แล้วเจอกันใหม่
เรื่องราวที่นักศึกษาได้สะท้อนวัยเด็กออกมาเล่าให้ตัวได้ยินอีกครั้งนั้น บ่งบอกถึงความสุขทางใจที่พวกเขามีให้กับมันอยู่เนืองๆ และเป็นความสุขที่เขาเองรับรู้ว่ามีมันอยู่
ที่ฉันแปลกก็คือความสุขที่ยังอวลอยู่ในใจของเขากลับถูกเก็บงำใส่ลิ้นชักไปอีกครั้งเมื่อพวกเขาพากันไปกินข้าว มีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนที่ยังคงหล่อเลี้ยงความรู้สึกนี้ไว้กับตัว
วิวสวย ขนมอร่อย แต่ไหงใจคนไม่ผ่อนคลาย ใครรู้บ้าง บอกหน่อยเร๊วววววว
ระหว่างกินข้าวดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องเหมือนที่เห็นตอนเช้า รุ่นพี่อยู่กันแต่รุ่นพี่ รุ่นน้องก็อยู่แต่กับรุ่นน้องปีเดียวกันไม่ได้ฟันธงแบบคุณรู้ดีหรอกค่ะ แค่ทำนายค่ะ
ระหว่างเดินมาที่ห้องอาหาร ฉันถือโอกาสคุยกับอาจารย์เจ้าของโครงการเชื่อมสัมพันธ์ มิตรจิตมิตรใจมั๊งที่ทำให้อาจารย์กล้าบอกฉันว่า ที่คาดหวังไว้ยังมีอะไรที่ไม่ได้ตามคาดหวังจากพวกเรา ฟังแล้วก็รู้ว่าอาจารย์รู้สึกไม่ปลอดภัยกับการตัดสินใจของตัวที่ยอมให้พวกเรามาสานต่อความหวังให้ สัญญาณนี้บอกฉันว่าสถานการณ์รอบตัวของอาจารย์มีแต่การแข่งขัน เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้สร้างวัฒนธรรมรู้แพ้รู้ชนะสามัคคี แต่จะเป็นวัฒนธรรม รู้ชนะ พาตัวรอด ทิ้งผู้แพ้ หรือเปล่าฉันไม่แน่ใจ
สัมผัสแล้วก็เข้าใจอีกนั่นแหละเมื่อทวนความกับตัวเองไปถึงความอยากรู้ของฉันเองในคราวที่อุ๊ยเปิดโอกาสให้ดั้นด้นมาได้คำตอบเกี่ยวกับความเป็นพยาบาลถึงเชียงใหม่ นี่ถ้าไม่ได้ประสบการณ์เรียนรู้ในครั้งนั้น ความเข้าใจอย่างในวันนี้ก็ไม่เกิดหรอก ขอบคุณหลายๆเน้ออุ๊ยเน้อ
บรรยากาศที่โต๊ะกินข้าวแตกต่างจากเมื่อคราวไปทำงานที่กั๊สซัน (เขียนชื่อถูกหรือเปล่าไม่รู้นิ)
บรรยากาศการกินมื้อเที่ยงวันนี้เป็นอะไรที่ได้เรียนรู้ บรรยากาศคล้ายๆไปงานแต่งงานที่เจ้าบ้านมัวแต่รับแขกแล้วตัวเราที่เป็นแขกถูกพาไปนั่งท่ามกลางหมู่คนวีไอพีที่ไม่คุ้นเคยกัน เอ่ยปากทักกัน 2-3 คำเมื่อเห็นหน้าแล้วเมื่อเจ้าภาพจากไปเสียงพูดก็แบะๆ
ที่แปลกเข้าไปอีกก็คือเมื่อกลุ่มของอาจารย์ที่นั่งร่วมโต๊ะเงียบ กลุ่มของเราเองก็เงียบทั้งๆที่นั่งใกล้ชิดกันแบบแขนแนบแขนขนาดนั้น
กินอาหารกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ขอแยกตัวมาเตรียมห้อง เดินออกมาจากห้องก็มีโอกาสได้พบนักศึกษาจำนวนหนึ่ง สิ่งที่ไม่รู้ก็ได้รู้เพิ่ม ในชีวิตประจำวันเด็กๆกลุ่มนี้เรียนกันแบบคนหนึ่งมา คนหนึ่งเดินสวนไป เวลาที่ได้มานั่งร่วมห้องเรียนอย่างวันนี้พร้อมหน้ามีน้อยมากๆ
รู้แล้วก็นำมาใคร่ครวญ อาจารย์หวังสูงจริงๆ อย่างนี้ท้าทายมาก มิน่าๆ หมูพกปังตอมาด้วยอย่างพวกเราจึงถูกทาบทามให้มาทำงานชิ้นนี้ให้
พากันกลับถึงห้องประชุม เราก็เริ่มวางโจทย์ฝึกการสังเกต เราถอดรองเท้ากันก่อนเข้าห้อง แล้วสำรวจความพร้อมเพื่อรอทำกิจกรรมผ่อนพักตระหนักรู้ อุตส่าห์ทำตัวอย่างไว้ที่หน้าห้องกันดีแล้ว การณ์กลับเป็นว่าเมื่ออาจารย์ 2-3 ท่านกลับมาที่ห้อง รองเท้าที่อยู่หน้าห้องก็โดนหิ้วเข้ามาจัดเรียงไว้หลังห้องให้เรา จนจำเป็นต้องเดินไปบอกเป็นกฎเหล็กว่านี่คือโจทย์ที่เรากำลังจะให้นักศึกษาฝึก อาจารย์จึงชวนกันขนรองเท้ากลับไปเรียงหน้าห้องให้เราและถอดรองเท้าตัวเองไว้หน้าห้องด้วย
แค่เพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งความสุขแห่งชีวิตที่ได้รำลึกถึง คุณภาพแห่งใจก็เพิ่มกว่าเดิมมากแล้ว
เมื่อนักศึกษาทะยอยกันมา พวกเราก็นอนให้เห็นเป็นแบบอย่าง พี่ตึ๋งเลือกนอนบนเก้าอี้ที่เรียงซ้อนกันอยู่ทางมุมขวาของห้อง อุ๊ยรับหน้าที่กล่อมเด็กนอน น้าทำหน้าที่เปิดเพลงกล่อมก่อนพาตัวลงมานอน
เมื่อกิจกรรมผ่อนพักตระหนักรู้จบลง นักศึกษาถูกเราแบ่งกลุ่ม วันนี้ได้ยินเพลงแปลกๆจากนักศึกษาด้วย จำไม่ได้แล้วว่าร้องอย่างไร เป็นเพลงที่สนุกดี
เราให้ผู้คนในกลุ่ม นำเรื่องราวภาพมาเล่าสู่กันฟัง และให้ร่วมกันรวบรวมเป็นเรื่องเล่ารวมๆบนแผ่นกระดาษ แล้วแลกเปลี่ยนให้เพื่อนๆฟัง การทำกิจกรรมในตอนนี้นี่แหละ ที่นักศึกษาที่เป็นคนชอบแหกกฎเริ่มแสดงพฤติกรรมให้เห็น หลายพฤติกรรมแสดงออกชี้บ่งให้รับรู้ว่า ความเป็นคนนอกกรอบนี่แหละที่ทำให้หลายคนติด “รอ” เรียนไม่จบซักที
ระหว่างนักศึกษาแลกเปลี่ยนเรื่องเล่า เล่าสู่กันฟัง อาจารย์คงกลัวอะไรบางอย่างมั๊ง เธอจึงพาตัวเข้าไปช่วยพวกเราทำงานกับเด็กกลุ่มหนึ่ง ความผ่อนคลายบางอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นในเด็กกลุ่มนี้ก็หดหายไป กำแพงที่เริ่มละลายแข็งตัวขึ้นทันที
แล้วก็แล้วไป ฉันพาตัวเข้าไปชวนอาจารย์ออกมาจากกลุ่ม ด้วยการบอกอาจารย์ว่า โจทย์ที่เรากำลังชวนนักศึกษาเรียนรู้นี้ ไม่มีผิด ไม่มีถูก นักศึกษาตัดสินใจอย่างไรก็ได้ เมื่อได้เวลา เราก็ให้นักศึกษาเลือกตัวแทนเล่าเรื่องราวของตัวและเพื่อนทั้งกลุ่มให้กลุ่มอื่นฟัง
กำแพงละลายตอนกิจกรรมนี้นี่เอง คนเป็นกระทิงปอกเปลือกให้เห็นความเป็นกระทิงผ่านการเล่นระหว่างการเล่า คนใส่คราบหนูก็มีบ้างที่กล้าปล่อยยิ้มและหัวเราะออกมาเต็มเสียง กิจกรรมนี้จบลงด้วยความสมประสงค์ของเรา นักศึกษาได้เรียนรู้ว่าใครบ้างที่จะเป็นเครือข่ายในอนาคตในเรื่องราวที่สนใจเหมือนๆกัน เรื่องราวชีวิตที่เล่าสู่กันฟังทำให้พวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้น
นวดกันกลางห้องอย่างนี้แหละ นวดแล้วก็ลงเอยด้วยการชวนกอด
เมื่อความผ่อนคลายเกิดขึ้น เราก็ให้พวกเขาสะท้อนการเรียนรู้ อุ๊ยผ่องถ่ายวิธีเรียนรู้ด้วยการสังเกต ฉันชวนใคร่ครวญเรื่องของสิ่งที่ทำให้เป็นสุข ผ่อนคลาย ว่า “ใครทำ ใครสั่ง” ชวนรำลึกและใคร่ครวญถึงคุณค่าที่ให้ความหมายกับชีวิต ส่วนพวกเขาก็หลุดปากออกมากันหลายวลีเกี่ยวกับความหมายที่ชีวิตให้ความสำคัญ
แน่นอนว่าคำถามชวนเรียนรู้นั้นใช้คำถามยอดฮิต “รู้สึกอย่างไร เรียนรู้อะไร จะทำอะไร”
คำสะท้อนที่บอกออกมามีต่างๆไป “อยากจบเร็ว มีสุขภาพดี มีครอบครัวดี สิ่งที่เรียนรู้ทำสำเร็จ สังคมที่อยู่มีสุข ปฏิบัติอยู่ในศีลธรรม” “หวังความจริงใจกลับเมื่อมอบความจริงใจให้ใคร เห็นทุกสรรพสิ่งมีดีและไม่ดี เห็นการเริ่มต้นที่ตัวเองคิดด้านบวกให้คุณกับการไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
เมื่อพวกเขาสะท้อนกันรอบวงแล้ว ฉันก็โยนตัวกวนไว้แค่ว่า ” เพื่อนอยู่รอบตัวเรา และเพื่อนที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง” ระหว่างเราทำกระบวนการกลุ่ม พี่ตึ๋งปลีกตัวไปเตรียมงานของตัวเองอยู่เงียบๆ ช่วงนี้เราก็ชวนแกมบังคับให้บรรดาอาจารย์ลงมาร่วมวงสนทนา เราให้ลูกศิษย์เปิดวงคุยก่อน
สิ่งที่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ มีบางเวลาเหมือนกันนะที่เห็นไม่ธรรมดา
อาจารย์เจ้าของโครงการได้แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ความในใจที่บอกผ่านคำพูด บ่งบอกถึงความไม่สุขใจกับงานที่รับผิดชอบ อาจารย์ผู้ใหญ่อีกคน ลงมาร่วมแค่แนะนำตัวให้ลูกศิษย์รู้จัก อาจารย์คนอื่นๆที่ร่วมวงสนทนาคงรู้สึกว่าอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยของตัวเอง คำพูดที่เล่าเรื่องราวของตัวจึงยังคงเป็นการสอนลูกศิษย์อยู่ดี ไม่ได้มีส่วนร่วมทำให้เิกิดการสนทนาที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีใจ ฉันจึงไม่แปลกใจหรอกที่อุ๊ยมาเล่าว่า มีอาจารย์คนหนึ่งถามว่า ทำไมเธอจึงไม่รู้สึกว่ากระบวนการที่เรากำลังลงมือทำนั้น ไม่แตกต่างจากจิตตปัญญาศึกษาที่คณะอุ๊ยเพิ่งจัดอบรมไป
สนทนากันจบวงแล้ว ไมค์ก็โยนไปให้พี่ตึ๋งบรรเลงต่อ พี่ตึ๋งใช้สไลด์นำเสนอให้อาจารย์ได้มองเห็นผลของการเลือกวิธีเรียนของคนแบบเนียนๆ บรรยากาศของการเรียนช่วงนี้ พี่ตึ๋งคงรู้สึกว่าต้องใช้พลังมากในการชวนให้นักศึกษามีส่วนร่วม ดูๆก็เหมือนมุกฝืด แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นักศึกษากำลังทำงานกับโลกภายในของตัวเองต่างหากเล่า
จบการบรรยายของพี่ตึ๋ง อุ๊ยก็ชวนให้ตั้งวงนวด นวดสดๆกันกลางห้องนั่นแหละ นวดกันเพลินแล้ว อุ๊ยก็เริ่มแกล้งให้กอดกัน คราวนี้มีอะไรที่แแปลก นักศึกษากลุ่มนี้ไม่กล้ากอดกัน และก็ไม่มีใครไปกอดอาจารย์ด้วยนะ น้ากับอุ๊ยใช้พลังเยอะหน่อยกว่าจะจัดการให้ “กอด” จากใจเกิดขึ้น แล้วสัมผัสจากกอดทำให้อาจารย์น้ำตาซึมไปเลยเมื่อมีคนกล้าปลดกำแพงความกลัวเข้าไปกอด
ก่อนบอกลากัน ภาษากายบอกให้รู้ว่าอาจารย์อ่อนโยนลงมาก ฉันแอบเห็นเธอกล่าวอะไรบางอย่างกับอุ๊ยในเชิงนัดหมาย ฉันแน่ใจว่าเธอเข้าใจความเป็น “เฮฮาศาสตร์” แล้วหละ
ทำงานเสร็จแล้ว ก็กลับสิ ปรากฏว่าน้องครูอึ่งกับน้องครูอารามมารออยู่แล้ว เราจึงนั่งถอดบทเรียนกันก่อน แลกเปลี่ยนว่าใครรู้สึกอย่างไร รับรู้อะไร เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับงานวันนี้ คำตอบของฉันคือ วันนี้งานสำเร็จตามความคาดหวังของทุกฝ่าย ทุกคนเป็นฝ่ายชนะ พี่ตึ๋งเป็นห่วงเรื่องการสานต่อ แต่ฉันกลับไม่ห่วงมัน ฉันเชื่อว่า อาจารย์ผู้ใหญ่เจ้าของโครงการซึ้งแล้วว่า เธอได้ความรู้ใหม่อะไรเกี่ยวกับจิตตปัญญา
ถอดบทเรียนกันแล้วนัดหมายกันก่อนพี่ตึ๋งแยกกลับบ้าน น้าติดรถพี่ตึ๋งไปเตรียมตัวส่งป้านายและญาติๆกลับกรุงเทพฯ อุ๊ยกับฉันนั่งรถน้องครูอึ่ง มีน้องอารามขับให้ตามเคย พากันมาที่ห้องพักอุ๊ย เก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ
แวะซื้อไอติมปากซอยที่พักอุ๊ยดูดกันคนละแท่งแล้วไปรับหมอเป๋า ไปรับพี่ตึ๋งที่บ้านพี่ชาย แล้วพากันมาร้านกินข้าวซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่เขียนคำเตือนไว้ว่า “คนฉลาดไม่ฉี่รดหน้าบ้านคนอื่น” คมความคิดซะไม่มี ใช่ป่ะ อิ่มแล้ว หมอเป๋าก็แย่งซีนพี่ตึ๋งแจกตังค์เจ้าของร้าน
ขบวนเคลื่อนตัวไปที่นครชัยแอร์ถึงสถานีแล้วไม่พบป้านาย ไม่พบน้า พวกเราอารยะนินทาว่าที่น้าไร้เงาเดาว่าไปแอบซ่อนที่ร้านหมายเลขเจ็ดสิบเอ็ดอีกแล้ว
หมอเป๋าเป็นเด็กดีแบกกระเป๋าให้ฉันตลอดเวลาเลยเชียว ยอมวางลงก็ตอนถึงเวลาส่งของติดแท็กเตรียมขึ้นรถให้เรียบร้อยบริษัทนครชัยแอร์และได้เวลารถออกนั่นแหละ
เมื่อพาตัวขึ้นรถ ปรากฏว่าฉันเป็นคนสุดท้ายที่คนบนรถเขารอกันอยู่ เขินจริงๆกอดลากันจนคนอื่นเขารอแต่ก็คุ้มนะ ได้กลิ่นอ้อมกอดติดตัวมานอนฝันดีบนรถตลอดคืน
การเดินทางครั้งนี้จบลงที่กรุงเทพฯ ฉันไปสานต่องานที่มีคนขอตัวจากเจ้านายให้มาร่วมงานต่ออีก 5 วัน จึงจะได้กลับบ้านค่ะ
๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
Next : คิดแยกส่วน….สร้างสันติไม่ได้ » »
2 ความคิดเห็น
พี่สาวตาลืมอะไรหรือเปล่าคะ…อิอิ…(รู้ไหมว่า”ซองเปล่า” น่ะมีเรื่องราวต่ออีกมากมาย..อิอิ)
ไปร่วมงานกับบางท่านต่อจากนั้น ค้นพบว่าความอ่อนโยนในใจของอาจารย์ถูกดึงออกมาใช้มากขึ้น…แม้ว่าจะยังเจอปังตอเขี้ยงมาระดับเฉี่ยวหูเกือบขาดแต่ก็แรงส่งน้อยลง…หูเลยยังอยู่ไว้ฟังชาวบ้านได้อีก…ฮ่าๆ
เรื่องราวของ “ซองเปล่า” เป็นเรื่องดีๆที่ผู้มีประสบการณ์เกี่ยวข้องได้รับวัคซีนชีวิตนะน้อง เรียนรู้ปฏิกิริยาของวัคซีนตัวนี้ต่อไปเหอะนะ ดีออก