เข้าใจเรามั๊ย

อ่าน: 1055

เราเดินทางออกจากสถาบันปอเนาะยือนาเระเย็นมากแล้ว  รถพาเราผ่านเข้าเส้นทางที่ผ่านที่ทำการศาลประจำจังหวัดนราธิวาสแล้วตัดไปสู่จุดดูงาน

รถนำเราไปหยุดลงที่หน้าอาคารหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายตึกสำนักงานของส่วนราชการ   รอบๆอาคารมีลานดินถมใหม่ในพื้นที่เป็นไร่ล้อมรอบ  เยื้องอาคารไปอีกหน่อยมีอาคารรูปทรงที่บอกถึงความเป็นมุสลิมยืนตระหง่านอยู่

เมื่อลงจากรถก็เห็นความเวิ้งว้างของพื้นที่ มีแต่อาคารที่เห็นตั้งตระหง่านชวนมอง แล้วจะไม่ให้ฉันเดินไปผิดตึกได้ยังไง

ระหว่างที่ฉันเดินล้ำตัวรถเพื่อไปที่อาคารที่เห็นตระหง่านก็มีเสียงเรียกให้หันกลับมายังอาคารที่คล้ายสำนักงาน หันไปดูตามเสียงเรียกก็เห็นที่ลานหน้าอาคารนั้นมีกลุ่มชายมุสลิมจำนวนหนึ่งพาตัวออกมายืนรออยู่

ลุงเอกเดินนำพวกเราเข้าไปพบกลุ่มอย่างคุ้นเคย ทักทายวิสาสะกันแล้วเขาก็ชวนพวกเราเดินขึ้นไปชั้นบนของอาคาร  ไม่เห็นผู้หญิงและบัณฑิตจิตอาสาอยู่ในกลุ่มด้วย

สีหน้าผู้มาต้อนรับบอกเราว่าเขาดีใจที่เรามาเยี่ยม และให้เกียรติเรามาก จึงยังรอเราอยู่จนเย็นมากอย่างนี้

ที่นี่เราได้พบปะสนทนากับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นองค์คณะที่สมาชิกทั้งหลายเป็นอิหม่ามประจำมัสยิด มีและใช้กระบวนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการคัดสรรผู้นำหรือประธานกลุ่ม  วิธีคัดสรรผู้นำของกลุ่มผู้นำศาสนา ๓ จังหวัดชายแดนใต้ จนได้มาซึ่งผู้นำคนปัจจุบันมีเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

การพบปะสนทนากันทำให้เราได้ข้อมูลว่า องค์คณะประจำจังหวัดนราธิวาสที่เรามาพบนี้มีมัสยิดอยู่ในความดูแลอยู่ราวๆ ๖๐๐ มัสยิด คณะกรรมการมีบทบาทสูงในการทำงานด้านการเยียวยามุสลิมที่ประสบเหตุเกี่ยวกับความรุนแรง อีกทั้งยังทำหน้าที่แทนคนมุสลิมในการติดตามความคืบหน้าและความโปร่งใสทางด้านคดี แต่ดูเหมือนว่าทบาทนี้ถูกลดไป

ผู้หญิงที่พี่ล้านเดินไปคารวะและถูกเชื้อเชิญให้นั่งร่วมในฐานะแขก คือ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนราธิวาส ผู้มีจิตอาสามาทำงานที่นี่แบบตั้งใจมาเอง

เสียงที่ประธานคณะกรรมการได้เล่าสู่กันฟังบอกความรู้สึกว่า ไม่เข้าใจในเจตนาของรัฐที่เข้ามาทำงานแทนพวกเขาในบางเรื่อง ฉันฟังไม่ถนัดว่าเป็นเรื่องอะไร คล้ายๆกับเป็นประเด็นของการเยียวยาและเป็นสักขีพยานเกี่ยวกับคดีเพื่อดูแลประโยชน์ของชาวมุสลิมอะไรทำนองนั้น

ฉันรู้สึกคล้ายๆเป็นความน้อยใจที่ลดความสำคัญเขาในขณะที่พวกเขาภูมิใจกับสิ่งที่เขาได้ทำไว้ค่ะ  ที่จริงแล้วองค์กรของเขาเป็นองค์กรที่อยู่แถวหน้าในกลุ่มคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนะคะ  ถ้ารู้จักบริหารความสามารถของเขาให้เป็นประโยชน์ กลุ่มของเขาจะช่วยผลักดันสันติให้เกิดขึ้นในพื้นที่ได้ง่ายกว่าบุคคลภายนอกซะอีกในความคิดของฉัน

มีคำถามเรื่องนโยบายอาหารฮาราลที่เคยมีกระแสโปรโมทว่าทำไมเงียบไป ไม่เห็นมีการทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม มีคำถามเรื่องของคดีที่ใครคนหนึ่งเสียชีวิตแล้วไม่มีข้อมูลย้อนกลับให้รู้ว่าดำเนินคดีและพิสูจน์กันไปแล้วคืบหน้าอย่างไร เหล่านี้คือสิ่งที่หลุดจากปากถามไถ่เรา  ความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้ดูเหมือนว่า เขากำลังบอกว่ารู้สึกว่ารัฐไม่จริงใจค่ะ

ชื่นชมบรรยากาศที่นี่ คุยกันแบบไม่ต้องมีฟอร์ม  “ฟังและยิ้ม” คือสิ่งที่ผู้พิพากษาท่านนี้ใช้สันติวิธีทำให้ดู

การสนทนาดำเนินไปอยู่นาน แต่ช่วงหลังๆเสียงที่เปล่งของคุณอับดุลเร๊าะห์มาน อับดุลสมัด ประธานคณะกรรมการฯ ก็เบาลงๆจนจุดที่ฉันนั่งไม่ได้ยิน ประกอบกับสมองฉันอยากพัก เรื่องราวที่ได้ยินจึงไม่ใคร่ปะติดปะต่อเท่าไร

ตอนที่มีคำถามเกี่ยวกับคดี น้องเบญ ( พ.ต.ท. เบญจพล จันทวรรณ) เพื่อนร่วมชั้น ๔ส.รุ่น๒ ได้ลุกขึ้นให้ข้อมูลการทำงานของดีเอสไอและให้สัญญาว่าจะกลับไปหาข้อมูลมาป้อนกลับเรื่องความคืบหน้าด้านคดีที่ติดใจ

อืม..มีคำบ่นว่านี้ด้วยค่ะ “บางคนผ่านขั้นตอนพิสูจน์ทางด้านยุติธรรมแล้วว่าบริสุทธิ์ แต่พอเดินทางผ่านด่านตรวจก็ถูกจับอีก ชี้แจงว่าผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าบริสุทธิ์ก็ไม่เชื่อกัน ต้องพึ่งท่านสำเร็จ (พล.ต.สำเร็จ สาหร่าย) จึงเรียบร้อยดี ท่านสำเร็จท่านก็ดี กวนดึกดื่นแค่ไหนท่านก็ทำให้”

เสียงที่เปล่งจากปากของผู้นำศาสนาคนสำคัญเนิบนุ่มและจริงใจต่อการร่วมสร้างสันติในเรือนใจของผู้คนที่นี่

เพิ่งนึกออกว่ามีเรื่องที่ทำให้เราเกิดความฉงนและกลับมาหาคำตอบกันอุตลุดเพื่อให้เข้าใจด้วยค่ะ เรื่องนั้นคือคำบอกเล่าว่า “การบังคับให้ต้องร้องเพลงสดุดีมหาราชาในงานประกวดตาดีกาเป็นสิ่งซึ่งบอกว่ารัฐมีความไม่เข้าใจ และการไปทำอย่างนั้นสร้างความขัดแย้งขึ้น”

มีำคำเล่าเรื่องมุมมองความเ็ห็นของโอไอซีด้วย และเกี่ยวไปถึงประเด็นโรงเรียนปอเนาะ ผู้นำกลุ่มท่านเล่าว่า โอไอซีมาดูแล้วก็สะท้อนผ่านทูตว่าที่นี่มีความงดงาม มีมัสยิดมากกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศซะอีก การกีดกันทางศาสนาก็ไม่มี ในขณะที่มาเลเซียห้ามมีปอเนาะ

ในฐานะเป็นผู้หนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์ ท่านเห็นด้วยกับการใช้ภาษามลายูเป็นภาษาทำงาน เช่น มีอยู่ในป้ายบอกทาง ป้ายแนะนำส่วนราชการต่างๆ และการใช้สนทนากัน  ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องเขตปกครองพิเศษแต่ออกความเห็นเรื่องของกฎหมายอิสลามว่าอยากให้ยอมรับศาลอิสลาม

ทีแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่ากฎหมายอิสลามเป็นอย่างไร หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว อาจารย์กูช่วยให้คำตอบค่ะ รับรู้จากอาจารย์กูแล้วก็ข้องใจว่า กฎหมายมีมาตั้งแต่สมัยร.๕ โน่น แต่ทำมั๊ย ทำไม มันจึงหล่นหายไประหว่างทางได้ก็ไม่รู้

ลงจากห้องประชุมมาแล้วคนที่ไฮเปอร์และจริงจังก็ชวนคุยต่อ

ก่อนเราออกจากห้องประชุม ก็มีชายผู้หนึ่งยืนขึ้นพูด  ระหว่างที่เขาเล่าฉันรู้ว่าใจเขาเปิดเต็มที่ ฉันสัมผัสถึงความรักที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาและในใจของเขา เป็นความรักที่ซาบซึ้งซึ่งก่อร่างสร้างความรู้สึกเป็นมิตรและรู้คุณให้ก่อเกิดในใจของเขา  ชายคนนี้เป็นพ่อของปลัดอำเภอหนุ่มที่เราพบที่มัสยิดตาโละมาเนาะ

สิ่งที่เขาเล่าเป็นเรื่องตัวอย่าง “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”  เดาออกหรือยังค่ะ ว่าความรักและรู้คุณที่เกิดขึ้นเขาได้มอบให้ใคร ใช่เลยค่ะ เขาเล่าถึงในหลวง  ระหว่างที่เขาเล่านั้น ฉันรู้สึกว่าเขามีความสุขที่ได้เล่าภาพของพระองค์ท่านให้คนได้เห็น ฉันเองเมื่อฟังเรื่องราวก็รู้สึกว่าตัวเองน้ำตาซึม น่าจะเป็นความปิติไปด้วยกับความสุขที่เขามีในใจ ดีใจที่น้ำพระทัยจากในหลวงเข้าถึงใจของพวกเขาและยังอยู่ใกล้ใจเขาค่ะ

เสียงเล่าที่ออกมาบอกว่าชายคนนี้รักในหลวงสุดหัวใจเลยค่ะ และในเรื่องเล่าก็บอกว่า กว่าที่ใจเขาจะอยู่กับในหลวงใช้เวลายาวนาน ความรู้สึกที่มีต่อในหลวงมีการเปลี่ยนแปรตามลำดับจากการยอมรับแค่ว่าเป็นพระราชาของชาวซิแย(สยาม) เป็นพระเจ้าแผ่นดินของชาวไทยจนกระทั่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของชนมุสลิมในภาคใต้อย่างตัวเขา

เชื่อหรือยังว่าเรื่องราวความขัดแย้งในภาคใต้นั้นมีความละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่มากมุมอย่างไรที่พึงทำความเข้าใจ

ลุงเอกไม่ขยับ ขบวนก็ไม่เคลื่อน เมื่อลุงเอกขยับ ฟ้าก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพแล้ว

สนทนากันพอหอมปากหอมคอแล้ว  ก็ถึงเวลาเดินทางต่อของพวกเรา ลงมาจากห้องประชุมกันแล้ว ก็ยังมีการสนทนากลุ่มเล็กอยู่อีกกว่า ๒๐ นาที

ระหว่างที่รอคนไฮเปอร์ซึ่งมีลุงเอก พี่ล้าน น้องอุ้ม น้องเบญ  แลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อ  ฉันแบตหมดแล้วค่ะ ก็เลยชาร์ตแบตให้ตัวเองด้วยการเดินหามุมถ่ายรูป  จนพระอาทิตย์เก็บแสงสว่างจากไปหมด ต้องใช้แสงไฟฟ้าช่วยให้ความสว่าง ขบวนทั้งหมดจึงได้ลาจากมา

ขบวนเรายกโขยงมาพักที่โรงแรมอิมพิเรียล นราธิวาส ไปถึงโรงแรมก็มีเครื่องดื่มหวานๆเย็นๆต้อนรับ เช็คอินห้องพักเก็บสัมภาระแล้ว ก็ลงมาเติมอาหารบำรุงสมอง  กินอาหารยังไม่ทันอิ่มก็มีเพื่อนเดินมาเชิญตัว ขอประชุมกลุ่มเพื่อวางแผนส่งการบ้านการดูงานสายนราธิวาส

ดูภาพแล้วแปลเอาเองว่าหมดพลังกันมากแค่ไหนกับการดูงานในวันนี้

คุยกันวิเคราะห์กันถึงวิธีการทำงาน ทีแรกดูเหมือนจะสรุปไม่ลงถึงแม้จะมีน้องเมธัสจากทีมงานของลุงเอกแนะนำว่า เอาแค่รายงานว่า มาเห็นอะไร รู้สึกอย่างไรกันก่อน  ฉันแอบไปกระซิบลุงเอกขอให้มาช่วยเป็นที่ปรึกษา กันไว้เผื่อลากกันยาว แต่ไม่ได้ใช้บริการของลุงเอกหรอก เมื่อเสียงสุดท้ายของกลุ่มหลุดคำพูดออกมามันตรงกับที่น้องเมธัสให้แนวไว้ทุกคนก็แยกย้ายจากกัน ตกลงกันตรงที่ใครใคร่เขียนอะไร บอกอะไรก็ให้อิสระทำได้ ทำเสร็จแล้วนำมาส่งทีมวิชาการ ๔ คนที่ทีมมอบความไว้ใจให้ทำงาน

เลิกกลุ่มแล้ว ฉันกับน้องอุ้มกลับห้องพัก แล้วเราก็สานเสวนากันต่อ คุยกันไปเรื่อยๆจนฉันหลับไปตอนไหนไม่รู้เลย นึกแล้วก็ขำตัวเอง ไม่เคยเลยนะคะที่นอนคุยกับใครจนหลับผลอยแบบแบตหมดอย่างคราวนี้ ประสบการณ์นี้สอนฉันว่า กาย ใจ และสมองมีพลังไม่เท่ากันนะเออ

๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓

« « Prev : ย่องดูรอยกระสุน

Next : ที่นี่มีเรื่องดีๆ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 กรกฏาคม 2010 เวลา 22:56

    อ่านแล้วนึกถึงคำว่าเชื่อมั่นในคนอื่นค่ะพี่สาวตา

    สิ่งที่เขาจะทำขอให้เขาได้ทำเพราะการพิจารณาของเขาเอง อย่าไปบังคับก่อน เมื่อเขาพิจารณาแล้วเขาจะทำเอง
    เรื่องของการศรัทธาเคารพนี้ก็เหมือนกันบังคับไม่ได้ แต่ควรให้เขาได้โอกาสเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ต่างๆ แล้วมันจะเกิดเองและสิ่งที่เกิดจะยั่งยืนเพราะความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เขาจะปฏิบัติได้มากกว่าสิ่งที่ทางการไปบังคับนะคะ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 กรกฏาคม 2010 เวลา 22:11

    ในทางธรรม เรามีศาสดาของทุกศาสนาเป็นครูนะน้องสร้อย ในทางโลกพี่ว่าคนไทยโชคดีที่มีในหลวงเป็นครูเช่นกัน ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.032526016235352 sec
Sidebar: 0.14117884635925 sec