เผลอแพล๊บเดียว ๑ เดือนก็ผ่านไปแล้ว
อ่าน: 1329ในที่สุดวันใหม่ของชีวิตในปีใหม่ก็ผ่านพ้นไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว
๓๑ วันที่ผันผ่านดูเหมือนทำอะไรที่ซ้ำซากจำเจ หมุนเวียนกาลกลับไปกลับมาด้วยการเดินทางไกลสลับกับการอยู่ประจำในพื้นที่
ในช่วงของกาลเวลาที่อยู่ในพื้นที่ก็ทำอะไรซ้ำๆอยู่กับการงานและการบ้าน
เวลาผ่านพ้นไปไม่รู้ตัวเมื่อมีอะไรที่ใจมันมุ่งที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้า
ความก้าวหน้าที่เอ่ยนั้นมิได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไรมากไปกว่าความรู้สึกโอกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คน การงาน การบ้าน และใจของตัวเอง
๓๑ วันที่ผันผ่านมีผู้คนหมุนเวียนมาให้้เจอหลากหลายสไตล์ของชีวิต
วันแรกแห่งปีเริ่มต้นด้วยการเดินทางไกลจากบ้านอีกครั้งของลูกสาวสุดที่รักที่จำเป็นต้องดำเนินไปตามวิถีการศึกษาของเธอ
การเดินทางไกลครั้งนี้ของเธอสิ้นสุดลงที่กรุงเทพฯ
เป็นการเดินทางไกลเพื่อตัดสินใจและเตรียมตัวกับการอยู่ไกลจากบ้านเพื่อการงานเมื่อจบการศึกษาของเธอด้วย
หลังจากลูกสาวพาตัวจากไปแล้ว ในช่วงเวลาที่พอมีว่างช่วงวันหยุดฉันก็ใช้มันคุยกับบรรดาครูเพื่อร่วมเตรียมการเกี่ยวกับงานที่สัญญากันไว้
ในช่วงเวลาของการทำงานประจำก็แบ่งเวลาให้กับการทำงานร่วมกับกลุ่มผู้บริหารทบทวนความก้าวหน้าของการพัฒนางานแล้วช่วยกันเย็บตะเข็บที่เห็นไม่สวยของงานคุณภาพที่หลายหน่วยงานร่วมกันทำให้ส่งประโยชน์แก่ผู้ป่วยไปในทางที่ดีกว่าเดิม
เวลาที่คงเหลือก็ลงมือทำงานไปพร้อมๆกับลูกน้อง
ช่วยชี้ให้เห็นตะเข็บที่ยังไม่สวย พร้อมลงมือเย็บตะเข็บเองบ้าง
แล้วการเดินทางไกลของฉันเองก็เริ่มต้นอีกครั้งหลังจากลูกสาวเดินทางไม่นานนัก การเดินทางในครั้งนี้เกิดขึ้นจากมิตรใหม่คนหนึ่งชักชวนไปเป็นเพื่อนร่วมทาง
การตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับเธอทำให้ฉันมีโอกาสได้คารวะครูผู้ช่วยให้พบทางสว่างของชีวิตคนหนึ่งซึ่งไม่เจอกันเป็นเวลากว่าขวบปีแล้ว
ทั้งยังได้พบกับมิตรเก่าสองสามคน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับการทำงานที่ใจอาสา
ก่อนจากครูและมิตรเก่าก็ได้รู้จักเพื่อนคนใหม่ที่อ่อนเยาว์กว่าอีกหนึ่งครอบครัวด้วย ทำให้รู้สึกดีกับจังหวะของชีวิตของตัว
การได้พบกับ”ครู” ในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าในวิถีของผู้คนทุกๆคนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันนั้นมีมิติมืดที่ซุกซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้
เมื่อแสงส่องให้ซอกหลืบนั้นสว่างและเบี่ยงหลืบออกมาให้ได้สัมผัสรับรู้ สิ่งที่เห็นในซอกหลืบเหล่านั้นก็ทำให้เกิดความตะลึงด้วยคาดไม่ถึงอยู่หลายเรื่องทีเดียว
หลายเรื่องราวนั้นมีเรื่อง “ของรัก” เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ร่ำไปด้วย
วิถีของครูและมิตรเก่าที่ได้พบครั้งนี้ให้บทเรียนชีวิตที่เกี่ยวกับ “ของรัก” ไม่น้อยเลย
เมื่อกลับมา่ประจำในพื้นที่ เจ้านายซึ่งรุกหนักกับการติดตามผลการพัฒนางานก็มอบงานที่ยากมาให้ชิ้นหนึ่ง ถือว่าเป็นงานหินด้วยเป็นงานที่แก้มาเป็นแรมปีแล้วที่มอบให้คนหลายคนทำมาแล้วก่อนหน้า
รับงานมาอยู่ในมือแล้วลังเลก่อนเริ่มงานอยู่ระยะหนึ่งกับโจทย์งานที่ส่งมอบมาให้ทำ
เริ่มทำงานชิ้นนี้ไปพร้อมๆกับเริ่มงานกับครูกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งจัดหลักสูตรเพิ่มความรักในครอบครัวให้กับนักเรียนโข่งของครูเขา
พร้อมกันไปนั้นเหล่าครูก็เชื่อมต่อกับทีมกระบวนกรเรื่องครอบครัวทีมสำคัญจากนครสวรรค์ ขอแลกเปลี่ยนและทำความรู้จักจิตตปัญญาศึกษา ขอร่วมเรียนรู้และมีสัญญากันในเดือนแห่งความรักที่จะมาถึง
ต่อจากนั้นครู ๘๐ คนก็จะเดินหน้าทำงานเพื่อเพิ่มความรักให้กับนักเรียนของพวกเขาต่อไปๆๆๆ
๑๕ วันที่เพิ่งผันผ่านไปหมาดๆนี้เป็นเวลาซึ่งได้ฝึกใช้ความรู้เท่าที่มีของฉัน
ได้อาศัยครูจากหลากหลายพื้นที่ส่งความรู้มาให้ใช้
ผสมผสานความรู้แล้วฉันก็ลองงานไปเรื่อยๆ ใช้ฝันหวานๆเป็นโจทย์ลงมือลองงานไปเรื่อยๆ ผลของงานก้าวเดินไปทีละก้าว
แต่ละก้าวก็มีปัญหาีโผล่มาเป็นครูผ่องถ่ายความรู้ให้ทีละนิดๆ
มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับการเรียนรู้ในทุกๆวัน
แต่ละนาทีที่หมุนไปได้มุมมองของพลวัตรและความรู้่ต่างๆกันออกไป
ลุงเอกได้แจ้งเรื่องกำหนดการของสสสส.๒ มาให้ได้รู้ บอกเจ้านายว่าจะสมัครเข้าเรียนสสสส.๒ ช่วยให้ความเห็นและคำรับรองหน่อย มอบเอกสารรายละเอียดของสสสส.๒ ใส่มือให้
แล้วการเดินทางไกลครั้งที่ ๒ ของปีก็แทรกเข้ามาอย่างกระทันหัน แบ่งเวลางานไปกลับเพื่อร่วมได้เพียง ๒ วันเท่านั้น
ก่อนเดินทางไกลก็ไปรับใบรับรองจากเจ้านายคืนมา ได้ไฟเขียวว่ายินดีให้เข้าเรียนตามหลักสูตรได้
เตรียมเอกสารว่าจะนำส่งมอบให้ถึงมือด้วยตัวเองที่สถาบันพระปกเกล้าแต่แล้วก็ชวดไม่มีเวลาให้แวะไปส่งถึงมือลุงเอกได้เลย
การเดินทางไกลในครั้งที่ ๒ นี้เป็นเรื่องใหม่ของพื้นที่อีกแล้ว รู้สึกว่าชะตาฉันมันต้องกันกับเรื่องใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอยู่เรื่อยเลยเชียว
เรื่องราวคราวนี้เป็นเรื่องของสัตว์มีพิษในทะเลที่ไม่เคยคิดว่าจะมีในเมืองไทย เป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับวงการแพทย์ไทยไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว
กลับมาถึงบ้านครอบครัวก็ได้พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งหนึ่งเมื่อลูกสาวเดินทางกลับมาอยู่ด้วยกันในช่วง ๒ วันก่อนหมดเดือน
วันที่กลับบ้านมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นกับที่ทำงานจากเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในยามดึกของคืนนั้น เป็นเพลิงไหม้ที่มีสาเหตุบางประการซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้นเพลิงมิใช่สถานที่ที่จะเกิดเปลวเพลิงจากไฟได้อย่างง่ายๆซะเมื่อไร
การสะสางสถานที่เพื่อลดความเสียหายของราชการจากเพลิงไหม้เสร็จสิ้นลงเมื่อรุ่งสางแล้ว ๒ วันต่อมาก็ยังต้องทำงานเคลียร์พื้นที่ใช้สอยกันอยู่ วันนี้ก็ยังเคลียร์พื้นที่กันไม่เสร็จ
ประสบการณ์ใน ๓๑ วันที่ผันผ่านมานี้ ทำให้เข้าใจคำว่า “บริบท” ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
งานหินที่รับมา่ทำก้าวหน้าไปได้ด้วยดี
ได้เรียนและได้รู้ว่า “ปฐมบท” เป็นฐานสำคัญจริงๆเลยเชียวเมื่อต้องลงมือแก้ปัญหา
“ช่วงรอยต่อ” ก็มีความสำคัญด้วย ขอบอก
งานนี้สอนให้รู้ว่า “จุดเชื่อมต่อ” ที่ด้อยคุณภาพก็เป็นรากสำคัญของปัญหาได้เองซะด้วย
ที่สำคัญกว่าคือการได้เรียนรู้เรื่อง “ใจ” ของคนและใจของตนว่า มีการเติบโตในทุกๆนาทีสลับกันไปอยู่ตลอดเวลา
ใจของใครจะเติบโตเป็นแบบ “ใจบวกหรือลบที่มีพลังสร้างโลก เพิ่มพลังแก่ชีวิต” หรือ “ใจลบที่มีพลังทำลายพลังแห่งชีวิต” หรือไม่ อย่างไร ขึ้นกับผู้เป็นเจ้าของใจนั้นเอง
๓๑ มกราคม ๒๕๕๓
« « Prev : ๑๔ วันผ่านไป….ได้อะไรเป็นผลความคืบหน้ากับการปรับภูมิทัศน์แล้ว
Next : ทบทวนก่อนเดินต่อการปรับปรุง » »
3 ความคิดเห็น
ได้รักษาคนไข้บ้างไหมครับพี่
ดูเหมือนจะไปทางงานบริการ บริหาร เป็นส่วนมากนะครับ
กำลังเปรียบเทียบกับตัวเอง
ที่ตั้งแต่เขามอบหมายให้ดูแลงานโดยรวมของหงสานี่ ก็แทบจะไม่ได้ลงไปแตะงานวิชาการเท่าไรเลย
วันๆก็ประสานงาน ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง พิจารณาอนุมัติที่เขาร้องขอมา ปรามๆพวกที่ออกนอกกรอบ คิดภาษีไปจ่าย หาเงินมาให้เขาเบิก ก็หมดเวลา
รู้สึกตัวว่้าตัวเองจิตหลุดบ่อย ต้องคอยเตือนตัวเองให้จำสมัยที่เป็นลูกน้องเขา แล้วถูกเจ้านายมาว๊ากๆใส่
สุดท้ายก็ลืมทุกที
ตอนนี้เลยถอยมาตั้งหลัก นั่งนิ่งๆ พูดให้น้อยที่สุด กลัวหลุดครับ
เป็น 31 วันที่ได้ทำอะไรมากมายเลยนะคะพี่ แถมยังเป็น 31 วันที่เห็นการเติบโตงอกงามของใจผู้คน..ดีจัง.คิดถึงจัง..
#1 เวลากว่า 80 % หมดไปกับการใช้ความคิด วิเคราะห์ สรุป โดยมีงานมาจากการมีคนไข้ในมือมาเป็นโจทย์ค่ะ มือทำไป หัวก็คิดไป สิ่งที่เปลี่ยนไปคือรู้สึกเลยว่าการเป็นหมอที่จะตรวจคนไข้ให้มีคุณภาพที่ดีนั้นต้องการเวลาทำงานต่อคนไข้หนึ่งคนมากมาย มีเวลาสำหรับการพูดคุยถามไถ่ ทั้งเวลาที่ได้เจอกันเป็นครั้งๆและการได้ติดตามกันอย่างยาวนาน การนำแค่ผลเลือดมาให้ดูแบบสุ่มตรวจประเดี๋ยวประด๋าวแล้วบอกว่าดีนั้นไม่พอเพียงซะแล้วน้องเอ๋ย เดี๋ยวนี้จึงเอาใหม่ลองทำงานทีเดียวหลายๆด้านทั้งบริหาร บริการ ตรวจและสอนไปพร้อมกันในเวทีชาวบ้านดีกว่า ได้คุณภาพที่ดีกว่าแบบเบ็ดเสร็จทุกด้านซึ่งให้ผลดีกว่าเมื่อประเมินผลในระยะยาวค่ะ รู้สึกเหมือนทำงานวิชาการแบบวิจัยกลายๆเมื่อลงมือทำงานด้วยค่ะ
#2 วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปเร็วนักนะน้องอึ่งเวลาที่มีอะไรให้ทำอยู่ทุกวัน แล้วนั่นก็จะทำให้โหมดของความคิดกลายเป็นอัตโนมัติอีกครั้ง ได้มีเวทีของการคลุกคลีกับความงามในใจของผู้คนคือยาทิพย์ที่ช่วยละลายความเป็นอัตโนมัติทิ้งไปให้ นี่ถือว่าเป็นโชคดีของชีวิตทีเดียวหละคะ คิดถึงมากมายค่ะ