คืนฟ้าฉ่ำ

โดย สาวตา เมื่อ 26 เมษายน 2010 เวลา 23:27 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สสสส.๒, สังคม, เล่าสู่กันฟัง, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1165

ในวันที่ออกเดินทางเพื่อเข้าไปเรียน ๔ส๒ เป็นสัปดาห์ที่ ๓ มีเหตุการณ์ที่หมู่เฮาน้องๆในร.พ.ชวนกันรวมพลังแสดงออกถึงเจตนารมย์ของตนที่มีต่อบ้านเมืองกันเป็นวันที่ ๒ ที่หน้าร.พ. เหล่าผู้คนที่มาชุมนุมนั้นไม่ได้มีแต่พวกน้องๆหรอก มีชาวบ้านที่รับรู้ข่าวมาร่วมแสดงออกด้วยแล้วก็มีผู้สังเกตการณ์มาด้อมๆมองๆแอบถ่ายภาพอยู่ในมุมสูงด้วยนะ

เมื่อฉันเดินทางไปถึงสนามบินในวันนี้ ก็เป็นเวลาที่สายการบินเรียกขึ้นเครื่องพอดี มั๊ยละเกือบตกเครื่องแล้วมั๊ยละ ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝนหนาตา จนบรรดามีที่กำลังรอการเดินทางไม่ใคร่สบายใจกัน มีผู้ที่เดินไปถามเหล่านางฟ้าที่คอยบริการอยู่ อย่างนี้จะบินได้หรือนี่ ไหวหรือนี่ น้างฟ้าให้คำตอบว่า บินไม่ได้ กัปตันจะให้ข่าวค่ะ สั้นๆแค่นี้เอง ไม่ได้ช่วยให้คนที่ใจตุ่มๆต้อมๆไม่สบายใจอยู่คลายใจลงเลย แล้วเครื่องบินก็บินขึ้นตามเวลาของตารางบินตรงเด๊ะเลย

เห็นเมฆครึ้มอย่างนี้ก็เหอะ แทบไม่มีลมเลย ไม่น่าเชื่อเลยหละ

เมื่อบินถึงสุวรรณภูมิแล้วมองลงไปที่พื้นล่างก็มองเห็นแสงไฟละลานตา สวยดี แต่รู้สึกไปพร้อมกันว่าเมืองหลวงของไทยใช้ไฟเปลืองจริงๆ ทุกสายถนนมีแสงไฟละลานตา มองไปทิศไหนก็ไม่ใคร่เห็นสายถนนที่ไม่มีไฟสว่าง อย่างนี้เทียบกันแล้วถนนหลักในเขตเทศบาลแถวบ้านฉันแพ้ขาดลอย

ตัดสินใจอยู่พักหนึ่งว่าจะเดินทางต่อไปที่พักอย่างไรดี จะพักที่ไหนดี ด้วยถึงกรุงเทพฯในเวลาค่อนข้างดึกแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจไปพัก ณ สถานที่ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าจัดให้  ตัดสินใจเลือกเดินทางไปกับแท็กซี่นั่นแหละถือว่าตั้งตนอยู่ในเรื่องการทำดีมาตลอดบุญน่าจะคุ้มหัวให้ปลอดภัยระหว่างนั่งรถไป  เป็นความรู้สึกที่แวบเข้ามาให้ภาวนาในตอนนั้น

แสงไฟละลานตาที่มองเห็นจากเครื่องบิน

ถึงโรงแรมก็เป็นเวลาเลย ๓ ทุ่มไปแล้ว ถามเด็กๆว่ามีใครมาเปิดห้องพักกันแล้วบ้าง มีคำตอบว่ามีคนชื่ออะไรนันท์นี่แหละมาแล้ว และมีอีกคนที่มาแล้วจำชื่อไม่ได้  ชวนให้เขาดูชื่อว่า นันท์ๆนะใช่ สุทธินันท์ ไหม เด็กก็บอกว่า ใช่แล้วๆ

ดูเวลาเห็นว่าดึกแล้ว และวันรุ่งขึ้นพ่อครูต้องทำหน้าที่หลักเป็นวิทยากรควรมีเวลาเตรียมตัวเพื่อให้ไม่นอนดึก

ฉันเองก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายเรียกร้องให้พักผ่อน จึงตัดสินใจไม่โทรหาพ่อครู เมื่อพาตัวเองเข้าห้องพักแล้วก็เตรียมตัวเข้านอนเร็วกว่าที่เคย ปรากฏว่านอนหลับๆตื่นๆซะอีกแนะ เช้าขึ้นมาจึงตื่นมาแบบไม่สดใสเท่าไรเลย

พาตัวเองลงมากินอาหารเช้า กำลังสอบถามเรื่องรถรับ-ส่งไปที่สถาบันพระปกเกล้าในตอนบ่าย พรรคพวกที่เรียนด้วยกันจากภาคใต้จำนวน ๖ คนก็พากันมาถึงพอดี พวกเขาทรหดกว่าฉันซะอีก เดินทางด้วยรถประจำทางปรับอากาศมาจากใต้ด้วยกันทั้งหมดนะนี่ สัมผัสได้ถึงความสำคัญที่พวกเขาให้เกียรติกับสถาบันพระปกเกล้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแปลถึงความปรารถนาอันแรงกล้าในการมีส่วนร่วมสร้างสันติที่มีอยู่ในใจของพวกเขานะ รับรู้แล้วซูฮกให้จริงๆกับความมีวินัยที่พวกเขามี น่ารักจริงๆ

นัดรถกันว่า ขอออกจากโรงแรมเวลาเที่ยงครึ่ง เพื่อให้มีเวลาแวะกินข้าวที่สถาบันฯก่อนเข้าเรียนได้ ได้เวลาของรถที่นัดหมายไว้แล้ว ฉันก็โทรตรวจสอบว่าพ่อครูอยู่ที่ไหน บอกกล่าวเรื่องเวลานัดหมายแล้วชวนไปด้วยกัน พ่อครูไม่ได้รับปากหรอก แต่ถึงเวลาก็ลงมาให้ได้พบตัว  ฉันเองกินข้าวเช้าแล้วก็พาตัวกลับขึ้นไปนอนพัก ด้วยรู้สึกตัวว่าวันนี้สมองไม่สดใสเท่าที่ควร

วิทยากรนั่งรอนักศึกษาด้วยเข้าใจว่าเริ่มเรียนบ่ายโมงตรง

เมื่อถึงเวลา พวกเราก็พากันเดินทางมาด้วยรถบริการของโรงแรมแห่งนี้ ไปถึงสถาบันฯวันนี้มีแปลกที่ถูกตรวจกระเป๋าแบบการเข้าสนามบินเลยเชียว  เมื่อฉันกับพ่อครูพากันเดินลิ่วจะไปห้องประชุม น้องซอลหนึ่งในบรรดาผู้มาจากภาคใต้ก็ทักถามเรื่องกินข้าว เออ ลืมไปเลยว่ายังไม่กินข้าวกลางวัน จึงเปลี่ยนเส้นทางชวนกันเดินไปที่สวนอาหาร  แต่พ่อครูขอแยกตัวไปเตรียมวัตถุดิบที่จะใช้พูดในตอนบ่าย  ไม่กินด้วย

น้องซอลเห็นพ่อครูเดินไปคนเดียวกลัวว่าจะหลงทางก็ตามไปเพื่อช่วยนำทางให้ ฉันเดินสำรวจว่ามีอะไรจะซื้อติดมือไปให้พ่อครูใช้เป็นอาหารยามบ่ายได้บ้าง

อิ่มท้องตัวเองแล้ว ฉันก็แวะซื้อกาแฟเย็นและผลไม้เพื่อนำไปให้พ่อครู คิดว่าจะนำไปใส่จานเสิร์ฟให้ แต่เจ้ากรรมไปถึงชั้นบนกลับพบว่าไม่มีภาชนะให้ใช้ใส่อะไรได้เลยในห้องกาแฟแฮะ  ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ยื่นถุงผลไม้ให้พ่อครูไปเท่านั้นเอง  ส่วนกาแฟเย็นยื่นให้แล้วพ่อครูตอบว่า “ผมไม่กินน้ำแข็ง” เลยแป่ว เดินกลับมาหาเจอพี่ยะ มือกีร์ต้าปืน จึงขอให้ช่วยรับไปจัดการต่อ

ทักทายกันก่อนเวลาเรียนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันทุกวัน

ระหว่างรอให้ถึงเวลาของวิทยากร น้องปอทีมงานลุงเอกก็เดินมาถามว่า วันนี้เป็นคิวของหมายเลข ๕๐-๕๙ รับหน้าที่งานประจำห้อง ใครจะกล่าวแนะนำวิทยากร ใครจะขอบคุณวิทยากร หันไปมองรอบๆก็เห็นมีคนที่มีหมายเลขในช่วงดังกล่าวมาไม่ถึง ๕ คน ทางโน้นก็ผู้ใหญ่กว่า ทางนี้ก็ออกปากว่าไม่เคยทำ ตัวฉันเองก็ไม่เคยทำ ดูๆแล้วน่าจะไม่มีใครอาสา  ฉันจึงตัดสินใจ (เอาวะ) ลองทำเองแล้วกัน จะเป็นไร ส่วนการขอบคุณวิทยากรมอบให้คุณติ๋วละกัน

เมื่อน้องปอเดินมาขอคำตอบอีกรอบ จึงรับเอาประวัติวิทยากรมาไว้ในมือ โอ้โห แต่ละคนประวัติยาวเชียว เอายังไงดี ตัดสินใจอีกรอบ เดินไปปรึกษาวิทยากรดีกว่าว่าชอบใจจะให้แนะนำประวัติอย่างไร  ไม่ได้เดินไปถามตรงๆหรอกค่ะ แค่ไปชวนทั้ง ๒ ท่านคุย ถามว่าประวัติตรงนั้นตรงนี้ที่เห็นอยู่ในกระดาษนั้น ตรงไหนบ้างที่คลาดเคลื่อน ถามไปอย่างนี้ได้ผลแฮะ ได้คำตอบในส่วนของประวัติที่วิทยากรภูมิใจกับตัวเองที่สุดมาใช้งานสดๆ  ไม่ต้องอาศัยเนื้อหาในกระดาษประวัติที่ได้มา(ซึ่งยาวมาก)ค่ะ

เมื่อได้เวลาร่ายบทเรียนรู้เล่าสู่กันฟัง เสียงแคนก็ดังก้องขึ้น

บ่ายวันนี้ วิทยากร ๒ ท่านทำให้อึ้งตะลึงกับความคิดความอ่านและปัญญาของท่านมากมายเชียวแหละ นั่งฟังเพลินเลยเชียวค่ะ  การถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้รู้ทั้ง ๒ ท่านจบลงที่เวลา ๑๗ น. ค่ะ  สำหรับพ่อครูเมื่อถึงเวลาเกือบบ่าย ๓ โมงก็ขอกลับก่อน คุณติ๋วรั้งพ่อครูไว้ขอกล่าวคำขอบคุณก่อนให้จากไป ก่อนจากกันพ่อครูทิ้งท้ายกับทั้งห้องว่า สำหรับคำถาม(ถ้ามี) ถามพ่อครูได้ทุกเมื่อผ่านลานสวนป่า

คุณตฤณเป็นผู้มารับตัวพ่อครูเดินทางกลับไปสวนป่า เจอตัวกันก็เห็นในมือถือหนังสือเจ้าเป็นไผเข้ามาด้วย แล้วบอกว่าครูปูฝากมาให้เซ็นหน่อย คุยไปเขียนไป แล้วฉันก็บอกเขาไปว่าจะตามไปเมื่อเรียนเสร็จในวันศุกร์กับพี่ตึ๋ง  แล้วเอะใจกับปฏิกิริยาตอบรับที่บอกความแปลกใจค่ะ

๒๒ เมษายน ๒๕๕๓

« « Prev : บทเรียนชีวิตอีกวันหนึ่ง

Next : เจอรุ่นพี่ ๔ส๑ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "คืนฟ้าฉ่ำ"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.10578989982605 sec
Sidebar: 0.49176001548767 sec