พิธีการ…พิธีกรรม
ลืมตาตื่นสภาพแสงทำให้นึกว่าตื่นสาย ที่ไหนได้เป็นเวลายังไม่ถึงหกโมง แสดงว่าฤดูกลางคืนสั้นกลางวันยาวก้าวเข้ามาแล้วอย่างไม่รู้ตัว อุ๊ยตื่นก่อนและจัดการตัวเองเรียบร้อยโรงเรียนอุ๊ยแล้ว ฉันตื่นทีหลังก็มีหน้าที่ทำอย่างอื่นไป จัดการตัวเองแล้วจัดการกระเป๋าเตรียมพร้อมกลับเข้ากรุงหลังเสร็จงาน
ได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าหออยู่หลายรอบ เข้าใจว่าเป็นพี่ตึ๋งมารับตามเวลานัดหมายแต่เก้อไปหลายรอบ ในที่สุดพี่ตึ๋งก็มารับตามสัญญา ไม่ได้ช้ากว่าเวลานัดหรอก แวบแรกที่เห็นตัวพี่ตึ๋ง เราสองสาวแอบแซวเล็กๆด้วยกัน “วันนี้หล่อเชียว” แซวแล้วก็หันมาดูตัวเองกันแล้วจบลงด้วย….อิอิ
ถึงบ้านน้า น้ารออยู่แล้วกับเจ้าแพน อาหารเช้าตามสั่งวางรออยู่เรียบร้อยโรงเรียนน้า นั่งกินไปคุยไป ทวนกันว่าจะทำอะไรในวันนี้บ้าง แล้วสรุปลงด้วยคำตอบ…เตรียมเครื่องมือนี่ไป ทำอย่างนี้ก็ได้ ทำจริงอย่างไรไปดูกันก่อน
ออกเดินทางกันหลังท้องอิ่มเลยเวลาที่คาดกันไว้นิดหน่อย เส้นทางที่รถวิ่งผ่านมีวิวสวยๆให้ชมเพลินตา บนเส้นทางไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน
รถวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มรู้สึกตัวกันว่าหลงทางแล้ว มองไปข้างหน้าเห็นเด็กหนุ่มจูงควายเดินไปตามถนนอยู่จึงแวะถาม เด็กบอกด้วยความมั่นใจว่า “ยังไม่ถึง ไปอีก” เชื่อเด็กกันทุกคนวิ่งรถเดินหน้าต่อไป วิ่งมาไกลก็ยังไม่เห็นเป้าหมายจึงเอะใจ แวะถามผู้คน ณ สำนักงานของหน่วยราชการหนึ่งริมทาง เขาตอบให้รู้ว่าไม่รู้จัก
ทิวทัศน์ยามเช้าในชนบทของเชียงใหม่…สงบงามแต้ๆ
พี่ตึ๋งตกลงใจใช้สัญชาตญานเดา วิ่งรถย้อนเส้นทาง จนมาถึงทางแยกที่น้าบอกว่าคุ้นๆน่าจะเป็นตรงนี้ ตรงทางแยกมีป้ายแผ่นใหญ่แต่ชำรุดไปเหลือแต่แผ่นป้ายเปล่า ไม่มีอะไรให้อ่านรู้เรื่อง เห็นปลายศรที่ชี้ทางเข้า พี่ตึ๋งตัดสินใจวิ่งรถไปตามเส้นทางลูกศรชี้ เวียนวนไปจนถึงที่หมายก็เป็นเวลาเลย ๙ โมงเช้าแล้ว
ระหว่างทางได้ยินน้ากับอุ๊ยคุยกันเรื่องลูกอะไรสีขาวๆใส่กะบะเล็กๆวางขายตามเพิิงข้างทาง เจ้าลูกสีขาวๆนี่มีเรื่องให้ได้…อิอิ…กับการเห็นออกมาหลากหลาย…แปลกจริงๆ…เห็นต่างกันไปได้ยังไง….ใครเจอน้องครูอึ่งและน้องครูอารามถามกันเอาเองเน้อ
เข้าไปถึงบริเวณที่หมายก็มีชายคนหนึ่งยืนอำนวยความสะดวกโบกรถบอกเส้นทางอยู่เลยทางเข้าเล็กน้อย พี่ตึ๋งจอดรถใกล้ๆกับที่เขายืน พอเปิดหน้าต่างก็ได้ยินเขาโบกมือและบอกว่าไปส่งคนที่นั่นครับ เดี๋ยวค่อยวนรถมา….เขียนบันทึกไปก็นึกขำไปพลาง….นึกไปว่านี่ถ้าพี่ตึ๋งยังเป็นโจรอยู่ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น…..5555
พี่ตึ๋งวนรถไปถึงหน้าตึกที่หมายจอดให้สาวๆลง ทุกคนบอกว่าไม่ลง ให้วนรถไปจอดก่อนแล้วค่อยเดินมาด้วยกัน พี่ตึ๋งจึงวนรถมาที่จอดรถ ฉันกับอุ๊ยลงจากรถแล้วก็เดินมาด้วยกัน พี่ตึ๋งขึ้นนั่งรถก๊อล์ฟที่เขามารับไปส่งที่ตึก น้าพร้อมกล่องอุปกรณ์ที่เตรียมมานั่งรถอีกคัน
ระหว่างเดินกันไปยังห้องประชุมเป้าหมาย สาวคนหนึ่งเดินสวนทางมาอุ๊ยส่งเสียงทักทาย อ้อเป็นผู้ประสานงานหลักนี่เอง รู้สึกว่าเธอแปลกจากผู้ประสานงานหลักที่เคยเจออยู่นะ ก็หลังรับคำทักของอุ๊ยเธอพาตัวเดินย้อนศรกับเราไปเฉยๆ ไม่คุยกับเราเลย
เดินมาถึงห้องประชุม ทีมเราถือวิสาสะเดินเข้าห้องกันเอง ภาพตรงหน้าเจนตามาก ผู้ให้ความรู้อยู่หน้าห้อง ผู้นั่งฟังอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้อง และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งนั่งทำงานอยู่เป็นแผงในแถวหลังสุดหลังห้อง
เข้าไปแล้วก็จัดการตัวเองหาที่วางก้น ถือวิสาสะนั่งลงตรงแผงเก้าอี้แถวหลังสุดที่ยังมีที่ว่าง ระหว่างนั่งน้าเริ่มทำการบ้าน หยิบตารางเวลาการประชุมมาดูด้วยตัวเอง เห็นตารางกันแล้วจึงรู้ว่าเวลาทำงานของพวกเราจะเริ่มขึ้นหลังพิธีการของผู้จัดจบลง
บรรยากาศในห้องก่อนที่จะมีพิธีการต่อ….เจ้าของโครงการกำลังสอนเรื่อง plagiarism
ฉันกับอุ๊ยตกลงกันว่าวันนี้เราจะใช้การสังเกตเป็นเครื่องมือทำงาน จึงไม่ได้ชวนกันวางแผนงานระหว่างนั่งรอ เราเริ่มตกลงการทำงานกัน เมื่อพื้นที่ทำงานถูกส่งมอบ ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก จัดลำดับใครเริ่มก่อน ใครรับลูกต่อเท่านั้นเอง มองตากันแบบเชื่อมือกัน รอจังหวะโยนไมค์ให้กันแค่นั้นเอง
น้านั่งส่งใจไปหาน้าแป๊ดอย่างตั้งอกตั้งใจเชียวนา…เห็นกันหรือเปล่า…อิอิ
เสื้อต่างสีบอกความเป็นคนละรุ่นเห็นๆอยู่ นักศึกษาทั้งกลุ่มมีผู้ชายอยู่แค่ ๓ คนเอง
ฉันใช้เวลาของการรอซึมซับความงามของสถานที่ พาตัวออกมาเดินสำรวจความสวยงามนอกห้อง ฝูงปลาคาร์ฟขนาดฝ่ามือแหวกว่ายอยู่ในสระน้ำกลางโถง กล้วยไม้งามๆถูกประดับประดาไว้รอบๆสวยงามเหมาะเจาะ ชอบใจกับสวนข้างสระตรงที่นำเฟิร์นผักกูดมาปลูกประดับไว้ด้วยทำให้รู้สึกเย็น
มุมงามๆของสวนและสระในอาคารห้องประชุม
เมื่อกิจกรรมแรกสิ้นสุดลง อาจารย์เจ้าของโครงการก็พาตัวมาทักทายพวกเรา ทำให้ได้มีโอกาสคุยกันเล็กน้อย กิจกรรมต่อมาเป็นพิธีกรรมที่อาจารย์ชวนให้พวกเราเข้าไปร่วมด้วย บรรยากาศของกิจกรรมเป็นอย่างไรดูในภาพได้ค่ะ
ระหว่างรอพิธีกรรม พวกเราก็คุยกัน ใครเริ่มก่อนใคร ทำอะไรก่อน ตกลงให้พี่ตึ๋งเล่านิทานก่อน เรื่องที่เล่าเป็นเรื่อง “ปวดหัวกับสาวห้าง” แล้วต่อด้วยการเช็คอิน
บรรยากาศของการรับน้อง มีปีสอง ปีสาม เป็นผู้จัดการและเตรียมการ อาจารย์เป็นผู้ดูและรอทำพิธีการ แล้วปีหนึ่งก็ถูกปิดตาพาเดิน
เปิดตาให้น้องแล้ว ปีสองก็พากันมาออที่ซีกอาจารย์ให้ผูกข้อมือ ผู้ประสานงานและน้าไม่ยอมเข้ามานั่งในกลุ่มด้วย
ระหว่างที่พี่ตึ๋งเล่านิทานและชวนคุย บรรยากาศไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ มีบ้างที่บางใบหน้าเปื้อนยิ้ม นักศึกษาเขาบอกความคาดหวังมาว่า วันนี้ตั้งใจมาเที่ยวนอกสถานที่ เปลี่ยนที่กินข้าวเที่ยงฟรี มารู้จักเพื่อนๆพี่ๆ อาจารย์ พี่รหัส มาดูคนครอบครัวเดียวกัน มารู้จักตัวเอง มาเรียนรู้สิ่งที่ไม่รู้ มารับน้อง มาหลอมรวมพฤติกรรม ทำกิจกรรมร่วมกัน อยากเห็นหน้าน้อง อยากฟังอาจารย์
ท่านั่งที่เห็นของนักศึกษาบอกให้รู้ถึงความตั้งใจอยู่ในกรอบทั้งๆที่แท้จริงแล้วก็อยากเป็นคนนอกกรอบอยู่ไม่น้อย
เมื่อรับรู้ความคาดหวังแล้ว พี่ตึ๋งก็เริ่มทำข้อตกลงปลงใจ แหย่ไปว่าหลายข้อที่ต้องการสำเร็จลงแล้ว ไม่เหลืองานอะไรให้พวกเราทำอีก เราก็กลับกันซิ ดูเหมือนเป็นการแหย่ที่แรงไปหน่อย นักศึกษาพากันนั่งเงียบไปเลย
หลังจากนั้นอุ๊ยก็ชวนใช้ทักษะการสังเกตด้วยรูป Zoom in-Zoom out ระหว่างเรียนรู้อุ๊ยก็ชวนให้เขานั่งอย่างสบายๆ ชวนวางสิ่งของข้างกาย มีคนทำตามที่อุ๊ยชวนไม่เท่าไร
เมื่อแสดงภาพจบลงแล้วก็ชวนพวกเขานั่งล้อมวงคุย คราวนี้อุ๊ยชวนฉันทำกิจกรรมไปด้วยกัน เราตกลงชวนให้นักศึกษาสะท้อนการรับรู้ตัวเองของเขาด้วยกัน เสียงสะท้อนที่บอกความรู้สึกต่อเราอย่างซื่อตรงว่าอึดอัดอย่างมากที่ให้นั่งบนเก้าอี้แล้วบอกให้ทำตัวสบายๆบอกเรา ๒ คนว่าสามารถนำพาพวกเขาเข้าถึงพื้นที่ปลอดภัยของเขาได้สำเร็จแล้ว
บรรยากาศการเรียนรู้ที่พี่ตึ๋งพาตัวไปนั่งเป็นลูกศิษย์ของอุ๊ยด้วยคน
หลังจากนั้น เราก็ให้โจทย์เขาเล่าเรื่องวัยเด็กที่ประทับใจให้ตัวเองฟังผ่านการบันทึกลงกระดาษ ใช้รูปแบบที่ถนัดของเขาเองบันทึก ซึ่งมีออกมาหลากหลาย ส่วนใหญ่วาดภาพเล่าเรื่องราวหรือใช้สัญญลักษณ์ มีบางคนเท่านั้นที่ใช้เขียนเป็นข้อๆไม่วาดภาพ
เราปิดกิจกรรมด้วยการให้นั่งล้อมวงคุยรอบสอง ฉันสะท้อนความคิดของฉันกับคำว่าเพื่อนแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ชวนพวกเขาให้มองเห็นทางเลือกที่ตัวเองเลือกได้ ชวนใคร่ครวญกับสิ่งที่ตัวเองให้ความหมายกับคำว่า “เพื่อน” “คุณค่าที่ให้ความหมายกับชีวิต” “หนัก” “ผ่อนคลาย” “ผู้ลิขิตชีวิตตัวเองกับความสุขสบาย ผ่อนคลาย” “ความสบายที่สามารถเลือก”
คำพูดที่สะท้อนกับวงถึงสิ่งที่เรียนรู้และความรู้สึกของตัวเองเป็นรอบที่สองบอกให้รู้ว่า ตัวกวนที่โยนไปกระตุกความคิดให้พวกเขาบางคนเห็นตัวเองแล้ว คุยกันรอบวงแล้วเราก็ให้พักกินข้าว ให้พวกเขาเก็บเรื่องวัยเด็กไว้กับตัวก่อน
ก่อนไปกินข้าว น้าทำหน้าที่ประสานงานเจ้าหน้าที่โรงแรมให้จัดสถานที่ให้เราใหม่
ภาษากายที่เปลี่ยนไปและการตอบสนองให้เกิดความสบายเวลานั่งของพวกเขา บอกให้รู้ว่าเขาเริ่ม “ตื่น” มาเห็นความรู้สึกของตัวเองแล้ว
๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
3 ความคิดเห็น
เรียบร้อยโรงเรียนอุ้ย อิ
นึกถึงท่าทางมั่นใจมากของเด็กเลี้ยงควายแล้ว ขำๆ
เอาผู้ใหญ่ 4 คนเชื่อได้
งานนี้ได้ประสบการณ์เยอะจริงๆ ค่ะ ตั้งแต่เรื่องติดต่อยันจบ(หลังงานที่ต้องมาสางบัญชีให้เขาต่อ..ฮ่าๆ)
#1 โรงเรียนอุ๊ยนี่มีหลักสูตรหลากหลายดีจริงๆค่ะพ่อครู
#2 ประสบการณ์ในโลกรอบตัว ไม่มีอะไรที่ธรรมดาเลยนะน้องสร้อย พี่ไปเป็นนักเรียนโข่ง ก็ได้พบว่าสิ่งที่น้องสร้อยได้ประสบการณ์กับตัวเองนั้น เวลานี้กลายเป็นโรคระบาดในทุกองค์กรด้วยหละ ขอบอก ความเป็น change agent คือวัคซีนป้องกันโรคนี้ การมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างน้องสร้อยจึงเป็นโชคดีที่ธรรมชาติของอค์กรน้องสร้อยมอบรางวัลให้เน้อ