เริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนหนังบางแฮะ

โดย สาวตา เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2009 เวลา 2:12 ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1012

การไปเดินในที่ทางที่ไม่เคยเดิน หรือไม่ใคร่เดิน แถมยังเดี้ยง ทำให้ได้เรื่องมาแถมในตอนท้าย เล่นเดินซะเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงด้วยรองเท้าที่ไม่เคยใส่เดินมาก่อนเลยทำให้ได้เรื่อง รองเท้าบู๊ทกัดเท้าซะนิ้วก้อยเดี้ยงไปเลย

เดินไปๆตอนแรกก็ว่ามันหลวมดีนะรองเท้าี้นี้ ปรากฎว่าเป็นเรื่องก็เพราะว่าหลวมแล้วมันทำให้เสียดสีได้ เดินไปๆก็แสบร้อนที่หนังนิ้วก้อยขวา ไม่คิดว่าจะมีแผล ที่ไหนได้ พองน้ำเหมือนแผลพองไฟเลยเชียว  ทำให้เดินกะเผลกนิดหน่อยเมื่อลงมาถึงพื้นราบแล้ว เจ็บเข่าหายไปแล้ว ได้เจ็บนิ้วก้อยมาแทน เฮ้อ ตูหนอตู

ดีหน่อยที่การเดินทางในคราวนี้ ไม่ได้ลากกระเป๋าเหมือนใครเขา ทำตัวเป็นแบ็คเพ็คสะดวกโยธิน เดินตัวปลิวสบายๆ น้ำหนักที่นำกลับมาชั่งตอนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย สิบกิโลกรัม ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะแบกมาได้ทุกวันๆขนาดนี้เลยเชียว ดีใจอีกนะแหละ ที่สมรรถภาพของร่างกายยังน่าพอใจอยู่

ขอข้ามเหตุการณ์ที่กลับมาถึงฮานอย แล้วได้ผจญภัยไปเลยแล้วกัน (ก็เล่าไปแล้ว) ข้ามมาถึงการกินของวันที่มาถึงฮานอยอีกครั้งก็แล้วกัน คราวนี้ไกด์เขาพาไปสัมผัสอาหารพื้นเมือง ขนมจีน หมูย่าง อาหารเมนูแปลก เป็นการนำขนมจีน มากินกับน้ำซุปที่มีรสอมเปรี้ยวอมหวานที่ลอยมะละกอดิบซอยปนมากับหมูสับปิ้ง รสชาดแปลกดี อร่อยดีเหมือนกัน  อีกมื้อเขาก็พาไปกินอาหารแบบสุกี้คล้ายๆร้านอาหารญี่ปุ่นของคุณตันนั่นแหละค่ะ

การมากินอาหารที่ร้านแห่งนี้ มีเรื่องทำให้ทึ่งกับวิธีปลูกอาคารที่ไม่ตัดต้นไม้ ยอมปล่อยให้ต้นไม้โตใหญ่อยู่ในร้านนั่นแหละ จะเรียกว่าสร้างร้านครอบต้นไม้จะได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนะคะ  ต้นไม้นี้ขนาดสามคนโอบเชียวนะขอบอก กว่าจะได้กินก็ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน นั่งด้วยกันทั้งกลุ่มไม่ได้

มีข้อสังเกตว่าคนที่นี่เวลาเสิร์ฟน้ำหรือกาแฟ เขาจะรินให้ได้ระดับแค่สองในสามของแก้ว ไม่รินให้เต็มแก้วเหมือนบ้านเรา กาแฟที่แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ กาแฟเย็นที่ชงมาแบบโอเลี้ยง ใส่น้ำแข็งมาให้เลยก้อนเดียว แล้วใส่นมข้นมาที่ก้นแก้วให้คนผสมกาแฟเอาเอง รสกาแฟรึก็ขมซ้าาาาาาาาา แต่อร่อยมากๆนะคะ ขมอร่อยนะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ไม่ใคร่มีกลิ่นหอมของกาแฟ ถ้วยชงกาแฟแบบของเขาก็มีรูปร่างที่แปลกดี ก็เลยซื้อมาฝากลูกชายด้วย

มื้อเย็นวันนี้ได้กินอาหารไทย ที่ร้านอาหารไทย ล่ามไม่ต้องคอยแปลภาษาเวียดนามให้ กินกันแล้วกลุ่มหนุ่มสาวเขากลับเมืองไทยกันก่อน ได้ยินเสียงพูดกันว่า ได้มากินผัดกระเพราไก่่อร่อยๆที่เวียดนามนี้เอง กะเพราไก่ของที่นี่มีรสเผ็ดด้วยใส่พริกไทย หอมอร่อยดีค่ะ

สามครอบครัวกับอีกหนึ่งสาวอยู่ฮานอยต่ออีกวัน ก็พากันไปชมศิลปะด้านสถาปัตยกรรมที่โรงละครของเขา กินข้าวเกรียบปากหม้อเป็นมื้อเช้า นั่งยองๆเหลากินกาแฟแบบชาวเวียดนาม ชมดูชีวิตชาวเวียดนามตามแบบชาวบ้านของเขาที่หน้าโรงแรม  แวะชมภาพเขียนที่พิพิธภัณฑ์ภาพเขียนด้วย คุณสามีได้ภาพวาดติดมือกลับมา แถมด้วยกำไลมือเงินหนึ่งวง เวลาเห็นคล้องอยู่ที่ข้อมือเขาแล้วรู้สึกว่าไม่ชอบแฮะ รู้สึกว่าเป็นความสำรวยอย่างไรก็ไม่รู้ แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่เวลาเห็นคนอื่นใส่ไม่รู้สึกอย่างนี้เลย เป็นอะไรไปนะเรา

มื้อเย็นสั่งข้าวใส่กล่องไปนั่งยองๆเหลากินกันที่สนามบินฮานอย และก็ได้พบลุงเอกในระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่องกัน

ระหว่างนั่งรอให้เคาเตอร์เช็คอินเปิด ก็ได้เพื่อนใหม่ชาวเวียดนามสาวคนหนึ่งกับครอบครัวเธอเข้ามานั่งใกล้ๆกลุ่มเรา แล้วจู่ๆเธอก็เข้ามาสะกิดถามเวลา และชวนคุย คุยกันไปหัวเราะกันไปทั้งๆที่ไม่เข้าใจภาษากันหรอก  เธอทักทายมาว่าทำไมแต่งตัวเหมือนคนเวียดนาม ก็ได้ล่ามช่วยแปลอีกนั่นแหละจึงได้คุยกันยาวนาน เด็กๆที่มาด้วยกับเธอคุ้นกับกลุ่มจนถึงขนาดเข้ามาเลื่อนรถเข็นกระเป๋าที่ฉันกำลังนั่งอยู่ให้เลื่อนไปมา นี่แหละหนามิตรภาพที่ไม่มีพรมแดน ขอแต่ให้เปิดใจและวางใจว่าไม่เป็นภัยต่อกันก็โอเคแล้ว มิตรภาพงอกงามได้แล้ว

แนะนำให้คุณสามีรู้จักกับลุงเอก ทวนความให้นึกถึงกลุ่มชาวเฮ ลุงเอกเอ่ยชื่อพี่บางทราย คุณสามีนึกไม่ออก งงเหมือนกัน มานึกได้ว่า อ้อ ไม่ได้แนะนำชื่อกันให้รู้จักตอนที่มากระบี่ คุณสามีไม่ได้คุยด้วยพี่บู๊ดเลยมั๊ง ก็เลยจำไม่ได้

คุยกับลุงเอกเรื่องของสสสส.จบแล้ว ลุงเอกพาลูกสาวกลับบ้าน ร่างกายของน้องเขามีแขกมาเยือน เจ้างูสวัดนี่เอง น้องเขากลัวๆเรื่องจะเป็นซ้ำอีกครั้ง ก็เลยบอกไปว่า ยากมากที่ผู้คนจะมีการเกิดงูสวัดขึ้นอีกครั้ง น้องคงสบายใจขึ้นแล้วน่า พอดีการบินไทยเรียกตัวผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ลุงเอกกับน้องก็เลยแยกจากไป

วันเดินทางไปถึงฮานอยสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่ม ขากลับมาถึงเมืองไทยเป็นเวลาเที่ยงคืน ได้ของกันครบคนแล้ว ก็พากันแยกย้ายมาขึ้นรถ เดินทางกลับไปที่พักของตน ครอบครัวครูณาเอื้อเฟื้อจะให้ไปด้วยกัน จะได้พาแวะส่งที่พักให้  คู่ของเราไม่ได้ตอบรับความเอื้อเฟื้อที่มีให้ เอ่ยบอกลาและแยกมาี ถึงที่พักและเข้านอนกันตีหนึ่งแล้ว

รุ่งเช้าก็ออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง กลับมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิอีกครั้ง เที่ยวบินกลับคราวนี้ มีฝรั่งเต็มลำเลยเชียว แอร์เอเชีียยอดฮิตจริงๆ  ถึงสนามบินกระบี่เที่ยงพอดี แดดเปรี้ยงสดใสเชียว บรรยากาศผิดจากเวียดนามมากมาย ดีใจที่กลับถึงบ้านแล้ว

โทรตามลูกชายมารับ แวะกินอาหารอีสานด้วยกัน ยังไม่ทันอิ่ม เลขาฯเจ้านายก็โทรมานัดหมายเวลาพบเจอเจ้านาย บอกเธอไปว่า กำลังเดินทางเข้าไปร.พ. เธอจึงเงียบเสียงไปไม่ตามอีกเลย ถึงบ้านเลยบ่ายแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าก็เข้าไปร่วมประชุมกับเจ้านายทันที

ระหว่างประชุมฝนตกหนักมากๆ ติดฝนกันอยู่อีกช่วงหนึ่ง ฝนหยุดตกก็เย็นมากแล้ว กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบค่ำ

ก่อนขึ้นนอน ลูกชายแวะมาบอกว่า พรุ่งนี้ลูกสาวจะกลับบ้าน ดีใจจริง แต่……..จะได้เจอหน้ากันกี่วันก็ไม่รู้ เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องบินเข้ากรุงเทพฯอีกในช่วงเย็น ชีพจรลงเท้าติดๆกันจริงๆเชียวในช่วงนี้

« « Prev : ทดสอบคุณภาพของร่างกาย

Next : ทำอะไรเร็วๆรี่ๆ…ก็เลยทำหน้าที่แค่ชี้โพรง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2009 เวลา 16:14

    ชาร์ตแบตเสร็จแล้ว  ลุยเขียนบันทึกเลยเชียวนะ  อิอิ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:37

    #1  เดี๋ยวนี้ไม่ใคร่มีเวลาค่ะพี่ตึ๋ง เรื่องมีสาระก็เลยไม่ใคร่ได้เขียนมากมาย คราวนี้แม้จะเหนื่อย แต่ตั้งใจว่าเอาเหอะเขียนสดๆใหม่ๆเลยนี่แหละ เพื่อให้เขียนได้สำเร็จค่ะ แต่ก่อนเคยรอให้หายเหนื่อย รั้งรอไว้ไม่ได้ ความใหม่สดหายไปซะแล้ว อารมณ์อยากเขียนหายไปเลยเชียว ครั้งนี้ก็เลยปั่นซะทีเดียวจบ ขืนว่าจะ ว่าจะ อย่างที่ผ่านมา เดี๋ยวจะผ่านเลยไปเหมือนทู๊กทีไปค่าาาาาาาาา 


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.05797004699707 sec
Sidebar: 0.18471097946167 sec