ยังไงดี

โดย สาวตา เมื่อ 8 พฤษภาคม 2010 เวลา 12:14 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สวนป่า, สังคม, เล่าสู่กันฟัง, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 982

เมื่อรับรู้ข่าวที่ครูอึ่ง กัลยาณมิตรรุ่นน้องจะไปจัดกิจกรรมที่สวนป่าในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ก็รับรู้ใจตัวเองว่าอยากไปร่วม แต่ก็ตัดสินใจให้สะเด็ดน้ำไม่ได้ซะที  เมื่อกลับจากค่ายนักศึกษาแพทย์ที่สวนป่าแล้ว ชีวิตก็ได้อยู่พร้อมหน้าในครอบครัวเมื่อลูกสาวกลับมาบ้าน ยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจยากขึ้นเมื่อเห็นความสุขของคนรอบตัวที่ได้อยู่พร้อมหน้า

ในเมื่อตัดสินใจยากก็ยัีงไม่ตัดสินใจ จนถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจก็ตัดสินใจ  เมื่อตัดสินใจแล้วก็พบว่ามีการต้องแลกเกิดขึ้น  อืม ชีวิตมีได้ มีไม่ได้เสมอ  ชีวิตมีได้ มีเสียเสมอ  ไม่มีอะไรที่มีแค่มุมเดียวจริงๆ  การตัดสินใจครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ทั้งได้ทั้งเสียทั้งไม่ได้ไม่มีอะไรที่เบียดเบียนใจเรา เมื่อตัดสินใจอย่างซื่อสัตย์ต่อตัวเองจริงๆในทุกแง่มุม

ความสุขที่ลงตัวด้วยความไม่เบียดเบียนจิตของตนและคนรอบข้าง เมื่อตั้งเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตที่พึงเลือก มีเรื่องให้ฝึกฝนจิตหลากหลายทีเดียว

ตัดสินใจเดินทางอีกครั้งในเย็นวันที่  ๔ พฤษภาคม และกลับให้ถึงบ้านเย็นวันที่ ๗ พฤษภาคม ส่วนเวลาของการกลับจากสวนป่าและการเข้าเรียน ๔ส๒ ยังไม่ตัดสินใจ

๒ วันก่อนเดินทางสะสางงานก่อน  โชคดีที่งานที่เจ้านายให้ร่วมตัดสินใจยังเป็นเรื่องของงานคุณภาพจึงไม่มีงานใหม่อะไรมากมายที่ต้องใช้เวลากับการเคลียร์งาน

ในบ่ายของวันเดินทาง ตั้งใจจะเคลียร์งานเอกสารและงานดำเนินการที่ยังคั่งค้างกับลูกน้อง เจ้านายก็ให้เลขาฯโทรมาตามตัวหลายรอบ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ต้องการให้มีส่วนร่วมกับงานบางอย่าง  อยู่ร่วมตัดสินใจกับทีมจนกระทั่ง ๕ โมงเย็นจึงขอตัวกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวเดินทาง

ระหว่างเก็บของจะกลับบ้านก็มีเสียงโทรศัพท์กริ๊งมาหา พ่อครูโทรมาถามว่า ถึงไหนแล้ว ตอบไปว่ายัังไม่ออกจากกระบี่เลยอ่ะ  แล้วก็เล่าแผนการเดินทางให้รู้ว่า นัดกับน้าไว้ที่สถานีรถบุรีรัมย์ในตอนเช้า

เริ่มเดินทางก็รู้ตัวว่ามีสิทธิเดี้ยงหากไม่ดูแลตัวเองให้ดีก็ร่างกายมันร้อนรุมๆแบบคนกำลังจะมีไข้ผสมอาการที่มีคอแห้งร้อนและเริ่มระคายเจ็บนิดๆ ไม่คิดว่าเป็นอาการของคนเป็นหวัดหรอก แต่มันคล้ายๆจะเป็น ก็เลยดวดน้ำซะเป็นขวดๆก่อนออกจากบ้าน แล้วระหว่างทางก็ตั้งใจหาน้ำดื่มไปเรื่อยๆ  ถึงสุวรรณภูมิก็เลยใช้เวลาโต๋เต๋หาน้ำดื่มให้พอก่อนเดินทางต่อ

ไฟลท์ที่เดินทางมาคราวนี้ที่นั่งเต็ม คนใช้บริการโหลดของก็ไม่มากเลย แต่รอนานกว่าครึ่งชั่วโมงเลยแฮะ

บนเครื่องบิน ได้ที่นั่งติดกับน้องชายของหมอคนหนึ่งในโรงพยาบาลโดยบังเอิญ ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวในครอบครัวใหญ่ที่มีลูก ๘ คนว่าเป็นอย่างไร ฟังแล้วก็รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นจากวิถีที่พี่ๆน้องๆยังมีการดูแลกันและกันอยู่เสมอ  ความอบอุ่นได้โยงใยให้รุ่นพ่อป้าน้าอาอยากให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างพี่ๆน้องๆผ่องถ่ายให้รุ่นลูกๆหลานๆรับรู้คุณค่าของมันด้วย

ได้ฟังเรื่องราวความตั้งใจของผู้ใหญ่ในครอบครัวนี้แล้วรู้สึกดีจังค่ะ

มีเวลาพอให้เลือกเดินทาง จึงให้แท็กซี่พาออกจากสุวรรณภูมิโดยไม่ขึ้นทางด่วน แท็กซี่พาวิ่งมาตามเส้นทางดินแดง การจราจรที่วิ่งผ่านในเวลา ๒ ทุ่มกว่าของเมืองกรุงในเส้นทางนี้คล่องตัวดี  ไม่มีช่วงไหนติดขัดเลย คราวนี้เจอโชเฟอร์ที่ไม่ช่างคุย ก็เลยไม่มีเรื่องราวชีวิตของโชเฟอร์มาเล่าสู่กันฟัง

เห็นพื้นที่ของบริษัทนครชัยแอร์ที่เพิ่งจากไปเพียง ๔ วันก็ร้องอ้าว ห้องผู้โดยสารที่เคยมีมุมมนวดสบายๆหายไปไหน ตั้งใจจะใช้บริการนวดซะหน่อย  พื้นที่ซื้อตั๋วก็มีคนเข้าคิวอยู่บางตา มีคำถามโผล่ขึ้นมาว่า บริษัทเขาเจ๊งหรือเปล่า ความคิดดูเหมือนลบเลยนะ ไม่ได้คิดลบหรอก งงและแปลกใจค่ะ เหลียวมองโดยรอบจึงได้มองเห็นเพิ่มขึ้นว่า บริษัทกำลังปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยใหม่ ซึ่งยังดูไม่ออกว่าจะกำลังคิดทำอะไร จะย้ายที่ใหม่ก็ไม่เชิง จะทำใหม่ก็ยังดูเหมือนไม่ใช่

ความรู้สึกต่อความเร็วที่รถวิ่งของคนนั่ง  ใช้บอกความเป็นคนใจเร็วและเป็นคนตรงของคนขับได้ม๊ยหนอ

ไปยืนเข้าคิวซื้อตั๋วอยู่นาน ไม่ได้สังเกตว่ามีช่องตั๋วว่างอยู่ จนคนข้างหน้าเขาชี้ชวนว่า มีอีกช่องที่ว่างไม่ต้องรอคิวจึงเห็น อืม ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นแฮะว่า เวลาที่สบายๆ ไม่มีอะไรเร่งรัดกับการตัดสินใจ ไม่มีเงื่อนเวลาเข้ามาเป็นกรอบ การมองสิ่งรอบตัวมีคุณภาพที่ต่างจากเดิมๆ

ทริปไปสวนป่าคราวนี้ รู้มาก่อนหน้าว่าจะเจอป้านายด้วย และรู้คร่าวๆว่าป้านายจะเดินทางไปรอน้าที่บุรีรัมย์ตั้งแต่ย่ำรุ่งและไม่รู้ว่ารถเชียงใหม่จะถึงบุรีรัมย์เวลาไหน จึงตัดสินใจเดินทางในเวลาเดิมโดยไม่รู้ว่าป้านายเดินทางเวลาไหน

เข้าไปนั่งรอในห้องผู้โดยสารแล้วจึงเห็นมุมนวดที่บริษัทจัดให้อยู่ที่ด้านข้างของห้องนั่งรอ ตั้งใจจะใช้บริการซะหน่อย แต่หมดนวดเขาไม่ตกลงบริการเมื่อรู้เวลาเดินทาง เขาบอกว่า เขาอยากกลับบ้านเร็ว  ที่เล็งว่าจะได้นอนนวดแล้วแอบงีบไปด้วยเลยชวด เซ็งไปเลย แต่การนั่งรอก็มีส่วนดีนะ ก็มันให้โอกาสกับตัวเองได้ดูละครที่ชาวบ้านชอบดูซึ่งอยู่บ้านไม่ได้ดูหรอกนะซิ

นครชัยแอร์ บุรีรัมย์ เขาเปิดขายตั๋วตั้งแต่ตี ๔ เลยเชียวนะ บริการทุกเวลา น่าประทับใจมั๊ยละ

ระหว่างนั่งรอ อาการทางกายก็เตือนเป็นระยะๆ คอแห้งเจ็บ ร้อนบ้างหนาวบ้าง อาการอย่างนี้ถ้าไม่ได้เป็นหมอ รับรองว่าคนมีอาการตัดสินใจไปหาหมอหายามากินชัวร์  ด้วยความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดเป็นสมดุลที่ปรับไม่ทันของอุณหภูมิกายอันเกิดจากการเสียน้ำ ในสภาพอากาศที่ร้อน แห้ง รวมถึงการต้องปรับตัวกับอุณหภูมิรอบตัวที่เปลี่ยนไปมาจากเย็นแอร์เป็นร้อนอากาศกลับไปกลับมาอยู่เรื่อยๆ  ฉันจึงแค่กรอกน้ำตัวเองเพิ่มขึ้น ตั้งใจดูแลไม่ให้ร่างกายเย็นและพักให้เต็มที่ระหว่างการเดินทางเพื่อไม่ให้ป่วยจริงๆ

ถึงเวลาเดินทางจึงรู้ว่าป้านายก็เดินทางเวลาเดียวกัน ทักทายกันแล้วก็ไม่ได้คุยกันอีก เพราะขึ้นรถได้ฉันก็นอนทันที โชคดีมากที่แอร์ตรงที่นั่งสามารถปิดไม่ให้ลมเป่าหน้าได้  โชคไม่ดีก็อีตรงที่ตัวสั้น นอนไม่สบายเท่าไร หลับมากกว่าตื่นมาตลอดเส้นทาง ถึงบุรีรัมย์ตี ๔ ยังมืดอยู่เลย  ตั้งใจว่าจะต่อรถแดงเที่ยวแรกตี ๕ เข้าสตึก แต่เมื่อรู้ว่าป้านายจะอยู่รอน้าอึ่ง จึงตัดสินใจอยู่เป็นเพื่อนจนน้าอึ่งมาถึง

ภาพที่บอกให้รู้ว่า “พี่นี้มีแต่ให้”

ระหว่างรอน้าอึ่ง ป้านายก็หาข้อมูลเรื่องรถเหมา ได้ความว่ามีรถกะบะให้เหมาได้ คิดราคา ๗๐๐ บาท ป้านายไม่ได้ตัดสินใจอะไร บอกแค่ว่ารอน้าอึ่งมาถึงก่อน  มารู้ทีหลังว่าน้าอึ่งจะถึงบุรีรัมย์สายกว่า ๖ โมง รถแดงไปสตึกก็ผ่านเข้ามา ๒ คันแล้ว

เวลาที่ผ่านไปสังเกตว่าป้านายก็รู้สึกเหมือนกันว่ารอนานแต่ก็ไม่ปลดล็อคด้วยการตัดสินใจเดินทางล่วงหน้าไปสตึกก่อน

เมื่อตั้งใจแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนป้านาย ฉันก็ไม่ปลดล็อกตัวเองขอเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเช่นกัน เมื่อรู้ว่ารอนานก็ตัดสินใจงีบรอที่โซฟาที่บริษัทจัดไว้นั่นแหละ ซึ่งก็หลับอยู่นะ

การรอน้าอึ่งทำให้ได้รู้ว่าบริษัทนี้เขาทำ KM ด้วยนะขอบอก  รู้สึกอยากรู้จักผู้บริหารของบริษัทนี้ขึ้นเลยแฮะ

เบื้องหลังความปลอดภัยและความสะดวกที่ผู้โดยสารได้รับ มีฐานจากการทำ KM และการจัดระบบงานที่ทำให้ทึ่งเขาจริงๆ

ฟ้าสว่างก็มีเสียงหวานๆจากเด็กคนหนึ่งโทรมาถามว่า ถึงไหนแล้ว ก็บอกไปว่าอยู่ที่บุรีรัมย์แล้ว จะรอน้าอึ่งก่อน ก็มีเสียงให้กำลังใจมาว่า หิวไหมพี่ จะรอกินข้าวเช้า อึดหน่อยนะพี่  แล้วก็วางสายไป  ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า พบกับน้าอึ่งแล้วจะเดินทางต่อไปสตึกยังไงเหมือนกัน รู้แค่ว่าน้าอึ่งมีของติดตัวมาหลายชิ้นต้องใช้รถกะบะขนจึงจะหมด ฟังแล้วก็ไม่เชื่อนะว่าจะขนของมามากมายเป็นคันรถกะบะจริง

ความต่างของแสงในภาพ ห่างกันด้วยเวลา ๒ ชั่วโมงกว่า (ภาพซ้ายตี ๔ ภาพขวา ๖ โมงครึ่ง)

ได้รู้เวลาถึงบุรีรัมย์ของน้าอึ่งจากคนที่ทำงานอยู่ในท่ารถนั้นเองค่ะ เห็นแสงแดดเริ่มจ๊าก็โทรหาอุ๊ยว่าอยู่ตรงไหนแล้ว อุ๊ยก็ตอบมาว่า ถึงโรงเรียนบุรีรัมย์แล้ว  รออยู่อีกประมาณ ๑๕ นาที รถเชียงใหม่ก็เทียบท่าให้เห็น จึงได้พิสูจน์จะจะตาว่าเมียสิบล้อเขาเอาจริง

เจอหน้ากันแล้ว ก็เดินทางกันต่อด้วยรถแดงไปสตึก รอเวลารถออกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง สัมภาระทั้งหมดใส่ใต้ท้องรถแดงเต็มพื้นที่พอดี ขนของมามากมายจริงไม่จริง แปลกันเอาเอง

ระหว่างรอน้าอึ่งรู้สึกว่าอาการทางกายดีกว่าเมื่อคืนนี้ อาการเจ็บแสบคอน้อยลงไปจนแทบไม่รู้สึก แต่ยังรู้สึกหนาวๆร้อนๆบ้าง จึงตัดสินใจเรื่องเวลาเดินทางกลับ  ตัดสินแล้วก็ซื้อตั๋วไว้เลยค่ะ

๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓

« « Prev : ภูมิปัญญาปกป้องถิ่น

Next : เมื่อได้พบอาจารย์ JJ กับป้าหวาน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 สุวรรณา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2010 เวลา 15:13

    สวัสดีค่ะพี่หมอค่ะ เห็นภาพเมียสิบล้อเอาจริงเลยค่ะ เยี่ยมชมผ่านบันทึกพี่หมอค่ะ ชื่นชมด้วยความเบิกบานสำราญใจ ค่ะพี่

  • #2 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2010 เวลา 9:35

    พี่สาวตาคะ ไปคราวนี้รู้สึกว่ามีเวลาคุยกับพี่ค่อนข้างน้อย
    แต่กลับรู้สึกสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พี่มีให้กับทุกๆคน รวมทั้งการเอาใจใส่ต่อการจัดกิจกรรมคราวนี้ค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.042237043380737 sec
Sidebar: 0.11811304092407 sec