ทดสอบคุณภาพของร่างกาย
อ่าน: 1069ตื่นมากลางดึกราวๆตีสาม อื้ือหือ เย็นเฉียบซะไม่มี เดินเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำแล้วก็เข้านอนต่อ ตอนที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ จำไม่ได้เรื่องอาการเจ็บเข่าว่าเป็นยังไง รู้แต่ว่าตื่นมาตอนเช้า ลุกจากที่นอน เดินไปมาไม่เจ็บแล้ว คาดเดาไปว่าน่าจะหายเจ็บแล้ววันนี้ ก็ไม่ได้วางแผนอะไรกับเรื่องของการเที่ยวในวันรุ่งขึ้นนั้น ทั้งๆที่เมื่อคืน มีความคิดแวบมาว่า น่าจะขอตัวนอนรออยู่ที่โรงแรมดีกว่าไปกับเขาที่หมู่บ้าน
กินอาหารเช้ากันแล้ว ก็พากันมาเตรียมกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับหลังจากเข้าไปในหมู่บ้านชาวเขากันแล้ว มารู้อีกทีว่าเข่ายังเจ็บอยู่ก็ตอนที่เดินลงมาเพื่อเอากระเป๋ามาวางนี่แหละ คราวนี้ทำยังไงดีหละนี่ บอกออกไปว่าเจ็บเข่าไม่ไปด้วย ก็จะทำให้หลายคนเขาไม่สนุกกันนะ
เอาอย่างนี้แล้วกันละน่า ลองของกับคุณภาพของร่างกายกันหน่อยจะดีกว่า ก็เดินไปช้าๆดูหน่อย ลองดูก่อนที่จะเดินทางกันจริงๆ เออ ได้นี่นา เดินช้าๆทีละก้าวๆเจ็บไม่เท่าไรนี่นา ขอแต่อย่าให้เป็นการก้าวลงที่ต่ำเท่านั้นเองก็ไปได้แล้ว (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องเดินที่สูงหรือลาดชันแค่ไหน)
คนนำทางเขาได้ชาวเขามานำทางด้วยคนหนึ่ง ทั้งกลุ่มถูกชวนให้ไปที่ร้านแห่งหนึ่ง เพื่อให้เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าบู๊ท ได้รับคำบอกกล่าวว่าจะมีการเดินลุยน้ำ ลุยโคลนบ้างก็เลยให้เปลี่ยน อืม ใส่บู๊ทแล้วเดินง่ายขึ้น เดินช้าๆเจ็บน้อยกว่าใส่รองเท้าคู่เดิม เอาละ แน่ใจว่าไปได้ ก็เลยไม่บอกใครว่าเจ็บเข่าเดินลำบาก ทู่ซี้ไปต่อกับพวกเขา ถามระยะทาง ได้ความว่า ไกลราวๆ 7 กิโลเมตร ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็ได้เรียนรู้ว่าความไม่รู้นี่ก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกันถ้าไม่นำความคิดมาผสมให้เกิดความกลัว
คู่สามีภรรยาคนไทยที่ช่วยเป็นล่าม คงจะเห็นเด็กๆเหนื่อยกันแล้ว จึงร่นระยะทางที่เดินในเมือง 6 กิโลเมตรให้ด้วยการให้รถนำพาไปส่งจนถึงทางลงหมู่บ้าน อือหือ มองลงไปไม่เห็นอะไรเลยมีแต่หมอก แต่ความชันที่เห็นตอนต้นทางพอบอกได้ว่าเป็นอะไรที่ชันทีเดียว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเดินลงไปได้ไหม
โชคดีที่ชาวเขาที่นี่เขาทำการค้า เขาจึงรู้ว่าไม้ไผ่ค่ำถ่อแทนไม้เท้าเวลาเดินนั้นเป็นสินค้าได้ เด็กๆชาวเขาที่นี่จึงถูกฝึกให้ค้าขายตั้งแต่เล็ก พากันมาเสนอขายไม้เท้าและของที่ระลึกเล็กๆ บอกกันมาเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำด้วยนะว่า ช่วยซื้อหนูหน่อย ครูณาได้ยินเด็กๆพูดภาษาอังกฤษก็ชอบใจ นี่ก็เป็นโฮมสกูลอีกรูปแบบที่มีให้เห็น ชาวเขาหลายคนพูดภาษาอังกฤษคล่องแบบว่าเรายังอายเขาได้เลย อายกับความกล้าเรียนรู้ของเขานะเอง
เด็กสองคนยังมีพลังอยู่ ก็เดินล่วงหน้าพ่อและแม่ลงไปกับกลุ่มหนุ่มสาว เดินไปห่างกันราวสัก 50 เมตรก็มองไม่เห็นตัวกันแล้ว นึกเดาดูก็แล้วกันว่าหมอกลงจัดแค่ไหน ฉันและคุณสามีได้ไม้เท้ามาคนละอัน พากันเดินลงมาด้วยกัน จนคุณสามีเริ่มจับหลักได้ ทีนี้ก็เดินตัวปลิวทิ้งห่าง ฉันตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเดินไปอย่างช้าๆๆๆเพื่อลดแรงกระแทกที่จะทำให้เข่าแย่มากขึ้น จึงไม่ว่ากันอยู่แล้ว
เดินไปๆช้าๆ ไกด์หนุ่มน้อยที่ตามมาด้วย เข้าใจว่าฉันกลัวจึงทำให้เดินช้า ก็พาตัวมาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แต่ด้วยความที่ห่วงใยเด็กๆ เมื่อเห็นว่ามีคนเดินตามกันมาอีกมากมาย เขาก็เริ่มทิ้งห่าง ตามไปดูแลเด็กสองคนแทน
ตัวฉันเองก็เดินมาเรื่อยๆ ไม้ไผ่ค้ำถ่อช่วยได้เยอะเลย เดินไปภาวนาไปอีกนั่นแหละ เริ่มเรียนรู้ความรู้สึกทางกายของผู้คนที่มีร่างกายทุพพลภาพว่า มีความลำบากในความเคลื่อนไหวไม่เบา และด้วยใจที่ไม่ได้คิดว่าร่างกายคืออุปสรรค ฉันกลับรู้สึกว่า อันที่จริงแล้ว คนพิการที่เดินแค่กะเผลกๆสามารถมาเดินในป่าเขาเยี่ยงนี้ได้ หากมีคนคอยระวังดูแลและมีเครื่องช่วยพยุงเวลาเดินให้กับเขา เป็นความรู้สึกแบบคนใจกล้าบ้าบิ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต่อไป ถ้าเจอคนพิการที่เขาหาญกล้าสู้กับหนทางเยี่ยงนี้และมั่นใจในตัวเอง ฉันจะไม่ห้ามเขาหรอก
การเดินช้าๆลงมาตามทางเดินของชาวเขาเรื่อยๆ ทำให้ได้สัมผัสกับความเงียบของธรรมชาติและบรรยากาศที่งดงามของป่าเขาเต็มที่ เป็นความสงบที่ธรรมชาติมอบให้ ได้ใจไปเต็มๆ เดินทางมาได้ระยะหนึ่ง คนไทยที่เป็นล่ามคนสามีก็เดินมาในระยะใกล้ๆให้ได้คุยกัน ฉันก็บอกเขาไปว่า เดินมาอย่างนี้แล้ว อดนึกภาพไปถึงตอนที่มีคนเข้าป่าเพราะเรื่องของการเมืองไม่ได้ เขาฟังแล้วก็เงียบไปเชียวแหละค่ะ
นึกภาพอยู่ในหัวของตัวเองแล้วเห็นความลำบากของคนที่อยู่ในป่าชัดเจนเชียว นึกในใจว่านี่ขนาดเราเดินมาเพื่อที่จะเที่ยวชมธรรมชาติ เรายังต้องระวังการพลาดแทบตาย แล้วพวกเขาเหล่านั้นไหนจะต้องระวังกลัวพลาด ไหนจะต้องระวังอันตรายที่ต้องหนีตายจากภัยทางอากาศอีก รับรู้ถึงความอึดและอดทนของผู้คนเหล่านั้นขึ้นมาทันควัน ไหนเวลามีคนเจ็บละ จะหนีกันอย่างไรก็ไม่รู้ได้นะ
ทางเดินลาดลงมาเรื่อยๆจนถึงน้ำตกแห่งหนึ่ง คนนำทางชาวเชาไม่รู้ไปอยู่ที่ตรงไหน หยุดพักกันชมน้ำตกแล้วก็เดินทางต่อ เลาะสันเขาไปตามริมสันน้ำตก มีป่าไผ่ต้นสูงใหญ่ นึกถึงคำของอีตาเม้งขึ้นมา ไผ่เป็นหญ้าที่สูงที่สุดจริงๆด้วย
ทางเดินเลาะไปตามนาขั้นบันได ทำให้ได้เห็นระบบชลประทานที่ชาวเขาเขาทำร่องน้ำไหลไว้ทดน้ำใส่นาด้วย ช่วงนี้เป็นขาขึ้นเขาอีกแล้ว เดินกันไปจนถึงบ้านชาวเขาหลังหนึ่ง ชาวเขาที่นี่พัฒนาแล้วจริงๆ มีไฟฟ้า มีตู้ไอศครีม มีน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบวางขายด้วย โอ้โห น่าทึ่ง
พักเหนื่อยกันแล้วก็พากันเดินลงเขามาตามแนวนาขั้นบันได ไม่ได้ลุยโคลนหรอก เด็กสองคนตอนนี้เดินไม่ไหวแล้ว ชายหนุ่มทั้งหลายผลัดกันแบกเจ้าตัวเล็กสุด ส่วนตัวโตกว่าก็มีพ่อช่วยแบกบ้าง พาเดินบ้าง ลุยกันไปจนถึงจุดหมายคือหมู่บ้านชาวเขา ชอบที่อากาศเย็นสบายมากๆๆๆ ตอนไปถึงจุดหมายเกิดคำถามในใจขึ้นมาเหมือนกันว่า “ตูข้า บ้าหรือเปล่านี่ อุตส่าห์นั่งเครื่องบินมาปีนเขา เข้าป่า เพื่อมานั่งกินขนมปังทาเนยพร้อมกับไส้กรอกแฮมมื้อหนึ่ง แล้วเดินกลับนี่นะ แถมยังมาทั้งๆที่สังขารมีปัญหา” ถามตัวเองแล้วก็นึกขำไปด้วย เออ มาหาอะไรให้ชีวิตหรือนี่ มาเรียนรู้อะไรหรือนี่
การได้เข้าไปในหมู่บ้านชาวเขา ได้เห็นอะไรที่สอนใจคนเมืองอย่างเรา ว่าเข้าไปทำลายวัฒนธรรมและความเป็นธรรมชาติของเขาทีละน้อยๆโดยเราไม่รู้ตัวเลยนะ
สภาพของชาวเขาที่นี่ ทำไร่ทำนาปลูกพืชกินเอง เห็นแล้วฉงนเหมือนกัน เอ๊ะ เขาหาเิงินกันไปใช้อะไร ไม่น่าจะต้องใช้เงินเลยนี่นา เดินไปๆจนเกือบถึงจุดสุดท้ายของหมู่บ้านก็ได้คำตอบ ใช้เงินเพื่อซื้อน้ำมันใส่รถมอร์เตอร์ไซด์ที่จะขนของไปขายในเมืองนี่ซิ ใช้เงินเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นใช้ในครัวเรือนนี่ซิ เออ! วิถีคนเมือง มีแต่ทำลายหรือเปล่านะนี่ ความงามตามธรรมชาติเริ่มสูญหายเพราะคนเมืองที่เจริญแล้วนี่เองแหละนะ
นึกไปถึงสภาพเมืองที่เห็น คนตะวันตกทั้งนั้นที่มาสิงสถิตย์กันอยู่ ผู้คนที่นิยมมาที่นี่มาจากยุโรปและญี่ปุ่นซะมากมายกว่าคนตะวันออกอย่างคนไทยเรา คนเมืองทำให้เขาติดวัฒนธรรมพึ่งพา ดูๆที่นี่แล้วก็เริ่มเข้าใจที่มาที่ไปของเมืองปายของเรา โอ้ อนาคตการท่องเที่ยวในเอเซียจะเป็นเยี่ยงนี้เหมือนกันไปหมดเลยหรือ น่าเศร้าจัง
อีกหนึ่งเรื่องที่เห็นแล้วไม่สบายใจเลย ก็คือ การทำงานอาชีพสลักหินที่ได้เห็น อาชีพนี้คืออาชีพผ่อนส่งความตายของผู้คนวัยหนุ่มที่จะป่วยจากโรคฝุ่นหิน จากความต้องการเงินแค่นี้เอง น่าอนาถใจไม่เบา เป็นสิ่งที่เติมซ้ำลงไปบนวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สูบบุหรี่ของเขาเชียวนะ
กิจกรรมเดินเข้าหมู่บ้านวันนี้ ดำเนินไปเกือบเต็มวันเชียวนะ เริ่มจากเก้าโมงเช้าเป็นต้นมา มาจบลงที่เวลาสามโมงเย็น รถตู้ที่นำพามาส่งที่ต้นทางก็มารอคอยอยู่ที่ปลายทางแล้ว ทางเดินก่อนออกจากหมู่บ้าน เป็นทางให้รถวิ่งได้ มีรถบรรทุกหินเข้ามาในหมู่บ้านด้วยเพื่อทำทางเดินเลียบลำธารสายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆหมู่บ้าน
สิ่งที่แปลกใจอีกอย่างที่ยังทำให้เอะใจอยู่จนบัดนี้และไม่มีคำตอบก็คือ เมื่อเดินเข้าไปหมู่บ้าน พบเจอแต่เด็กๆและผู้หญิง ไม่ใคร่เจอผู้ชาย ส่วนคนแก่เฒ่านั้นหรือ ไม้ต้องพูดถึงเลย แทบไม่เห็นเลยเชียว แปลก
เดินมาสุดทาง ระหว่างจะเดินไปขึ้นรถ สาวคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่ใกลสะพานก็มาส่งภาษามือขอไม้เท้าไม้ไผ่คืน อือหือ มีการออกรอบไม้ไผ่วนขายด้วยแฮะ แล้วจะไม่ให้บอกว่า ชาวเชาที่นี่เป็นนักขายได้อย่างไร แถมเป็นนักการตลาดตั้งแต่เด็กยันวัยกลางคนด้วยนะจะบอกไห่
กลับจากหมู่บ้านก็เดินทางมาขึ้นรถไฟเพื่อกลับฮานอย แวะอาบน้ำที่โรงแรมใกล้สถานีรถไฟ กินข้าวเย็นกันแล้วก็นอนบนรถไฟกลับมาฮานอยอีกครั้งตอนเช้าตรู่ของอีกวัน หลับสบายด้วยความเหนื่อยล้าของร่างกาย
ไชโย กับตัวเองที่สมรรถนะของร่างกายใช้ได้เลย นั่งจ่อมก้นลงกินข้าวเย็นไปแล้ว ลุกขึ้นเดิน แปลกใจแฮะ เข่าซ้ายที่ปวดอยู่ทั้งวันในวันนี้ หายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยังอธิบายไม่ได้จนบัดนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเก้าอี้ที่นั่งกินข้าวเย็น เป็นเก้าอี้ที่นั่งสูงจากพื้นแบบวางเท้าแนบพื้นพอดีๆแล้วทำให้เอ็นที่ตึงมันคลายก็ไม่รู้
« « Prev : เดี้ยงด้วยโดนทดสอบหรือเปล่าก็ไม่รู้
Next : เริ่มรู้ตัวว่าเป็นคนหนังบางแฮะ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ทดสอบคุณภาพของร่างกาย"