ทำอะไรเร็วๆรี่ๆ…ก็เลยทำหน้าที่แค่ชี้โพรง
อ่าน: 1090กลับจากเวียดนามแล้วได้นอนค้างในเมืองกรุงคืนหนึ่ง เช้าบินกลับมาบ้าน ไม่ทันจะได้ทำอะไรสักเท่าไร ก็มีบัญชาให้เข้าไปร่วมประชุมกับบรรดาบอร์ดทั้งหลาย อืม…รู้สึกว่าตอนพาตัวเข้าไปนั่งประชุม…มันโคลงเคลง…ไหวๆ..ไม่เพลีย..ไม่เหนื่อย..แต่ดูเหมือนว่ากายมันปฏิเสธการทำงานอยู่นะ….
ตอนที่เข้าไปนั่ง…การประชุมเริ่มไปแล้วบ้าง…ฟังๆเรื่องราวแล้ว…อืม…บางเรื่องที่กำลังคุยไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องให้เราเข้ามาด่วนเลยนี่นา….อ้าว…แล้ววันนี้จะคุยอะไรกันหรือจึงสำคัญ…ขนาดใครขาดก็ไม่ได้….
มองไปตรงหน้า…คนนั่งตรงหน้าเป็นหัวหน้ากลุ่มการพยาบาลคนใหม่…กำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่….กระซิบถามเลขาฯ…วันนี้มีอะไรสำคัญหรือ…..เรื่องที่คุยกันอยู่มีแต่เรื่องก่อสร้างนี่นา…..เลขาฯตอบมาว่า…จะทบทวนการเตรียมเรื่องสำหรับรับการประเมินคุณภาพจากสรพ…..ให้เอาหนังสือเย็บเล่มที่ประเมินตัวเองส่งไปให้สรพ.มาทวนกัน….
อ้อ..จำได้แล้วก่อนเข้ากรุงไปเวียดนาม…หนังสือเล่มนี้เขาให้มาแล้ว…ขอตัวออกไปหยิบมาดีกว่า…ยังไม่ได้อ่านเลย….วันนี้จะประชุมให้ความเห็นยังไงหว่า…คิดในใจ…อิอิ
ได้หนังสือมาแล้ว…การคุยกันเรื่องก่อสร้างจบลงแล้ว…ก็มีการติดตามเรื่องของการจัดการระบบเตือนภายในเพื่อให้สามารถจัดการเรื่องฉุกเฉินของคนไข้ได้ทันการ…
สุดท้ายได้ข้อสรุปนัดหมายวัน…ซ้อมแผนการจัดการอัคคีภัยภายในร.พ.ดูกันว่าเวลาเกิดเรื่องขึ้น..จะย้ายคนไข้ได้ทันแค่ไหน..มีความปลอดภัยอย่างไรแค่ไหน…ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างทีมไหลลื่นดีไหม….อีกวันที่ได้….ซ้อมการช่วยเหลือชีวิตฉุกเฉิน ณ จุดต่างๆที่ไม่มีหมอ ไม่มีพยาบาลอยู่ประจำการเลย อย่างเช่น หน่วยตรวจ CT หน่วยทันตกรรม หน่วยกายภาพบำบัด…และอีกหลายๆหน่วย….
ลงเอยวันนัดที่เดือนธันวาคม..ทั้งน๊านเลย
คุยกันต่อกับเล่มของการประเมินตัวเอง…แหมๆ….ได้คุยกันไม่นานนี่นา..คิดในใจว่า…ไม่เห็นต้องให้ตูมาประชุมเลย..ที่แท้ก็แค่จะจูนว่า…วันรุ่งขึ้นจะมีการชี้แจงแผนยุทธศาสตร์ให้งานต่างๆไปทำแผนปฏิบัติการในระดับปฏิบัติของปีงบใหม่กัน…ก็แค่ขอความเห็นจากทีมบอร์ดยืนยันว่า…จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ที่ร่างเสนอขึ้นมา….บอร์ดส่วนใหญ่สรุปกันว่า…เอาอย่างนั้นแหละ…ง่ายๆดี….
เจ้านายถามแค่คำเดียว…พรุ่งนี้ประชุมกี่โมง…..ทำให้รู้สึกเอะใจ…ที่ไม่มีความเห็นจากผู้บริหารสูงสุดของร.พ.ซะเลยว่า..เห็นด้วย..หรือเห็นต่าง…กับข้อเสนออย่างไรบ้างไหม…
มีคำถามที่ผุดขึ้นมาเหมือนกัน…ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน…สำหรับคนเป็นาย….ระหว่างรับรู้สิ่งที่เสนอมา…แล้วไม่ออกความเห็น…กับ….รับรู้แล้วออกความเห็น….
แล้วก็จบลงด้วยคำตอบบอกตัวเองว่า…อย่าหาคำตอบเลย…เรียนรู้ต่อไป…เดี๋ยวรู้เอง…
การบริหารเป็นเรื่องสไตล์ของการจัดการของแต่ละผู้คน…
เรียนรู้เอาไว้แล้วค่อยสรุป…อย่างไหนดีหรือไม่ดี….ดีหรือไม่ดีในที่นี้หมายถึง….ความพึงพอใจของเรา….หรือ….ความพึงพอใจต่อผลลัพธ์…หรือทั้งสองอย่าง…ค่อยสรุปเอาละกัน
นี่ก็แวบคิดขึ้นมาอีกแล้ว….สมองนี่ทำงานเร็วจริงๆ…เดี๋ยวแวบคิด..เดี๋ยวแวบคิด…การรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง…เป็นเรื่องยากนะขอบอก
รุ่งขึ้นอีกวัน มีภารกิจช่วยน้องๆตรวจคนไข้ที่ห้องประกันสังคม สรุปผลงานตัวเองว่าการเจอคนไข้ในวันนี้ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร…ดูเหมือนร่างกายยังไม่พร้อมพอ…แต่ดีกว่าวันที่ผ่านมา….สมองมันเลยพากลับไปที่ปฏิสัมพันธ์แบบอัตโนมัติเดิมได้อีก….
มีอะไรที่เปลี่ยนไป..ดีกว่าเดิมในบางระดับเช่นกัน…สิ่งที่เปลี่ยนคือยังให้เวลาได้คุยประเด็นอื่นๆกับคนไข้ในเรื่อง “การป่วย” ผสมผสานไปกับ”การเป็นโรค”…..คนไข้จะรู้สึกดีหรือเปล่า..ไม่รู้เหมือนกัน…
รู้ก็แต่ว่าเมื่อคุยไปแล้ว…คนไข้บางคนไม่รู้เลยว่า…ที่พยาบาลและหมอๆตรวจอะไรบางอย่างให้เขาไปนั้น….สุขภาพเขาเป็นอย่างไร…จำกันได้ก็แต่….อ้อ…พยาบาลไปบอกอย่างนั้นอย่างนี้ และมีคำแนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้…ซึ่งเขาก็ทำตาม…
แต่……..สิ่งที่ไม่ได้สัมผัสเลยก็คือ….มีเป้าหมายอะไร….คำตอบมีแต่บอกว่า….เมื่อรู้ก็อยากทำตามที่บอก…ทำเพราะกลัว….ส่วนใหญ่จะบอกว่า…กลัวอ้วน….แต่พอถามว่า…กลัวอ้วนทำไม….ไม่เห็นจะมีคนที่บอกได้เลยว่า…เหตุใดจึงกลัว…และจะปฏิบัติตามคำแนะนำไปทำไม….ตอบกันไม่ได้ซะมากเชียว
เรื่องนี้เป็นสัญญาณบอกเรื่องกระแสว่ามีอิทธิพลมากมาย….ยุคของกระแส…ที่ไหลเชี่ยวกราก….ทำให้ผู้คนที่มีแรงต้านน้อย…พาตัวคล้อยตาม….ใครที่มีแรงมากหน่อย…ก็ต้านไปจนเกิดปัญหา…จนหมดแรงที่จะต้านโน่นแหละจึงจะยอมตามกระแส…..มิน่า….ผู้คนจึงนิยมทำอะไรให้มีเรื่องของการแห่ทำ….
เกิดคำถามขึ้นอีกแล้ว….แห่ทำ..สร้างความรู้อะไรได้บ้างหนอ….ในด้านบวกๆอ่ะนะ
ตรวจคนไข้ไปได้ไม่ถึงชั่วโมงก็มีโทรศัพท์มาบอกว่า วันนี้เช้ามีประชุมติดตามงานที่มีการ CQI ตอบเสียงตามไปว่า อยู่ที่ห้องตรวจ เสียงตามก็เลยหายไป ปกติเวลามีเวทีนี้ไม่ใคร่จะมีการตามตัวฉันไปเข้าด้วยหรอก แต่ว่าวันนี้มีการตามมาอย่างนี้เป็นสัญญาณบ่งว่า ต้องการให้ไปร่วม
ตรวจๆคนไข้ไปจนเกือบเที่ยง ก็ขอตัวไปร่วมประชุม….เข้าไปก็พอดีกับมีเรื่องราวของการให้คำปรึกษาเพื่อกำหนดตัวชี้วัดให้กับทีมงานหนึ่ง…..ฟังแล้วก็….เฮ้อ…จับรายละเอียดวัดกันยิบเลยอีกแล้ว……
ว่าจะั่นั่งฟังเงียบๆ….เปลี่ยนใจเข้าไปแจม….แนะนำให้ลองใช้ตัวเลขรายงานในระบบที่มีอยู่แล้ว..ทำกันอยู่ทุกเดือนอยู่แล้ว…..มาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กันแค่ใช้ข้อมูลตรงจุดตั้งต้นและสิ้นสุดของเส้นทางเดินของคนไข้เปรียบเทียบกันก็น่าจะทำให้ผลที่ต้องการวัดชัดขึ้นได้แล้ว โดยไม่ต้องย้อนกลับไปที่รายละเอียดของคนไข้แล้วเก็บใหม่….ไม่รู้ทำไมพยาบาลชอบตัวเลขกันซะจริงเชียว…แปลกใจ
ไปร่วมแล้วก็เลยโยนโครมโจทย์ใหญ่ที่ยังไม่เห็นเรื่องราวของคุณภาพว่าดำเนินการอย่างไรกันอยู่ของโรค 4 โรคสำคัญที่ติดอันดับ top five ขององค์กร….โยนลงไปแล้วมีคนอึ้ง…สุดท้ายก็ยอมรับว่า…อืม…ไม่เห็นข้อมูลจริงๆนะแหละ….
ตกลงกันว่าจะให้ทุกส่วนไปรวบรวมเรื่องราวมาใส่ตะแกรงร่อน…ให้ได้จับเชื่อมโยงได้ว่า..อะไรทำได้ดีแล้ว อะไรทำได้เกินคาด อะไรที่ไม่ได้ตามคาด และอะไรที่ควรปรับปรุง…..
งานเข้าตัวแล้วซิ….เมื่อทั้งเวทีหันมาบอก…พี่มาช่วยดูให้หน่อย….
เอาก็เอา…ลองดู…แลกกันกับการให้พวกเขาลงค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์มาคุยกันก่อนละกัน….
งานนี้นัดหมายเริ่มกันเดือนธันวาคม…อีกแล้ว…..
ถือว่าทำงานวันนี้ฉันพบความสำเร็จนะเมื่อเทียบกับการได้ไปร่วมประชุมอยู่ด้วยแค่ 60 นาที….สำเร็จในเรื่องที่ทำให้กลุ่มคนปฏิบัติสำคัญกลุ่มนี้ได้หันมามองผลลัพธ์งานที่ยังเป็นจุดอ่อนขององค์กรแล้วให้ความสำคัญกับมันในการค้นหาเพื่อหาจุดพัฒนากันต่อไป
บ่ายมีประชุมต่อเรื่องแจ้งร่างแผนยุทธศาตร์ กระซิบบอกคนที่เป็นแกนหลักก่อนไปร่วมประชุมว่า พี่ได้อยู่ช่วยแค่บ่ายสองนะน้อง เพราะว่าจะต้องเข้ากรุงไปประชุมต่อ อยู่ฟังได้สักครู่ก็แค่ได้ช่วยชี้ให้ช่วยกันดูความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์กับวิสัยทัศน์….และร่วมตัดสินใจ
สิ่งที่ไม่ได้เห็นเพราะเผ่นออกมาเสียก่อนก็คือเรื่องการนำตัวชี้วัดเข้ามาเชื่อมโยงเพื่อวัดผลสำเร็จของยุทธศาสตร์ ไม่รู้ว่ามีการส่งคืนความเข้าใจให้ผู้ปฏิบัติได้รับรู้ว่างานลักษณะไหนของใครที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดแต่ละตัวขององค์กรแค่ไหน…..ก่อนเผ่นก็ไปกระซิบบอกคนดำเนินการให้สนใจเชื่อมตรงจุดนี้ให้เกิดความเข้าใจ……แล้วก็พาตัวเผ่นมาสนามบิน…จวนเวลาจริงๆเกือบตกเครื่องไปเลยเชียว
นอนอยู่เมืองกรุง 2 คืนที่โรงแรมอมารีแอร์พอร์ต ไม่ได้โทรหาใคร เพราะว่าติดพันงานปรึกษากันเรื่องของการสรุปผลงานโครงการมหกรรมความรู้เบาหวานในกลุ่มตัวแทนจากร.พ.ทุกๆภาค
2 วันที่ได้ไปทำงาน ได้งานเป็นข้อสรุปร่างระดับความสามารถของระบบการบริการเบาหวานของเมืองไทยไว้โชว์ความสามารถของทีมสุขภาพในบ้านเรา และไว้สำหรับเป็นภาพฝันเดินหน้าต่อไปเพื่อคนเบาหวานผู้น่ารัก
การนัดพบกันในคราวนี้เป็นการชวนเครือข่ายมาพบกันเพื่อติดตามความคืบหน้าที่ทำงานกัน มีการเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฟังแล้วเห็นภาพของสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย เป็นภาพของการผลิบานเหมือนข้าวตอกที่แตกผัวะผะๆหลังจากโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปคั่วบนไฟยังไงยังงั้นเลยเชียว….มีความสุขกับการได้เข้าร่วมเวทีอย่างนี้มากมาย
กว่าการประชุมจะจบลงก็เวลาบ่ายแล้ว กินข้าวแล้วก็เผ่นมาที่สุวรรณภูมิ รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน ระหว่างที่นั่งรอก็ควักเอาตำราประเมินตัวเองที่ติดไปด้วยขึ้นมาอ่าน อ่านไปแล้วเจอเรื่องราวที่ทำให้เอ๊ะอยู่หลายจุดทีเดียว
บางผลงานดูเหมือนไม่คืบหน้า ทั้งๆที่ลงมือทำกันอยู่นั่นแล้ว บางเรื่องที่ไม่เน้น ทำอย่างสบายๆ กลับมีผลที่ดีกว่า จึงตั้งใจว่ากลับไปทำงานแล้วจะสืบดูว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังที่ชวนชื่นชมบ้าง
ไปกรุงเทพฯคราวนี้ ติดมือไผ 2 เล่มไปด้วย เจอกับน้องมด เภสัชกรคนสวยแห่งเมืองสมุทรสาครที่ได้พี่ครูต้อยไปร่วมเป็นจิตอาสา ก็เลยฝากเจ้าเป็นไผ๑ ผ่านมือเธอไปให้พี่ครูต้อย ส่วนเจ้าเป็นไผ๒ ก็มอบให้น้องสาวผู้สดใสอยู่เสมอ น้องนาฎ เภสัชกรร.พ.ท่าศาลาไปอ่าน
น้องมดเธอมาเล่าว่า พี่ครูต้อยเป็นจิตอาสาดีเด่นของเมืองสมุทรสาครเชียวนะ และเธอเพิ่งขอรางวัลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบให้พี่ครูต้อยก่อนมาไม่กี่วันนี่เอง เสียดายที่จำชื่อรางวัลไม่ได้ค่ะ ได้ข่าวก็เลยเก็บมาเล่าต่อว่า ชาวลานเรามีคนดังอีกคนแล้ว
ยินดีด้วยนะคะ พี่ครูต้อย สำหรับความดีของพี่ที่ได้รับการเผยแพร่ให้สังคมได้รู้
« « Prev : เริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนหนังบางแฮะ
Next : กล่อมประสาทกันหน่อย » »
4 ความคิดเห็น
บุคลากรทางการแพทย์นั้น ผมชื่นชมเสมอว่าก้าวหน้าที่สุด เป็นระบบที่สุด งานยุ่งมากที่สุด ต้องใช้ความรู้มากที่สุด มาให้กำลังใจนะครับ
ฮี่ ๆ จัดส่งไผ๑ ให้พี่ครูต้อยไปแต่แรกแล้วค่ะ พี่ครูต้อยเขียนถึงทันทีที่ได้รับ (ในG2K) ค่ะ ^_^
#1 น่าจะเป็นเพราะทุกงานถ้าเกี่ยวกับคน เวลาไม่มีใครรับทำ คนสาธารณสุขก็รับมาทำให้ไปก่อนทุกทีมั๊งพี่…งานมันก็เลยยุ่งมากถึงมากที่สุด…แล้วจึงได้อานิสงค์มาในเรื่ององค์ความรู้ในหลายๆเรื่อง…และที่แน่ๆ….น้องเชื่อว่า…คนของสาธารณสุขในทุกระดับ…เป็นนักจัดการที่เก่ง…แถมยังมีมากจำนวนมากกว่าหน่วยใดๆในภาครัฐซะด้วย….
เดี๋ยวนี้พอเปลี่ยนผ่านรุ่นคนทำงาน…คนรุ่นหลังๆก็เปลี่ยนไปเยอะค่ะพี่….ไม่ใคร่อยากได้งานเยอะๆ…ยุ่งๆ….แต่ก็ไม่วายต้องรับมาทำ….การเข้าตาจนเรื่องงานยุ่งงานเยอะ…เลยกลายเป็นวิกฤติที่ให้โอกาส….เกิดความคิดที่เป็นกบฏต่อระบบงานเดิมๆค่ะพี่….ก็เลยมีคนที่มีความคิดอย่างที่พี่ได้ไปฟังมากับพ่อครูนั่นแหละค่ะพี่
ใช่เลยค่ะพี่….คนแถวหน้าของสาธารณสุข…ยอดจริงๆ….แต่ในภาพรวม….คนแถวหลังก็มีเยอะเหมือนกันค่ะพี่….เยอะด้วยเหตุที่หมุนตัวเองไม่ทันกับงาน…ซึ่งน่าเห็นใจ…
องค์กรของน้อง เมื่อมองย้อนกลับ ถือว่าเป็นโชคดี ที่ผอก.รุ่นแรกๆ ไม่ลงมาคลุกงาน ปล่อยให้คนทำงานเรียนรู้และฝ่าฟันอุปสรรคของงานกันเอง….บรรยากาศของความไร้ระเบียบกฏเกณฑ์ที่เป็นกรอบมากมายของอดีต…ส่งกุศลมาให้ในยุคนี้…ที่ทำให้ได้พึ่งคนแถวหน้าระดับนำของร.พ.ได้อย่างดี…เพราะคนแถวหน้า ณ วันนี้ คือ คนยุคนั้นแหละค่ะ…..หากแต่เมื่อคนยุคนั้นขึ้นมาอยู่แถวหน้า….กลับสร้างกรอบขึ้นมามากมาย…น่าเสียดายเชียวค่ะ…..มองไปแล้วองค์กรเมื่อขาดคนรุ่นนี้…จะแย่เอา….เพราะความมีระเบียบ…ได้ทำลายการเรียนรู้บางอย่างในคนรุ่นใหม่ให้แห้งลงๆ…โชคดีที่ยังไม่แห้งตาย….
การทำงาน ณ เวลานี้….น้องก็ตั้งมั่นอยู่ที่การสร้างคนรุ่นใหม่…การทำงานยังยากอยู่มากกับการทะลายกรอบต่างๆลง…แต่ก็ไม่ถึงกับยากมาก….ที่ยากกว่าก็คือ….การทำให้คนรุ่นนี้เข้าใจและยอมรับว่า…ทุกสมองมีค่าและความเก่งซ่อนอยู่…การจะมีกรอบอะไรขึ้นมาดูแลกันนั้น…ควรที่จะได้มาจากความเห็นร่วมค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
#2 คุณครูน้องปูเจ้าขา ถึงแม้พี่ครูต้อยจะมีไผ๑ แล้ว พี่ให้ไปอีกเล่มก็ด้วยเชื่อว่ามีประโยชน์ค่ะ ก็พี่ครูต้อยมีเครือข่ายมากมาย พี่เชื่อว่าเมื่อพี่ครูต้อยได้ไผ๑ ไปเล่มแรก มีคนอยากได้ไผ๑ นะคะ การได้เล่มที่สองจากพี่ไป พี่ว่าได้ช่วยให้เธอได้ส่งต่อมันให้กับคนที่เห็นค่าของมันค่ะ ซึ่งก็โอเคสำหรับพี่เช่นกัน