ก้าวแรกที่รู้จักคนอินเดีย
ลงจากเครื่องบินกันมาแล้ว ผู้คนที่บินมาด้วยกันก็ถูกต้อนขึ้นรถบัสติดแอร์เย็นฉ่ำ รถวิ่งนำเรามาส่งที่อาคารผู้โดยสารให้พวกเราผ่านด่านตม.ของอินเดียกันก่อน จึงมารับกระเป๋าที่โหลดกันได้ สนามบินที่เห็นอยู่ตรงหน้าเก่าจริงๆ เก่าชนิดที่ไม่สามารถหาสนามบินในประเทศไทยมาเทียบเคียงได้สักแห่งเลยอ่ะ
ตรงด่านตม. มีเรื่องชวนขัน เมื่อบรรดาพี่สาวในรุ่นเดินผ่านเข้าไปให้ตรวจ ก็โดนตม.แขกแกล้งให้อย่างจั๋งหนับ จับผิดการเขียนตรงโน้นตรงนี้ในใบผ่านเข้าเมือง จุดที่จับสัญญาณได้ว่ามีปัญหาก็คืออาชีพซึ่งไกด์ของเราระบุคำว่า “Business” ไว้ให้ แต่เราใช้พาสปอร์ตสีน้ำเงินและบอกเขาว่าเรามาแบบ official เขาก็เลยขอวีซ่าจากพี่ๆ
เมื่อพี่จุก (บุญศรี สุธรรมานุวัตน์) ชี้แจงว่ามาดูงานเขาก็ทำเป็นฟังพี่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเข้าไปอีก ทวงแต่ใบวีซ่า พี่จุกหมดมู๊ดไปเลย
นี่คือหน้าตาใบตรวจคนเข้าเมืองของอินเดีย
ไม่แต่พี่จุกที่โดนกักตัวไว้นาน คุณอั๋น (สุภิทธา บุญเนื้อ) น้องกุ้งนาง(ณฐพร ชลายนนาวิน) ก็โดนไปด้วย ส่วนฉัน น้องจ๋า น้องหมอม (มรกต ยิบอินซอย) และบรรดาผู้ชายในรุ่นที่มาด้วยกัน เจ้าหน้าที่ ตม.อินเดียแค่มองหน้า พลิกพาสปอร์ตไปมาเพียงครู่ ก็ให้เราผ่านกันโลด ทั้งๆที่ในใบตม.ของเราก็ระบุอาชีพ “Business” เหมือนกัน
มีพื่อนผู้ชายบางคนเล่าให้ฟังว่า เมื่อเขานำยาหม่องออกมาดมเพื่อลดกลิ่นรอบตัวที่เคล้าในจมูก เจ้าหน้าที่เห็นยาหม่องก็ตาลุก เอ่ยปากขอ แล้วเมื่อเขาให้ไป เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านไปโดยเร็วหลายคนรวดเดียว ไม่ต้องเสียเวลาพูดภาษาอังกฤษที่ไม่ถนัดให้มากความกันเลย นับว่ายาหม่องช่วยกรุยทางให้อย่างดี มีบางคนบอกว่ายิ่งถ้าได้ตราลิงถือลูกท้อแล้วยิ่งแจ๋ว เอาน่าแค่ใช้ยี่ห้อหมอเจ๊ก็ใช้ได้แล้วเห็นหรือเปล่า….อิอิ
เมื่อมาถึงจุดให้รับกระเป๋า ก็เจออะไรที่ชวนแปลกอีกนั่นแหละ รอกันอยู่นับชั่วโมงกว่ากระเป๋าแต่ละใบจะโผล่มาให้เห็น ตอนที่กระเป๋าของพวกเราไม่โผล่มาให้เห็นสักที บนสายพานที่วางกระเป๋ามีกระเป๋าและสิ่งของเป็นลังๆของคนอื่นเต็มไปหมด เมื่อมันหมุนเวียนอยู่หลายรอบ โดยไม่ปรากฏเจ้าของสักที ก็มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินมายกมันลงวางบนพื้นทั้งหมดซะงั้น
มาได้เห็นกับตาก็คืนนี้ว่าคนอินเดียซื้อของจากเมืองไทยมามากมายจริงๆ ลองนึกถึงพาหุรัดบ้านเราที่มีคนเข็นรถนำผ้ามาส่งเป็นห่อๆวางเรียงสูงถึงเอวดูนะคะ คนอินเดียคนเดียวขนผ้าใส่เครื่องบินมาขนาดนั้นแหละค่ะ ๒-๓ รถเข็น ขนมาได้ยังไง เก่งจริงๆเลย
ระหว่างนี้มีบางคนในกลุ่มพวกเราเต็มอั้น พาตัวไปปล่อยน้ำจากตัว เมื่อคนแรกที่เดินไปลองกลับมาบอกว่าพอรับได้ คนหลังๆก็ทะยอยกันไปใช้บริการกันดูบ้างรวมทั้งตัวฉันด้วย ประสบการณ์แรกที่ได้พบบอกกับตัวเองว่าเป็นอะไรที่ต้องกลั้นหายใจพอสมควรเมื่อจำเป็นต้องเข้าไปใช้มัน ก็กลิ่นมันอวลซะขนาดอยู่ไกลกว่า ๒ เมตร ยังได้กลิ่นแอมโมเนียโชยมาเลยอ่ะ
ชวนกันเดินออกมาคอยด้านนอกเพื่อหนีกลิ่น
เมื่อกว่าครึ่งได้กระเป๋ามาแล้ว บางส่วนก็ทะยอยกันเดินออกมาก่อนเพื่อหลีกกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อชวนกันเดินมารออยู่ที่ระหว่างทาง หลายคนก็ถือโอกาสแวะนั่งคลายร้อน คลายง่วง รอกันจนมาครบคน ขบวนเราจึงพากันเดินออกมาจากอาคารสนามบิน รถเข็นของที่สนามบินแห่งนี้มีให้ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการใดๆ
อากาศภายนอกวูบแรกที่สัมผัสตัว ร้อนไม่เบาเลยค่ะ ไกด์นัดให้รถบัสมารับเราเป็นจำนวน ๒ คัน ก่อนออกจากกรุงเทพฯมา สถาบันพระปกเกล้าแจ้งเราให้ทราบแล้วว่า ใครนั่งรถคันไหน สถาบันฯไม่ได้เผด็จการหรอกค่ะ อาจารย์แบ่งกลุ่มเป็น ๒ ตามภาระการศึกษาดูงานที่มอบหมาย ทีมหนึ่งรับผิดชอบเรื่องของการเมือง การปกครอง และสังคมจิตวิทยา ทีมสองรับผิดชอบเรื่องการเมืองระหว่างประเทศและการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกหรือมิติอื่นๆ สมาชิกในแต่ละกลุ่ม แบ่งเท่ากันกลุ่มละ ๒๔ คน
กลุ่มที่หนึ่งจึงถูกกำหนดให้นั่งรถคันหนึ่งไปด้วยกันโดยปริยาย กลุ่มที่สองก็เช่นเดียวกัน แต่ละกลุ่มมีประธานและเลขาฯกลุ่ม รถคันแรกมีพี่โจ (พลท.ดร.พีรพงษ์ มานะกิจ) อดีตทหารที่ผันตัวมาทำงานด้านวิชาการอยู่ที่นิด้า เป็นประธานกลุ่ม มีน้องเบญ (พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ) คุณละเอียดเรียกพี่ประจำรุ่นจากดีเอสไอเป็นเลขาฯกลุ่ม รถคันที่ ๒ มีพี่จิ (จิรภัฏ ฤกษ์มณีรัตน์) เป็นประธานกลุ่ม มีน้องต้นไม้ (สุชาติ ชวางกูร) เป็นเลขาฯกลุ่ม
พวกเราขึ้นนั่งบนรถครบกันแล้ว มัคคุเทศน์เจ้าของบ้านก็ขึ้นมาต้อนรับ มีกลิ่นหอมประหลาดอวลมาแตะจมูกด้วย ทีแรกที่ได้กลิ่นก็เหลียวหาต้นด้วยความเคยชิน ที่ไหนได้กลิ่นมาจากมือของเจ้าบ้านเอง มือเจ้าบ้านที่กำลังขยับไปมา มีดอกไม้เล็กๆกลีบละเอียดสีขาวที่ร้อยเป็นพวงติดมืออยู่ เจ้าของบ้านกำลังแจกมันให้กับแต่ละคน พร้อมกล่าวคำต้อนรับสู่กัลกัตตา
ดอกไม้นี้ดูเผินๆคล้ายดอกมะลิลา แต่เมื่อพิศรายละเอียดกลับไม่เหมือนกันเลย กลิ่นที่โชยเมื่อใกล้มือกลับฉุนจัด จนทำให้ความหอมกลายเป็นหอมฉุน ไม่รู้ว่าใช่ดอกเข็มอินเดียหรือเปล่า
เจ้าถิ่นขึ้นคล้องพวงมาลัยดอกไม้หอมสีขาวให้ทุกคน เป็นอะไรที่เซอไพรซ์กับความมีสุนทรีย์ในอารมณ์ของเขาอยู่เหมือนกัน
รับดอกไม้กันแล้ว รถก็พาเราเดินทางต่อ ไกด์บอกว่าจองที่พักสไตล์รีสอร์ทไว้ให้เราพักกัน การเดินทางกินเวลากว่าชั่วโมงค่ะจึงถึงรีสอร์ท
ผืนดินอินเดียผืนแรกที่พวกเราย่างเท้าเหยียบอยู่นี้ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ชื่อรัฐเบงกอลตะวันตก
เมืองที่เรากำลังจะเดินทางไปยังที่พัก เดิมทีเรียกว่า “กัลกัตตา Calcutta ” แต่เดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่แล้วเป็น “โกลกาตา Kolkata” เปลี่ยนเรียกตามภาษาท้องถิ่นเมื่อพ.ศ. ๒๕๔๔
๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : พอเริ่มหากระดุมก็ถูกห้าม
Next : ทำความรู้จักกันหน่อย » »
1 ความคิดเห็น
เกาะกลุ่มมาอินเดียด้วยคนนะครับ