เรื่องด่วน

โดย สาวตา เมื่อ 24 พฤษภาคม 2010 เวลา 23:39 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, วงโรตี, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1106

จู่ๆก็มีโทรศัพท์มาหาในเวลา ๕ ทุ่มของวันหยุดแรกของสัปดาห์ แต่มารู้ว่ามีคนโทรเข้ามาก็รุ่งเช้าแล้ว เห็นเวลาที่โทรก็นึกว่าคนโทรมีเรื่องด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ เจ้าของเบอร์นี้ไม่เคยโทรหาในเวลาดึกอย่างที่ปรากฏแก่ตามาก่อน ก่อนเที่ยงวันนี้ก็ใช้เวลาด้วยกันค่อนวันแล้ว  โทรมาอีกจะให้เข้าใจอย่างอื่นได้ยังไง

โทรกลับไปคุยกับเจ้าของเบอร์โทรหลังจากได้รับรู้ไม่นาน  เจ้าของเบอร์รับสายทันทีอย่างคนที่มีใจจดใจจ่อรออยู่ เมื่อถามกลับไปว่า “โทรมาเหรอ มีอะไรเหรอ” เสียงที่ตอบรับมาก็เล่าฉอดๆ “หนูโทรมาเพราะมีเรื่องร้อนใจ เมื่อคืนมีเรื่องทะเลาะกับน้องสาว” แล้วเธอก็เล่าเรื่องโดยสังเขปให้ฟัง

ฟังเรื่องที่เล่าแล้วแปลกใจ อืม เรื่องแค่นี้อ่ะที่ทำให้โทรมาปรึกษาตอนดึก  ฟังเงียบๆจนเธอพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเองกำลังตัดสิน รีบแขวนคำตัดสินไว้ รู้ตัวแล้วก็หยุดคิด หยุดการตัดสินเธอ นิ่งฟังต่อ

จับกระแสความสับสนที่แฝงอยู่ในสำเนียงพูดของเธอได้  ฉันคิดว่าไม่ควรปฏิเสธการไปพบเธอ เมื่อเธอหลุดคำพูดว่า “หมอว่างไหม หนูได้เรื่องของเมื่อวานตอนเช้าที่ก้าวหน้าขึ้น อยากจะให้ช่วยดู”  ฉันจึงแบ่งรับแบ่งสู้ว่า หากเคลียร์ตัวเองได้ก็จะไปเจอเธอ

แต่วันนี้ฉันรับปากกับลูกสาวว่าจะทำกับข้าวกันเองแบบครอบครัวร่วมด้วยช่วยกัน ไม่อยากออกไปกินนอกบ้านนี่ซิ คิดเร็วตัดสินใจเร็วบอกเธอไปตรงๆว่าเช้านี้มีนัดทำอะไร เธอจึงบอกกล่าวอย่างง่ายๆว่า เวลาตั้งแต่บ่าย ๒ โมงเธอจะอยู่ที่ไหน เวลาไหนของหลังบ่ายหากฉันว่างก็ขอให้มาพบกัน

หลังโทรศัพท์ก็พาตัวไปซื้อของสดที่ตลาดตามเมนูที่ลูกสาว ลูกชายคิดไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน ระหว่างแวะซื้ออาหารเช้าให้ลูกสาว อุ๊ยก็โทรมาคุยเรื่องงานเข้า คุยกันตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารเช้าจนมาถึงบ้าน ลูกสาวกินอาหารเช้าเรียบวุธไปแล้วพักใหญ่

ระหว่างลงมือทำกับข้าว ลูกสาวถามว่า “พ่อรู้หรือยังว่าวันนี้ทำกับข้าวกินเอง”  ฉันตอบไปว่า “ไม่รู้มั๊ง พ่อไปบ้านป้าก่อนแม่ไปตลาดตั้งนาน”  ลูกสาวโทรบอกพ่อแล้วก็พาตัวไปเล่นคอมฯ  สักครู่ก็เดินไปเดินมาเพื่อถามว่า แม่มีอะไรให้ช่วยบ้าง ได้ลงมือช่วยนิดหน่อย เธอก็พอใจ แล้วก็กลับไปง่วนกับการคุยกับเพื่อน เสียงคุยหยุดไปตอนไหนไม่รู้ สักครู่ก็พาตัวมานั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆคอยให้เรียกเป็นลูกมือ

กับข้าวยังไม่ทันเสร็จ คุณสามีก็กลับถึงบ้าน กับข้าวเสร็จก็กินข้าวด้วยกัน ๓ คนพ่อแม่ลูก อิ่มแล้วลูกสาวช่วยล้างจาน จัดการกับเศษอาหาร มื้อนี้ลูกชายนัดว่าจะกลับมากินข้าวบ้านด้วยแต่ไม่โผล่หน้ามา คงขี้เกียจรีบและร้อน ไป-มากลางแดดเปรี้ยงจึงไม่กลับมาจากที่เรียน

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ต่างคนต่างก็ใช้เวลาอยู่กับเรื่องที่ตัวเองสนใจ ฉันเองตั้งใจว่าช่วงเย็นๆหน่อยจะแวะไปหาสาวน้อยที่โทรมา

แล้วก็เกือบลืม เกือบลืมเพราะดูทีวีแล้วหลับผลอยไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็เลยบ่ายสามไปแล้ว

เมื่อพาตัวออกไปพบเธอ ปรากฏว่าเธอนัดหมายคนอื่นให้ออกมาคุยกันด้วย แล้วเธอก็ให้ฉันดูเอกสารที่เป็นเงาร่างของความคิดบางอย่าง สักครู่ผู้คนที่เธอนัดหมายก็มาพร้อมกัน ระหว่างนั่งคุยกันก็รับรู้ว่าเธอมีความเครียดสูงมากจนทำให้เธอสับสนกับจุดยืนของตัวเองที่พาตัวเข้าไปเกี่ยวกับธุรกิจชิ้นหนึ่ง

จุดเอ๊ะว่าเธอเครียดสูงก็เห็นจะเป็นตรงที่เธอรับปากจะทำธุรกิจแบบนอมินีให้กับคนอื่นที่เธอเพิ่งรู้จักแค่หน้าและชื่อ แถมยังเคยคุยด้วยกันเพียงแค่ครั้งเดียว (ตอนรับปากเป็นนอมินี เจอกันเป็นครั้งที่ ๒) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

ในหลายคนที่เธอนัดหมายมาคุยด้วยมีคนที่ได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนตามน้ำไม่ต้องเสี่ยงอะไรด้วยกับการเป็นนอมินีของเธอ คนนี้ก็เป็นคนที่เพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่ครั้งและเธอรู้แค่ว่าคนนี้ทำงานที่ไหนเช่นกัน

สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ขนลุก เป็นไปได้ยังไงนี่ คนที่เครียดจัดทิ้งสติของตัวไปง่ายดายยังงี้เชียวเรอะ ไม่อยากจะเชื่อเลย

โชคดีหน่อยที่คนอีก ๒ คนที่มาร่วมคุยด้วยเป็นคนที่ปรารถนาดีกับเธอและมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนในเรื่องของธุรกิจดังกล่าว จึงสามารถช่วยกันดึงเธอให้ออกมาพบกับความจริงของการตัดสินใจของเธอ เมื่อภาพของนอมินีปรากฏชัดขึ้น เธอก็หลุดปากมาให้รู้ว่า เธอก็ไม่รู้ว่าเผลอไปรับปากจะเป็นนอมินีได้ยังไง

เป็นเรื่องจริงนะกับคำกล่าวที่ว่า “สติมาปัญญาเกิด” เมื่อเธอรู้ชัดถึงตำแหน่งงานที่เธอกำลังจะรับปาก เธอก็หลุดปากบอกชัดๆว่า “หนูไม่อยากทำงานชิ้นนี้แล้ว”

เมื่อคำนี้หลุดออกมาจากปาก อย่างน้อย ๓ คนที่นั่งร่วมอยู่ด้วยก็ได้บอกเธอว่า “ยังไม่สายที่เธอจะกลับไปคุยกับเจ้าของชิ้นงาน บอกให้เข้าใจว่าเธอจะรับงานลึกแค่ไหน”  แล้ววงสนทนาก็สลายตัว

ก่อนจะแยกจากกัน เธอก็ชวนฉันว่า “หมอมีเวลาไหม หนูขอเวลาคุยด้วยเรื่องนั้น”  ซึ่งฉันก็ให้เวลากับเธอ

เราคุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นยัน ๓ ทุ่ม คำแรกที่เริ่มคุยกันเธอถามว่า “หากหนูจะไปทำงานที่ภูเก็ตไม่กลับบ้านเลย หมอว่าจะดีไหม” เจอคำถามนี้ฉันอึ้งค่ะ ตั้งสติอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกเธอกลับไปว่า “ดีหรือไม่ดี คนตอบคือหนูเอง”  บอกแล้วก็ชวนเธอคุยไปเรื่อยค่ะ ตั้งคำถามบ้างแลกเปลี่ยนบ้าง

เมื่อเธอวกมาเรื่องอยากไปจากครอบครัวและตัดสินใจแล้วที่จะไปจากครอบครัว  บางคำพูดก็อ้างถึงการกระทำของพี่ชายที่ทำให้เห็นมาก่อน บางคำพูดก็เอ่ยถึงบุพการีว่าเหตุการณ์อย่างที่เธอเจอในครัวเรือนนี่แหละคือต้นตอที่ทำให้บุพการีเกิดความเครียด และขณะนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับเธอ

เธอเล่าความรู้สึกที่ทำให้เธอตัดสินใจจะตัดขาดจากครอบครัวว่า “ไม่เข้าใจว่าทำไมคนในครอบครัวแม้กระทั่งหลานตัวเล็กจึงก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของหนูอย่างไม่เกรงใจ หลานตัวเล็กๆกล้าตำหนิหนู ด่าหนู  ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องทุกอย่างที่พี่น้องต้องการให้พาไปไหนๆจึงมีแต่หนูที่ถูกเรียกหาอยู่เรื่อยไป ไม่สนองก็โดนว่า โดนบ่นทุกครั้งไป ทำไมใครๆจึงเห็นเป็นว่าหนูว่าง หนูก็มีงานของหนูที่ต้องทำ ทำไมคนอื่นเขาเอาแต่ก่นว่าตัวเองไม่ว่าง แต่จะให้หนูว่างแบ่งเวลาให้ทั้งๆที่แท้จริงหนูมีงานต้องทำ หนูก็ต้องทำงาน ทำไมไม่มีใครเห็น”

เมื่อฉันชวนให้เธอหันมาถามใจของตัวเองให้ถ่องแท้หลังได้คุยกันไปเนิ่นนานว่าตอบตัวเองให้ตรงใจหน่อย “แน่ใจว่าตัดขาดจากครอบครัวได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า”  มีบางช่วงที่เธออึ้งค่ะ และมีบางช่วงที่เธอพูดถึงการตัดสินใจที่คนอื่นให้คำแนะนำไว้กับเธอ หรือออกความเห็นต่อพฤติกรรมที่เธอทำ

เธอบอกว่า เพื่อนๆมักจะบอกเธอว่า “ไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอสักคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเท่าเธอ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่ครอบครัวแจ้งความประสงค์มายังเธอ เธอจึงทำให้ทุกครั้งไป เสียงานอย่างไรก็ทำให้ทันที เช่น พี่สาวโทรมาบอกว่าน้าไม่สบาย ให้กลับบ้านด่วนเย็นนี้ เธอก็ลางานกลับไปทันที ทั้งๆที่เจ้านายมีงานสำคัญมอบให้ทำและค้างอยู่ หรือมีโทรศัพท์จากน้องสาวเข้ามาระหว่างเธอติดต่องานระดับเงินล้านอยู่กับลูกค้าสำคัญ แทนที่เธอจะไม่รับสาย เธอก็รับทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องที่โทรมาไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ก็แค่อยากรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่

เวลาคุยที่เนิ่นนานถึง ๓ ชั่วโมงยุติลงเพราะเธอเหลือบไปเห็นเวลา เห็นรอบตัวว่ามืดสนิทแล้ว ฉันก็ไม่ได้สังเกตว่ารอบตัวมืดสนิทแล้ว

ฉันชวนเธอคุยเรื่องชีวิตต้องมีลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง แล้วชีวิตของเธอมีการลำดับความสำคัญอย่างไรบ้าง ก่อนจับเรื่อง ๒ เรื่องมาสัมพัทธ์กันเพื่อให้เธอเห็นน้ำหนักข้างที่เลือก แล้วถามเธอว่าหากต้องเลือกเพียงหนึ่งเธอจะเลือกอะไร เรื่องที่นำมาสัมพัทธ์กันให้เธอจัดความสำคัญเป็น “งาน” กับ “ครอบครัว (รวมหมดพ่อแม่พี่น้องญาติ)” แล้วบอกให้เธอจับ ๒ เรื่องขึ้นตาชั่ง เธอจะให้ข้างไหนหนักกว่า  แล้วก็ชวนเธอคุยต่อเรื่องการเลือก “การดูแลตัวเองให้อยู่รอดด้วยการงานทิ้งครอบครัว” กับ “การให้ครอบครัวแต่งานไม่รอด” เธอแน่ใจว่าสิ่งที่เธอเลือกเป็นความรู้สึกจริงๆในใจอย่างไร

ระหว่างที่คุยกันอย่างนี้ สัมผัสว่ามีหลายครั้งที่เธออึ้ง  หลังอึ้งก็มีพฤติกรรมเบนความสนใจด้วยคำพูดหลายแบบ “หนูตัดสินใจไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแล้วเพราะทนไม่ได้แล้ว”  หรือไม่ก็เล่าว่า “เพื่อนเคยให้ความเห็นว่า…..เคยเห็นพี่เขาทำอย่างนี้แล้วทำได้…..”

เมื่อเรื่องราววนไปวนมาอยู่ในทำนองนี้ ฉันจึงตัดสินใจใช้ไม้นี้ค่ะ “ไม่เอาคำตัดสินใจของคนอื่นมาตอบ ให้หนูนะแหละตอบออกมาให้ชัดกับตัวเองว่า หนูตัดครอบครัวขาดได้จริงๆ  เมื่อหนูไปจากที่นี่แล้วครอบครัวติดต่อหรือไปหาหนู หนูก็จะไม่ตอบสนองอะไร หนูจะไม่รู้สึกอย่างไรที่จะตอบสนอง หนูมั่นใจว่าหนูจะทำอย่างนั้นนะ”  ซึ่งเธอก็เบนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นอีกนะแหละ

ฉันย้ำคำถามนี้หลายครั้ง ทุกครั้งเธอไม่ตอบเป็นเสียงให้ได้ยิน แต่ตอบให้รู้ว่าได้สติด้วยการ “อึ้ง” ฉันย้ำถามชวนให้เธอตอบจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงคุยที่เบนเข็มไปเรื่องอื่น ฉันจึงเปลี่ยนเรื่อง

แล้วเราก็คุยกันต่อในเรื่องของวิธีการวางแผนชีวิต  การมองอีกมุมก่อนตัดสินเรื่องราว (แขวนคำตัดสิน)  การสนทนาที่ไม่เร่งรัดของค่ำคืนนี้ในช่วงของการเดินไปพร้อมกันกับการวางแผนชีวิตทีละขั้นของเธอ พร้อมป้อนคำถามที่กวนให้ใคร่ครวญ ได้ช่วยคลี่ภาพชีวิตบางตอนของเธอออกมาให้เธอเห็นชัดขึ้น แล้วสติเธอก็เริ่มคืนมา

ก่อนจากกันฉันว่าเธอได้ข้อตัดสินใจบางอย่างกลับไปใคร่ครวญเพื่อตัดสินใจแล้วค่ะ

กลับมาถึงบ้านลูกสาวก็ถามว่า “แม่หายไปไหนมา” เมื่อตอบเธอว่า “แม่ออกไปคุยมา มีคนที่มีปัญหาหัวใจเขาขอปรึกษาแม่”  ก็แว่วเสียงของเธอดังมาว่า “แม่นี่ทำอะไรตั้งหลายอย่างเลยนะ”  ฉันตอบเธอไปว่า “ช่วยให้คนสบายใจได้แม่ก็ช่วย ได้บุญนะลูกช่วยคน”

ขอถอดบทเรียนไว้หน่อยกับเรื่องด่วนเรื่องนี้ :

ด่วนไม่ด่วนอยู่ที่ใจคน

สั้นยาวก็ใจคน

เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ใจคน

สงบรำงับมีสติมีดี

คุยแบบตามทัน-รู้

อะไรพาไขว้เขวให้แขวน

ไม่เทไม่ใส่ใจสนใจ

สติก็มาหาเร็ว

ปัญญาพาห่างเหวออกมา

ชีวิตชีวาได้สงบเพิ่ม

สติเสริมเติมความคิด

ขุ่นมากขุ่นน้อยปลดปล่อยไป

ก่อนจบบันทึก ชวนให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านค้นหาคำตอบหน่อยว่า “ในเรื่องเล่านี้ มีเรื่องของความรุนแรงในครอบครัวอยู่บ้างมั๊ยค่ะ”

« « Prev : อย่าคิดว่าเป็นกระบวนการหาร ๒ เลย…ไม่ใช่หรอก

Next : แกะรอยกันหน่อย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "เรื่องด่วน"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.59119892120361 sec
Sidebar: 0.2660801410675 sec