เที่ยวบ้านเพื่อน
หลังจากกินข้าวเที่ยงอิ่มแล้ว ทีมดูงานสายนราธิวาส ๒๖ คนก็ขนสัมภาระของตัวมาที่รถ ฉันเลือกรถตู้คันเดียวกันกับลุงเอก นอกจากลุงเอกแล้วก็มีสมาชิกร่วมทางไปด้วยอีกหลายคน น้องปอ พี่ล้าน (ศิริชัย จันทร์สว่าง) น้องอุ้ม(เกษรา รื่นภิรมย์) คุณจิตร์ (พรจิตร์ หรุ่นเริงรมย์) น้องเต้ (พ.ต.อ. วรเศรษฐ วิทยกุล) คุณอู๊ด( สุดาทิพย์ มุสิกะสินธร) น้องทร(พ.ต.อ.สุนทร เฉลิมเกียรติ)
ก่อนรถจะวิ่งออกจากโรงแรม ลุงเอกเห็นทหารมาเยอะไปหมด คาดว่าถูกส่งมานำทาง ลุงเอกจึงเป็นธุระอีกในการจัดการให้ทหารงดวิ่งนำขบวนเรา
รถวิ่งนำเรามาตามเส้นทางจนกระทั่งถึงทางแยกแห่งหนึ่งก็เห็นทหารยืนอยู่บนถนนประปราย แล้วรถก็เลี้ยวขวับวิ่งเข้าทางแยกขวาแล่นพาเข้าไปตามเส้นถนนลึกเข้าไป ๒๐๐ เมตรก็จอด จุดที่รถจอดเป็นโรงเรียนมีชื่อว่า “ลาลอวิทยา” ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.2 ต.ละหาร จ.ปัตตานี
เมื่อลงจากรถก็มองเห็นสาวน้อยหน้าแจ่มหลายคนพากันเดินมาหา สาวน้อยทั้งกลุ่มนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเชียว หันมองไปอีกทิศ ก็เห็นหนุ่มคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ เอ๊ะนั่นเพื่อนร่วมชั้นที่ชวนฉันไว้เมื่อคืนว่า “ไปนอนบ้านผมมั๊ย” นี่นา
อาคารสีหวานๆที่เห็นเป็นอาคารเรียนในบริเวณโรงเรียนลาลอวิทยา อาคารสีอิฐที่เห็นเป็นที่พำนักของเจ้าของโรงเรียน
งั้นโรงเรียนนี้นี่กระมัง ที่เพื่อนเคยเล่าว่าช่วยบริหารอยู่ เมื่อกิจกรรมที่ทำให้แวะมาเริ่มต้นขึ้น คำตอบก็ยืนยันว่า ใช่เลย เพื่อนเราเป็นลูกเขยเจ้าของโรงเรียนนี้นี่เอง
สภาพภายในโรงเรียนสะอาด เป็นระเบียบ สวยงาม น่ามอง บอกให้รู้ว่า ผู้บริหารที่นี่ใส่ใจกับความสุขของนักเรียนและครู และเป็นคนที่รักความสวยงาม จิตใจสดใส และเน้นหนักที่ความมีวินัย
ป้ายผ้าที่เขียนอักษรต้อนรับไว้บอกให้ฉันรู้ว่า โรงเรียนที่นี่สอนภาษาไทยด้วย ภาษามลายูบนผืนผ้าที่เขียนคู่ไว้บนป้ายกระตุ้นให้ฉันอยากอ่านมันออก รู้สึกขัดใจเล็กๆที่ตัวเองไม่สามารถอ่านได้ นี่แหละหนากิเลสคนเกิดง่ายๆอย่างนี้เอง
สถานที่ที่เจ้าบ้านชวนเข้าไปนั่งเป็นอาคารไม้หลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับตึกเรียนสีหวานแหววด้านหน้า สงสัยจะใช้แบบอเนกประสงค์ทั้งเป็นห้องประชุมและห้องทำกิจกรรมของนักเรียน เดาว่าใช้สอยอย่างนี้จากรางวัลที่เห็นวางเรียงรายอยู่ที่ฝาห้องด้านหนึ่ง หน้าห้องมีโต๊ะตอไม้วางคอมพิวเตอร์อยู่หนึ่งตัว อีกมุมของห้องก็มีโต๊ะเก้าอี้วางไว้เป็นสัดส่วน
อาคารที่เห็นทำด้วยไม้ในรูปนั่นแหละที่เล่าว่าภายในจัดไว้ใช้แบบอเนกประสงค์ เด็กที่อยู่นอกหน้าต่างเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแปลกใจเหมือนกันที่ไม่เห็นไทยมุง
เด็กนักเรียนดูเหมือนตื่นเต้นกับคณะเราพอๆกับทีมบริหารโรงเรียนนะคะ ดูจากสีหน้าตั้งใจกับการต้อนรับจนกระทั่งพิธีการของภารกิจที่นำพวกเรามาจบลง สีหน้าของทุกคนเปื้อนไปด้วยความสุขใจ เด็กที่ไม่มีหน้าที่อะไรนั่งกันอยู่เรียบร้อยอย่างอิสระนอกห้องประชุม การที่เด็กในวัยนี้ไม่สนกับการมีวัฒนธรรมไทยมุง ทำให้ฉันฉงนว่าเด็กที่นี่คุ้นชินกับการมีแขกแปลกหน้ามาเยี่ยมโรงเรียนหรือไร หรือว่าความมีวินัยที่ครูปลูกฝังให้ทำให้เด็กรู้ว่าควรวางตัวยังไง อืม น่าสนใจๆ วิธีการของครู
หลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวต้อนรับ ทุนการศึกษาร้อยกว่าทุนได้ถูกส่งมอบให้นักเรียนชาย-หญิง ลุงเอก พี่เสริฐ(พล.ร.อ. ประเสริฐ บุญทรง) พี่หนุ่ย(พล.ต.ท. สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล) น้องปืน ( สรัณย์ธร ดวงดีกมลทัศน์) พี่ดวง (ดวงกมล ทรงวุฒิวิชัย) เป็นตัวแทนหมุนเวียนกันมอบ
บรรยากาศต้อนรับที่สัมผัสตรงหน้า บอกให้รู้ว่าทีมเจ้าบ้านดีใจที่ทีมเรามาเยี่ยม และให้เกียรติพวกเรามาก
เด็กๆให้การต้อนรับเราด้วยอาหารว่างเป็นน้ำหวานและขนมพื้นเมือง แถมด้วยมีของฝากให้เป็นลูกหยีกวน อาหารฮาราลที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น นอกจากลูกหยีแห้งแล้วมีของฝากทีเด็ดจากเด็กๆด้วย ทีเด็ดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ถามคุณเซี๊ย (ดร.พิชญ์ดา เดอเยซูซ์) เพื่อนร่วมทีมได้ เพราะเธอถึงกับน้ำตาซึมเมื่อได้สัมผัสกับมัน
ส่งมอบทุนการศึกษา สนทนา เยี่ยมเยียน ผูกไมตรีกันระหว่างคนต่างวัย ต่างวัฒนธรรม เป็น peace talk รูปแบบหนึ่งนะฉันว่า
ของฝากที่เด็กๆเขาฝาก ส่งผ่านลำนำเพลงที่เด็กๆใส่เนื้อร้องไว้ถึง ๔ ภาษา มลายู ไทย อังกฤษ อาหรับ เรียกชื่อว่า เพลงอานาเซดค่ะเสียงใสๆไพเราะก้องกังวานขึ้น สะกดให้พวกเราซึ้งไปเลย เด็กๆที่มาร่วมกันร้องมีฝีมือนัก ครูเล่าว่าพวกเขาได้ผ่านขั้นชนะเลิศการประกวดร้องเพลงนี้ รางวัลที่เห็นในห้องประชุม ยืนยันว่าฝีมือเด็กที่นี่ไม่เบาเลย
อานาเซดทำนองไพเราะ งามลงตัวกับสาวน้อยผู้สดใสทั้งหมด น่าสนใจครูผู้ประพันธ์เนื้อเพลง…..ตั้ง ๔ ภาษาแน่ะทำได้ไง
รับของฝาก สนทนากับเจ้าของบ้านพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาขอลาจากไปดูงานต่อ ก่อนจากกันก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยกันตามฟอร์ม แล้วชวนกันขึ้นรถเดินทางต่อ น้องอดุลย์เจ้าของบ้านตามไปด้วย
สีสันของเสื้อผ้า บอกให้เห็นว่าคนที่นี่มีความหวังที่สดใส มีพลังในการเดินหน้า เห็นคนสวยๆมีความสุขกับการเอาหน้าสู้กล้องหรือเปล่า
การเดินทางออกจากโรงเรียนมีเรื่องให้เอ๊ะ รู้สึกเหมือนทหารมาเร็วและมาเยอะแฮะ ยืนเรียงแถวอยู่ในถนนซอยที่เข้าโรงเรียนเรียงรายตลอดทาง จนเมื่อโผล่ขึ้นมาที่ถนนใหญ่ เหลียวทางซ้ายของปากซอยเห็นทหารยืนเต็มไปหมดก็นึกในใจอะไรกันหนอ มีอะไรหรือเปล่า
ให้หลังไป ๒ ชั่วโมง ก็เกิดเหตุบึมขึ้นตรงแถวนี้ แล้ว ๕ ชีวิตทหารก็จากไป เอะใจอะไรบ้างไหมกับเหตุการณ์อย่างนี้
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓
4 ความคิดเห็น
รู้สึกเอ๊ะ…ว่าทำไมค่ะ
นึกถึง ๓ เรื่องค่ะ น้องสร้อย
เรื่องที่ ๑ นึกถึงนายพรานนำเที่ยวป่า ถ้าทุกครั้งที่นำแขกเที่ยว ท่ามกลางดงที่รู้ว่ามีสัตว์ร้ายที่เห็นตัวยาก นายพรานทำตัวอย่างทหารที่เห็น นายพรานจะพาตัวให้รอดปลอดภัยได้ยังไง
เรื่องที่ ๒ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทหาร เรารู้ก่อนเข้าไปในพื้นที่ เรายังเสียววาบๆอยู่ในใจเลย แต่ผู้คนในโรงเรียนเขายังสดใส แจ่มใสซะขนาดนั้น หรือว่าที่เขารู้สึกแจ่มใส สดใสนั้น เป็นเพราะเราไปเป็นตัวกวนกะเทาะอะไรบางอย่างที่คุ้นชินให้หลุดไป
เรื่องที่ ๓ น่าสนใจกลไกการครองสติของเขานะน้องสร้อย
พี่ตาขา
เบิร์ดถามจริงนะ ว่าคนในพื้นที่เค้าคิดยังไงกับการที่มีคนลงไปดูไปหาเค้ามากมาย-ชอบใจ ไม่ชอบใจ รำคาญ ฯลฯ ?!?
พี่ว่าเบิร์ดน่าจะเคยสัมผัสคนชนบทที่ไม่ใคร่มีคนให้ความสำคัญ ชวนเบิร์ดลองทวนย้อนเรื่องราวดูว่าความรู้สึกที่รับรู้เมื่อเบิร์ดไปเยี่ยมของเขาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นยังไงนะ
ความรู้สึกบวกหรือลบก็อยู่ที่ความคาดหวังมิใช่หรือ คนที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แม้จะทระนงยังไงว่าข้าอยู่ได้ เขาก็ยังโหยหาการเหลียวแลอยู่นาเบิร์ดนา
เรื่องนี้พี่ไม่ได้สังเกตนาน และไม่ได้สัมภาษณ์เจาะลึกค่ะ
มีคำพูดก่อนจากที่ได้ยินว่า “มาอีกนะ” ดังจากปากเข้าหูให้ได้ยิน พอบอกอะไรได้บ้างมั๊ยน้อง