พอเริ่มหากระดุมก็ถูกห้าม
ถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาที พนักงานของสายการบินก็เปิดประตูให้ขึ้นเครื่องกันได้ บรรดาเพื่อนๆพี่ๆต่างทะยอยกันเดินเข้าไปด้วยกันเป็นกลุ่มๆ คนที่ต้องอัดลมให้ปอดตัวเองก่อนก็พากันเลี่ยงไปเข้าโรงสีที่อยู่ใกล้ๆทางเดิน อัดลมกันจนเต็มปอดแล้วพวกเขาจึงพากันเดินขึ้นเครื่องอย่างสบายใจ
เดินไปจนถึงที่นั่งแล้ว ฉันจึงรู้ว่าผู้ที่ได้ที่นั่งข้างๆกันเป็นพี่ศิริศักดิ์ (ศิริศักดิ์ ติยะพรรณ) อัยการผู้เคร่งขรึมเมื่ออยู่ในห้องเรียน วันนี้พี่เขามาผิดฟอร์มแฮะ เฮฮายิ้มแย้มเป็นเด็กกว่าวัยมากมาย วาจาเย้าแหย่คมซะจนโต้ตอบไม่ทันด้วย พี่วิเชียร ได้ที่นั่งอยู่ด้านหลังไปหนึ่งแถว น้องจ๋าได้ที่นั่งด้านหลังเครื่องไปโน่นเลย ลุงเอกได้ที่นั่งตรงไหนมองไม่เห็น
เครื่องบินร่อนขึ้นจากรันเวย์เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี ระหว่างบินได้ครึ่งทาง พนักงานก็เสิร์ฟอาหารให้ อาหารที่เสิร์ฟเป็นอาหารอินเดีย มีเมนูให้เลือก ๒ แบบ หนึ่งเป็นอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นไก่ อีกหนึ่งเป็นอาหารมังสะวิรัติ รสชาติของเมนูไก่เป็นอย่างไรฉันไม่รู้ เพราะฉันเลือกเมนูมังสะวิรัติ
๒ ภาพบน รันเวย์สนามบินไทย วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ เวลา ๒๔ น. (เวลาประเทศไทย)
ภาพล่างรันเวย์สนามบินกัลกัตตา วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐.๓๐ น. (เวลาประเทศอินเดีย)
แพคกิ้งค์ของอาหารที่นำมาเสิร์ฟทำอย่างง่ายๆ ใช้กระดาษฟอยล์คลุมบนกันเปื้อนเท่านั้นเอง มีก็แต่ส่วนของอาหารหวานที่ใช้พลาสติกคลุมรัดกุมมิดชิด
มื้อแรกที่เริ่มลิ้มอาหารอินเดียบนเครื่องบิน ก็ได้กลิ่นของเครื่องเทศโชยเข้าจมูกเมื่อเปิดฟอยล์ รสชาติของอาหารมีเครื่องเทศพอประมาณ ฉันรู้สึกว่าไม่แตกต่างจากอาหารในเมืองไทยเท่าไร รสชาติของแกงที่ราดข้าวมาให้เป็นรสถั่วล้วนๆเลยค่ะ
แม้ว่าสายการบินที่พาพวกเราบินขึ้นฟ้าในคืนนี้จะเป็นการบินไทย ฉันรู้สึกว่ารสอาหารที่เสิร์ฟให้ดูเหมือนไม่ใช่ฝีมือแม่ครัวไทยนะคะ
ถึงแม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว ระหว่างนั่งบนเครื่องบินฉันก็นอนไม่หลับ ในขณะที่พี่ศิริศักดิ์นอนหลับสนิทไปได้พร้อมหูฟัง การจัดการตัวเองอย่างง่ายๆบอกให้รู้ว่าพี่เขาคุ้นกับการเดินทางไกลเป็นนิจ
เครื่องพาบินมาถึงสนามบินกัลกัตตาตี ๒ เมืองไทย มีคนบอกว่าเวลาอินเดียช้ากว่าเมืองไทยชั่วโมงครึ่ง เทียบเวลาอินเดียเครื่องร่อนลงที่พื้นดินกัลกัตตาเที่ยงคืนครึ่งของอินเดียซิเนอะค่ะ
ก่อนเครื่องลงพนักงานเครื่องบินประกาศว่า ห้ามถ่ายภาพสนามบิน แต่มือฉันไวกว่าถ่ายภาพไปก่อนแล้ว ภาพที่ถ่ายไว้มองเห็นแค่แสงไฟ
ไม่ได้ลบภาพทิ้งไปหรอกค่ะ ภาพมันมืดซะขนาดนั้นจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้นะเออ พี่วิเชียรซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังนึกสนุก แซวว่าเดี๋ยวจะแจ้งความเจ้าหน้าที่ว่ามีคนแอบถ่ายรูปไว้ ตอนฟังละอายอยู่เหมือนกันที่ทำอะไรแหกกฏ แต่พอรู้ว่าคนอินเดียเขายึดคตินิยมว่ากฎมีไว้แหกกฏ เลยถือโอกาสทำตามคนอินเดียซะเลย
สนามบินหน้าตาเป็นยังไงยังไม่เห็น กลับมาบ้านอยากรู้จึงไปค้นดูค่ะ ค้นแล้วได้ภาพข้างล่างนี้มา แถมได้รู้จักชื่อสนามบินด้วย ชื่อยาวเหยียดเชียว ขอบคุณคุณหนุ่มเมืองกรุง เจ้าของภาพนะคะ
สนามบินกัลกัตตา ถ่ายเมื่อ เวลาเช้าของวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๗ มีชื่อเต็มเรียกว่า
“ท่าอากาศยานนานาชาติ เนตาจิ สุภาส จันทรโภส”
“Netaji Subhash Chandra Bose International Airport”
ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางที่บินจากสุวรรณภูมิมายังกัลกัตตา ไกลถึง ๑,๖๗๕ กิโลเมตรเศษ ใช้เวลาแป๊บเดียวเองก็ถึงแล้ว
ไชโย ในที่สุดนักเรียนโข่งก็เดินทางมาถึงแดนชมพูทวีปโดยสวัสดิภาพทุกคน
ก่อนลงจากเครื่องบิน พนักงานมอบช่อกล้วยไม้มาดามติดเข็มกลัดเรียบร้อยให้ช่อหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษเลยค่ะ
๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : หากระดุมติดเม็ดต่อไป
Next : ก้าวแรกที่รู้จักคนอินเดีย » »
ความคิดเห็นสำหรับ "พอเริ่มหากระดุมก็ถูกห้าม"