ย่องดูรอยกระสุน
เด็กๆเล่าให้ฟังว่าในที่นี้เคยเกิดเหตุรุนแรงมาก่อนหน้าจนเป็นข่าวดัง “มีโจรถูกทหารยิงวิ่งหลบทหารเข้ามาในซีกที่พักนักเรียนหญิง แล้วทหารก็วิ่งตามเข้ามายิงโจรตายในเวลากลางวัน และตรงที่พักที่โจรโดนยิงมีนร.หญิงที่บังเอิญป่วยนอนพักอยู่คนหนึ่ง” เสียงที่เล่าตื่นเต้นเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
ตามไปดูสถานที่จริงลูกกระสุนยิงทะลุบ้านพักที่ระดับเหนือหัวนอนของเด็กในบ้านเพียงแค่ฟุตเดียวเอง
เมื่อถามว่ากลัวทหารไหม เธอตอบฉันว่า “กลัวซิ” เมื่อถามต่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายเดิมอีกเธอจะทำยังไง เธอตอบว่า “กลัวทหาร แต่ถ้าจำเป็นเธอก็จะสู้ ” เมื่อถามว่าตอนเกิดเหตุเธอเรียนอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม คำตอบที่บอกจากปากที่ว่า “หนูฟังจากรุ่นพี่เล่าต่อๆมา” ทำให้ตะลึงไปเป็นครู่เลยค่ะ
ถุงขาวๆที่เห็นอยู่ ถูกเตรียมไว้เป็นของฝากให้แขกถือกลับบ้านตามธรรมเนียมมุสลิม ช่องว่างที่เห็นแดดจ้า เป็นช่องทางเข้าไปยังที่พักของเด็กๆ
คำบอกเล่านี้เป็นอีกเหตุผลที่ย้ำฉันให้เชื่อว่า “ความเกลียดกลัวทหารที่อยู่ในใจของผู้คนในพื้นที่” เป็นเรื่องจริง
ความเกลียดและความกลัวนั้นสามารถเป็นต้นเหตุนำไปสู่ความรุนแรงและการทำร้ายกัน
ที่มีข่าวเจ้าหน้าที่รัฐถูกทำร้ายและประชาชนกลายเป็นเหยื่อไปด้วยมีความเป็นไปได้ที่จะมาจากความรู้สึกสะสมเหล่านี้แหละ ยาแก้ที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนี้ได้ก็เห็นจะมีแต่ “ความรัก” ที่พิสูจน์ได้ว่า “รักจริงใจและรักจริงจัง” ให้เห็นและจับต้องได้เท่านั้น ไม่มียาอื่นเลยนะขอบอก
ความหมายของคำว่า “ปอเนาะ” มาจากภาษาอาหรับว่า “PONDOK” แปลว่า กระท่อม ที่พัก ชื่อนี้จึงบอกความเป็นโรงเรียนว่ามีที่พักหรือกระท่อมให้เด็กอยู่พักค้างคืน เมื่อเอ่ยถึงประเภทโรงเรียน โรงเรียนอย่างนี้ก็คือโรงเรียนราษฎร์ประเภทหนึ่งนั่นเอง หลักสูตรของโรงเรียนเน้นสอนศาสนาอิสลามเป็นหลัก สอนวิชาสามัญเป็นรอง รวมความแล้ว “โรงเรียนปอเนาะ” ก็คือ โรงเรียนประจำเอกชนที่สอนศาสนาอิสลามนั่นเองแหละ มีผู้ให้ข้อมูลว่าปอเนาะที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้เป็นสถาบันปอเนาะที่ดีที่สุดในโลกด้วยค่ะ
กระท่อมที่พักที่เห็นสภาพดินมีรอยน้ำฝนไหลไปลงตรงจุดที่เห็นต้นไม้เขียวๆเหล่านี้ สร้างผู้คนมาแล้วหลายรุ่น
เด็กที่นี่เขาอยู่ประจำแบบกลับบ้านเดือนละครั้งหรือ ๓ สัปดาห์ครั้ง ครั้งละ ๒ วันกันค่ะ แต่ละครั้งที่กลับไป เมื่อกลับมาใหม่เขาจะนำข้าวสาร อาหารแห้ง ติดตัวกลับมาด้วยเพื่อนำมาทำอาหารกินที่โรงเรียน ใช่แล้วฉันกำลังบอกว่า โรงเรียนประจำแห่งนี้ให้เด็กๆเขาหุงหาอาหารกินเองโดยมีครูคุมค่ะ
ฟังแล้วฉันก็เอ๊ะว่า ด้วยเวลาที่อยู่กับครอบครัวอย่างนี้ เด็กๆจะรู้สึกอบอุ่นกับครอบครัวยังไงนะ แล้วพ่อแม่ลูกจะเจอกันพร้อมหน้ายังไง ความมั่นคงในใจของเด็กๆใครเป็นแบบให้เรียน แล้วก็นึกเลยเถิดไปถึงเรื่องข่าวเด็กใต้ล่างติดยาเสพติดกันมากมาย น่าสนใจค้นหาความเกี่ยวข้องกันนะเออ
ไม่เอ๊ะกับข่าวคนป่วยเป็นไข้เลือดออกจำนวนมาก แต่เอ๊ะกับข่าวโรงเรียนได้งบสนับสนุนจำนวนมากแล้วทำไมยังเห็นภาพอย่างนี้
ถึงแม้ดูเหมือนเด็กมีความใจเด็ดอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติใสๆแบบเด็กหญิงทั่วไปก็มี เรื่องชอบความสวยงามก็มี เมื่อพวกเธอร้องขอว่า ให้คนสวยคนนั้นมานั่งคุยด้วยหน่อย ฉันถามเธอว่าคนไหนหรือ เด็กคนหนึ่งเอียงหน้าเหลียวมอง อีกคนชี้ว่าคนที่ปากแดงๆคนนั้นไง หันไปดูตามมือชี้ อ๋อ คุณดวง (ดวงกมล ทรงวุฒิวิชัย) คนสวยที่สุดในกลุ่มนราธิวาสนี่เอง
บรรยากาศมีความสุขแค่ไหนเมื่อเด็กได้ห้อมล้อมคนสวยอารมณ์ดี ดูเอาเอง
ฉันจึงลุกไปกระซิบคุณดวงที่กำลังทำขนมว่าเด็กๆเขาอยากคุยกับคนสวย ตามไปคุยด้วยหน่อย เมื่อคุณดวง คุณนารี และน้องอุ้มก็มานั่งอยู่ด้วยกันแล้ว แม่บ้านคนหนึ่งก็นำมะพร้าวอ่อนมาให้ชิม เป็นมะพร้าวที่รสอร่อย รสยังติดลิ้นอยู่เลยเมื่อนึกถึงตอนได้ชิม
สิ่งที่เจ้าบ้านนำมาต้อนรับบอกให้ฉันรู้ว่าชีวิตที่หมู่บ้านนี้เรียบง่าย และมีอาหารให้เลือกไม่หลากหลาย เด็กๆเล่าว่ามีการเลี้ยงปลาไว้เป็นอาหารด้วย ปลาที่เลี้ยงคือปลาดุก และเธออยากได้พันธุ์ปลาอื่นๆบ้าง
คุยกันไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าเด็กๆมีความสุขกับการได้คุยกับเรา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มมีดังแทรกเมื่อฉันชวนเขาคุยเรื่องเพื่อนต่างเพศ ไม่ได้แซวแต่ถามตรงๆ ว่าหนูนั้นมีแฟนแล้วหรือยัง เจอกันได้อย่างไร อะไรอย่างนี้แหละ จนเมื่อคุยกันเรื่องรอยกระสุนที่ระลึก เราจึงเปลี่ยนที่คุยไปอยู่ที่รอบๆที่พักของพวกเขา
บริเวณแห่งนี้ดูมีความชื้นสูง สภาพดินอย่างนี้หรือเปล่าที่ลองกองชอบจึงเจริญเติบโตได้ดีและอร่อยมากๆ ต้นไม้สูงใหญ่ที่เห็นคือต้นฝรั่งขี้นกค่ะ
ประตูเข้าที่พักเด็กๆอยู่นอกบ้าน มีช่องให้เราเดินลอดประตูเข้าไปทีละคน เข้าไปแล้วแปลกใจเมื่อเห็นที่พักเด็กๆ รู้สึกว่าบ้านโทรมจัง ฝาบ้านที่เป็นสังกะสีทำให้คนอยู่ร้อนน่าดูเลยนะ บางหลังไม่มีหน้าต่างให้ลมถ่ายเทอีกแนะ ไฟฟ้าไม่มี ทางขึ้นที่บันไดไม้และมีชานชวนให้ไก่ขึ้นไปอยู่ด้วยแล้วถ่ายมูลให้เป็นของฝาก ราวตากผ้าอยู่หน้าบ้าน มีเครื่องครัวกองเต็มไปหมดและมีจานใช้ที่ยังไม่ล้างวางกองไว้ตรงชานบ้าน ไม่เห็นมีห้องอาบน้ำ มีแต่บ่อน้ำเล็กๆที่รอบบ่อมีขยะเกลื่อนบนลานซีเมนต์รอบบ่ออยู่บ่อหนึ่ง
อยากรู้ว่าเด็กๆอยู่กันยังไง ถามไปถามมาเด็กบอกว่า กลางคืนไม่ได้ใช้นอน พวกเขาเข้าไปนอนในบ้านครู ที่พักมีเอาไว้เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นเอง บ้านแต่ละหลังที่เห็นนั้น บางหลังอยู่คนเดียว บางหลังอยู่คู่กัน แล้วก็แปลกใจกับคำบอกเล่าใหม่ที่ค้านกันอยู่กับเรื่องเก่าเกี่ยวกับเด็กในเหตุการณ์โจรถูกยิง
เดินไปดูฝาบ้านที่มีรอยกระสุนปืนทิ้งไว้เป็นที่ระลึก ก็เห็นสังกะสีรูใหญ่ๆกลายเป็นที่แขวนเสื้อนอกบ้านอย่างดีไปซะแล้ว รูกระสุนที่ถากผ่านหัวนอนเด็กยังคงอยู่ไว้สำหรับบอกเล่าเรื่องราว
เมื่อไปถึงที่นี่เด็กเอื้อมมือไปเก็บที่แขวนเสื้ออย่างที่เห็นพร้อมกับบอกว่าตรงนี้แหละรอยกระสุนปืน แกะไม้แขวนออกแล้วก็เห็นรูโบ๋ขนาดเท่าลูกลองกองปรากฏอยู่
ชวนกันเดินแล้วคุยกันไปแล้วก็ถ่ายรูปกัน วนเวียนคุยกันอยู่รอบที่พักเด็ก มัวแต่อยู่หน้ากล้องกัน เลยไม่รู้ว่าผู้ชายออกจากห้องเรียนกันไปสำรวจที่พักเด็กผู้ชายกันแล้ว จึงอดดูบริเวณที่พักผู้ชายว่าเป็นอย่างไรไปเลย…เฮ้อ…เสียดายจัง
ใช้เวลากับเด็กๆจนกระทั่งอาจารย์สุณีย์เดินมาตามตัว บอกลาเด็กๆแล้วก็พากันออกมาจากบริเวณนั้น เดินออกประตูมาจึงเห็นว่ารอบบริเวณหน้าบ้าน ยังมีทหารคอยดูแลอยู่ เพื่อนๆบางคนรออยู่ที่รถแล้ว รวบรวมคนครบแล้ว ขบวนเราก็เดินทางไปยังจุดดูงานจุดต่อไป
สังเกตเสื้อผ้าที่ใส่ โรงเรียนแห่งนี้ใช้เครื่องแบบเน้นเฉพาะสีผ้าฮิญาบให้ใช้สีดำ
ลืมบอกชื่อไปว่า สถานที่ดูงานแห่งนี้ชื่อว่า โรงเรียนปอเนาะยือนาเระ ตั้งอยู่ที่ม.๑ ต.เฉลิม อ.ระแงะ จังหวัดนราธิวาส ส่วนเรื่องชั้นเรียนในหลักสูตรเขามีแบ่งชั้นเรียนกันด้วยทั้งหมดมี ๑๐ ชั้นเรียนค่ะ แล้วยังมีหลักสูตรสามัญเรียนภาษาไทย ที่มีครูสังกัดกศน.เข้ามาสอนถึงที่ด้วย มิน่าเด็กหญิงและแม่บ้านที่นี่จึงฟังภาษาไทยได้และพูดไม่เพี้ยนเลย
เรื่องเรียนคอมพิวเตอร์บาบอไม่สนับสนุน ที่นี่จึงไม่มีโทรทัศน์และวิทยุให้เด็กได้ดูและรับฟัง
เรือนไม้ที่เห็นอยู่ในดงลองกอง ไม่รู้ว่าใช่ที่พักของเด็กผู้ชายหรือเปล่า
ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียน เด็กที่นี่เรียนฟรีทุกคนเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนมีแค่ร่วมจ่ายค่าไฟฟ้ากับบาบอ ค่าข้าวสาร อาหารแห้งและสบู่ที่นำมาจากบ้าน รวมถึงค่าเดินทางสำหรับกลับบ้าน เสื้อผ้าที่สวมใส่เด็กๆเล่าว่าแม่สอนให้เย็บเองค่ะ
ชีวิตของเด็กผู้ชายเป็นอย่างไร ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เลย เพราะเมื่อเข้าไปในบ้าน พวกเราผู้หญิงก็ถูกแยกตัวให้คุยแต่กับผู้หญิงค่ะ จากสัดส่วนของวัยในกลุ่มผู้ชายที่เห็นในแวบแรกที่มาถึง ฉันรู้สึกว่าเด็กผู้ชายที่มาเรียนที่นี่จะไม่มีโอกาสผ่านวัยเด็กอย่างแท้จริงนะคะ ก็คนที่แวดล้อมพวกเขามีแต่วัยผู้ใหญ่แล้วทั้งน๊านเลย
เธอบอกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั้นเย็บด้วยมือ และทำเองกับมือ เครื่องใช้สอยที่จำเป็นต้องติดตัวมาโรงเรียนจึงมีเครื่องมือตัดเย็บด้วยค่ะ
เมื่อเด็กๆบอกเราก่อนจากว่า “มาอีกนะ” แล้วน้องอุ้มตอบไปว่า “จะมาอีกค่ะ” ฉันไม่กล้ารับปาก ด้วยคิดไม่ออกว่าจะมีโอกาสมาอีกได้ยังไง แต่ใจก็ตั้งไว้ว่าถ้ามีโอกาสมาช่วยก็ยินดีทำด้วยความเต็มใจค่ะ
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ความคิดเห็นสำหรับ "ย่องดูรอยกระสุน"