย บอกว่าอินเดียแทบไม่เคยประสบวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ในขณะที่จีนขาดแคลนอย่างหนัก ต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ อพยพคนเป็นแสนๆ

ทั้งหมดที่เอ่ยถึงข้างบนนี้เป็นความสามารถและความมั่นคงของอินเดียเนอะ น่าเรียนรู้จากอินเดียอีกมากมุมเชียว

เมฆฝนอุดมสมบูรณ์ มีฝนตกบ่อยมาก บอกว่าพื้นที่สีเขียวช่วยอุ้มน้ำไว้ได้มากอย่างน่าพอใจทีเดียว

เรื่องการทหาร อินเดียก็เนื้อหอม สหรัฐให้ความสำคัญกับอินเดียมาก ต้องการสร้างสมดุลทางอำนาจ (Balance Power) และร่วมมือกับอินเดียให้มากที่สุด จึงมีเรื่องทำความตกลงเกี่ยวกับการควบคุมเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ร่วมกัน

ข้อมูลจากการต่างประเทศชี้ว่า อินเดียก็ไม่ให้ใครเชือดง่ายๆ  เล่นแง่ด้วยยาก  เพราะความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก แล้วคนอินเดียเองก็สนใจการบ้านการเมืองมาก เรื่องโกงเลือกตั้งนั้นลืมไปเลย แทบไม่มีให้เห็น

ประเทศไหนไม่ขายสินค้าบางอย่างให้ อินเดียก็ไม่ซื้อ ไม่ง้อ ประเทศไหนที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อโกยทรัพยากรมากกว่า อินเดียก็ไม่สน ไม่หรูฉันก็อยู่ได้ ไม่มีน้ำมัน ฉันก็ใช้จักรยาน ไม่มีไฟฟ้า ฉันก็ใช้เทียน คุณโก่งราคาขาย ฉันก็ทำของฉันเอง รถไฟฟ้า, สนามบิน, รถยนต์ มอเตอร์ไซค์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เรือรบ ทำเองก็ใช้เอง ไม่เคยง้อใคร แค่ขายกันเองในประเทศก็รวยจะแย่อยู่แล้ว (ประชากรอินเดียปัจจุบันประมาณ ๑,๒๐๐ ล้านคน)

ภายใต้ภาพลวงตาี่มุมลบลากความคิดเราไปมองว่าอินเดียสกปรกและยากจนนั้น ลองคิดต่อเถอะว่าถ้าโลกเกิดวิฤตอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรือสงคราม เห็นหรือเปล่าว่าอินเดียจะเป็นชาติที่อดทนได้ดีที่สุดและอาจจะเป็นประเทศที่รอดวิฤตนั้นมาได้สบายๆ

แล้วนึกถึงบ้านเรา มีอะไรบ้างนะที่ช่วยให้เมืองไทยอึดอยู่ได้นานอย่างที่อินเดียทำได้ ลองทบทวนกันหน่อยเหอะ เราพึ่งตัวเองให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในด้านไหนบ้าง เห็นจุดอ่อนของบ้านเราหรือยังละเออ

ไกด์บอกว่าคนอินเดียภูมิใจในความเป็นคนอินเดีย เพราะประเทศเขามีปราชญ์และคนเก่งที่ได้รับรางวัลโนเบลเยอะที่สุดในเอเซีย

อยากรู้ว่าคนอินเดียที่มีชื่อเสียงก้องโลก ใครเป็นใครบ้้าง ลองตามไปทำความรู้จักได้ค่ะ

๕ สิงหาคม ๒๕๕๓

« « Prev : ให้นำไฟฉายมาด้วยทำไม

Next : ตั้งโจทย์ใหม่ดีมั๊ย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กันยายน 2010 เวลา 8:16

    เวลานึกถึงอินเดีย เบิร์ดจะนึกในแง่ของความทึ่งว่าประเทศเมืองขึ้นในอดีตหลายๆแห่ง ประชาชนจะถูกเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับระบบของผู้ครองเมือง เช่นลาวมีขนมปังฝรั่งเศสและการนอนหลังเที่ยง เป็นของติดตัว

    แต่อินเดียไม่ใช่ อังกฤษต้องปรับตัวให้เข้ากับอินเดีย ! น่าทึ่งชะมัดเลยค่ะ ^ ^

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กันยายน 2010 เวลา 20:09

    พี่ว่าที่อินเดียเป็นอย่างนี้ เพราะเขาถอดบทเรียนแล้วพบว่าทุนนิยมคือปีศาจร้ายที่เข้ามาดูดเลือดจนเขาขาดสารอาหาร ประสบการณ์ที่ตื่นขึ้นมาทันพบว่าเลือดเกือบหมดตัวแล้วต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดแบบอหิงสาตลอดมามั๊ง จึงทำให้อินเดียมีวันนี้


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.23384499549866 sec
Sidebar: 0.77222394943237 sec