เดี้ยงด้วยโดนทดสอบหรือเปล่าก็ไม่รู้
อ่าน: 925ก่อนเคลื่อนย้ายจากเมืองฮานอยไปยังหมู่บ้านชาวเขา ได้แวะชมวัดและวิทยาลัยเก่าแก่ของเวียดนามที่เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว สิ่งที่เห็นภายในสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ บ่งบอกว่าวัฒนธรรมของที่นี่มีรากฐานปนเปวัฒนธรรมจีนเข้ามาด้วย สิ่งหนึ่งที่บอกความเป็นชาตินิยมของคนเวียดนามก็คือบันทึกทั้งหลายที่มีบอกไว้ หาเรื่องราวที่แปลความไว้เป็นภาษาอังกฤษน้อยมากๆ ทุกๆบันทึกที่บอกเล่าเรื่องราวไว้เขียนด้วยภาษาเวียดนามทั้งสิ้น
ก่อนเดินทางไปขึ้นรถไฟ ทั้งกลุ่มไปกินอาหารบุฟเฟ่ห์ที่ภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ระหว่างเดินเข้าไปสวนทางกับพระสงฆ์ไทยกลุ่มใหญ่เชียว เห็นแล้วก็ให้อึ้ง เอ๋ วัดไทยเมืองฮานอยมีด้วยหรือนี่ ร้านอาหารใหญ่แห่งนี้อยู่ใกล้สวนสนุกแบบสวนสยาม ที่แปลกใจอย่างยิ่งก็คือ สภาพสวนสนุกเหมือนดั่งร้างไม่เปิดทำการ มองไปทางไหนก็ไร้ผู้คน ไร้เด็กนักเรียนที่มาแอบเที่ยวเล่น สภาพสวนสนุกในตอนนั้น เปิดทำการอยู่ค่ะ น่าทึ่งในวินัยของเขานะคะ หรือถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็มองเห็นการปลูกฝังให้รักเรียนของเด็กๆที่นี่ก็ได้เช่นกัน (นี่ก็เป็นความคิดที่เดาเอาเองค่ะ)
อาหารที่ร้านแห่งนี้มีให้เลือกสารพัดอย่างเชียวแหละค่ะ รวมๆแล้วเกินกว่า 50 รายการนะคะ อาหารทะเลก็มีให้เลือก ทั้งหอยหลากหลายชนิด ปูทอดกรอบ ปลาหมึกลวก เนื้อสัตว์ทั้ง นก ไก่ หมู เนื้อในรูปแบบต่างๆ อาหารจำพวกเฝอ ปลาท่องโก๋ ข้าวต้ม ข้าวเหนียว อาหารฝรั่ง มีหมดเลย ผลไม้มีแตงโม สับปะรด แอบเปิ้ล แพร์ และส้มโอ มองไปรอบๆเห็นคนส่วนใหญ่ที่ีมากินกันดูเหมือนจะเป็นคนไทยซะเกินกว่าครึ่งเชียวแหละ
มื้อเย็นเขาพาไปกินหม้อซุปเห็ด มีเห็ดหลากหลายที่มาต้มให้กิน แบบต้มลวกคล้ายๆสุกี้บ้านเรา อาหารมื้อนี้ถูกปากเพราะเต็มไปด้วยผักและเห็ด แถมด้วยเต้าหู้ ฉันว่าเต้าหู้เวียดนามอร่อยกว่าเต้าหู้ไทยเยอะเลย กินอิ่มกันแล้วก็พากันไปรอรถไฟเพราะว่าเมืองที่จะไปเป็นเมืองชายแดนติดกับจีนชื่อเมืองลาวกาย อยู่ทางเหนือของเมืองฮานอย เป็นเมืองที่จะตั้งต้นเดินทางไปต่อยังปลายทางซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขาที่มีบรรยากาศเหมือนเมืองปายบ้านเราเชียว ที่นั่นเขาเรียกว่าเมืองในหมอกที่มีชื่อเสียงของเขาค่ะ
รถไฟเวียดนามเขาทำไว้รองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หนึ่งห้องมีสี่ที่นอน ล่างสอง บนสอง มีประตูล็อกได้ มีปลั๊กไฟให้ชาร์ตแบตกล้องได้ เสียบคอมฯได้ ห้องน้ำสะอาดใช้ได้ แต่จะเปิดให้ใช้ก็ตอนรถวิ่ง อ่างล้างหน้าสะอาดใช้ได้ รถวิ่งสุดปลายทางก็ถึงที่หมาย เวลาตอนเช้าตีสี่ก็จะมีพนักงานรถเดินมาเคาะประตูห้องให้ตื่นทุกห้องไป งัวเงียตื่นกันแล้วก็เตรียมตัวลงจากรถเดินทางต่อ เด็กสองคนสนุกกับการได้ลากกระเป๋าเหมือนผู้ใหญ่ไปตามทางรถไฟ
การตรวจตั๋วของรถไฟที่นี่ไม่ใช้การ์ดรถ แต่ใช้วิธีตรวจตั๋วตอนเดินเข้าที่สถานีต้นทางและเดินออกจากสถานีปลายทาง ใช้คนเฝ้าประตูแค่สองคนก็ทำกันได้ แต่ละคนต้องถือตั๋วของตัวเองไว้ให้ตรวจ ใครไม่มีก็ยืนรอให้เช็คกันไปเหมือนกับสถานีรถไฟฟ้านั่นแหละ
แวะเข้าโรงแรมใกล้สถานีรถไฟล้างหน้าอาบน้ำกันแล้วก็เดินทางขึ้นเขาไป ภูเขาสูงชันทีเดียว ไปถึงเมืองแห่งนี้ เขาเรียกว่า ซาปา ทั้งเมืองมีถนนสายหลักอยู่สายเดียว และมีสายรองแยกไปยังโรงแรมใหญ่ๆต่างๆ ทั้งเมืองมีถนนราดยางไม่ถึงสิบสาย เดินกันไม่นานก็เดินรอบเมือง
ไปถึงเป็นช่วงที่หมอกลงจัด เป็นบรรยากาศหนาวๆที่เริ่มเข้าใจภาพที่มักเห็นคนยุโรปเดินกางร่มในฤดูอากาศหนาว ก็เดินไปๆมันรู้ึสึกเหมือนฝนกำลังตกพรำๆทั้งๆที่ไม่มีฝน ถนนนเปียกเชียวแหละนะ ตอนเช้ายังพอเห็นบรรยากาศของเมืองบ้าง แต่พอสายหน่อยเลยๆเที่ยงไปแล้วหมอกก็ลงจัดมากถึงมากที่สุด คุณสามีแอบงีบนอนพักในระหว่างนี้ ตัวฉันก็แอบมาเดินเล่นดูบรรยากาศและถ่ายภาพเล่น
เมืองนี้มีความแปลกอยู่ที่ตึกด้านหน้าสวยมีสีสันทรงต่างๆสวยงาม แต่พอแอบมองข้างหรือด้านหลังจะดูไม่ได้ เป็นแค่ปนที่ไม่ทาสี ถามความได้มาว่า ค่าสีแพงก็เลยแต่งเฉพาะด้านหน้าไว้รับแขกก็พอ บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นร้านค้าหรือโรงแรม มีร้านกาแฟ เสื้อผ้าผลิตภัณฑ์ชาวเขาและเสื้อผ้าแบบเวียดนามจำหน่าย มีชาวเขาเดินตามถนนเต็มไปหมด เป็นชาวเขาที่เก่งการตลาดมากๆเชียวนะขอบอก
การเดินออกมาข้างนอก คนนำทางขอให้ใส่เสื้อฝน พากันชวนกันไปเดินขึ้นเขาได้บรรยากาศเย็นถึงใจสบายเชียว ชมการแสดงชาวเขาแล้วก็พากันเดินกลับลงมา ตอนขึ้นเขาก็ดีๆอยู่ แต่ตอนลงมาซิมีอาการกับร่างกายขึ้นมาโดยกระทันหัน เข่าข้างซ้ายเจ็บอย่างบอกไม่ถูก เดินลงมาแบบคนขากระเผลกต้องเดินทีละก้าวๆลงมาช้า เจ็บถึงเจ็บมาก ค้นหาสาเหตุไม่เจอว่าทำไม ก็ไม่ได้เดินเร็วหรือกระแทกเข่าซักเท่าไร ก็ไม่ได้บอกใครเรื่องเจ็บเข่า
กลับลงมากินข้าวเที่ยงกัน โอ้โหที่ี่นี่ เผือกอร่อยทีเดียว หวานหอมมากๆ มีเนื้อไก่ เนื้อหมูให้กิน มีผักบ้างไม่มากมายนัก เฟรนฟรายด์คืออาหารหลักชนิดหนึ่งที่ขึ้นโต๊ะที่นี่ ข้าวที่หุงมากินอร่อยกว่าที่เคยกินข้าวชาวเขาที่เมืองปาย
เมนูหนึ่งที่ถูกใจกับอาหารที่นี่ (ซึ่งเจอตอนกินอาหารเช้า) คือ แยมผลไม้สดที่ทำขึ้นเองใช้กินกับขนมปัง สังเกตดูส่วนผสม น่าจะมาจากใช้ผลไม้ที่จัดไว้ให้กินแล้วเหลือใช้สอยมากวนขึ้น ผสมๆกันระหว่างแตงโม สาลี่ และสับปะรด รสชาดกลมกล่อมดี ที่ไม่ชอบอาหารที่นี่ก็คงจะเป็นความนิยมใส่ผงชูรสให้อาหารอร่อย
ก่อนกินมื้อเย็น ทุกคนก็ตื่นมานั่งเล่นรอๆกันอยู่ ก็มีกุ๊กกิ๊กเล่นกันเล็กน้อย จับคู่ถ่ายภาพกันระหว่างฉันกับคณสามีเป็นรูปประสานมือเป็นรูปหัวใจ รูปแกล้งงอนกันบ้าง ง้อกันบ้าง สนุกดีกับการทำตัวเป็นเด็ก ตอนแรกคุณสามีก็ไม่ใคร่กล้าถ่ายภาพอย่างนี้หรอก แต่พอรู้ว่าจะถ่ายจริงๆก็ร่วมมือด้วยดี มื้อเย็นมีการฉลองวันเกิดให้สองหนุ่มด้วย คุณสามีได้รับเกียรติของการที่มีวัยสูงที่สุดในกลุ่มกล่าวอวยพร ว่ากันไปตามกลอนสดผิดถูกให้ขำขันกันเล่นเป็นที่เฮฮา ก่อนที่จะแยกย้ายกันออกมาจากร้าน
ออกจากร้านก็เดินกันต่อไปอีก เจ็บเข่าอีกนั่นแหละแต่ก็เดินไปกับเขา เดินช้าๆทีละก้าวๆ ก้าวไปพร้อมกับได้รับรู้ร่างกายและความรู้สึก อืม ดีไปอีกแบบแฮะ ได้รับรู้ความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ สนุกหรือเปล่า ก็สนุกนะ ทุกข์ใจกับที่เจ็บกายหรือเปล่า คิดว่าไม่นะ คิดมากหรือเปล่า คิดว่าไม่มีนะ ไตร่ตรองหรือเปล่า อืม ก็มีอยู่นะ มีคำถามกับตัวเองที่ล่วงเลยไปถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้อยู่นะ เป็นการเรียนรู้อีกแบบว่า ความรู้สึกกับความคิดแยกกันทำงานอีกแล้ว
ใจได้ลองภาวนาด้วยนะ ขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร (ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมาในวันนี้ และจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรกับใครไว้ ) หากว่าเป็นการตามทวงกรรมของเจ้ากรรมนายเวรก็ขออุทิศให้ จะทำอะไรก็ทำ ยอมๆๆๆๆทั้งนั้น ขอแต่ให้อโหสิให้กันเมื่อพอใจแล้วก็แล้วกัน ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่หายปวดเข่าข้างซ้ายเอาซะเลย
แล้วก็แปลกนะที่เดินขึ้นเนินไม่เจ็บเลย แต่พอเดินลงเนินกลับเจ็บแทบตายเชียวนะ กลับมาถึงโรงแรมก็พักนวดเอ็นข้างลูกสะบ้า จับได้ตำแหน่งที่เจ็บก็นวดๆให้คลาย โยคะบ้าง กายบริหารบ้าง อะไรต่ออะไรบ้างที่นึกออกว่าน่าจะช่วยคลายเส้นที่กดเจ็บลงนั้นได้ อาบน้ำแล้วก็เข้านอน หวังว่าตื่นเช้าอาการเจ็บจะทุเลาลง นอนแล้วหลับสบายไม่ปวดเข่าเลยนะ ไม่คุดคู้ด้วยทั้งที่อากาศหนาวเย็นมากๆ
Next : ทดสอบคุณภาพของร่างกาย » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เดี้ยงด้วยโดนทดสอบหรือเปล่าก็ไม่รู้"