ฉากชีวิตคนสามวัย

โดย สาวตา เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 23:18 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1024

การเดินทางไปต่างแดนในครั้งนี้ ทั้งกลุ่มที่ไปแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งก็เป็นคนกันเองแบบเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนรวมกัน 3 ครอบครัวกับ 2 สาวโสด ครอบครัวผู้นำทางหนึ่ง ครอบครัวครูณาหนึ่ง และคู่ฉันเองหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มเป็นเพื่อนฝูงที่ทำงานบริษัทเดียวกันซึ่งผู้นำกลุ่มยังหนุ่มทีเดียว อายุอานามอยู่ในราวๆสามสิบเศษๆ ทั้งกลุ่มมีด้วยกัน 3 คู่กับ 5 หนุ่ม(หนุ่ม-สาว)  รวมทั้งกลุ่มก็ใหญ่ทีเดียวที่ไปด้วยกัน  ทริปนี้จึงประกอบด้วยคนสามวัย ที่มีบรรยากาศฮาเฮไม่แพ้ชาวเฮเวลาได้อยู่ด้วยกัน

ที่ว่าคนสามวัยก็คือว่า คนวัยแก่ที่สุดก็มีคุณสามีนั่นแหละ รองลงมาก็เป็นตัวฉันและครูหมูสามีครูณา  คนส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ และมียี่สิบปลายๆอยู่บ้าง มีเด็กไปด้วย 2 คน คือ ลูกชายของครูณา คนหนึ่งเจ็ดขวบ อีกคนห้าขวบ ทั้งสองคนไปด้วยได้เพราะว่าเรียนแบบโฮมสคูล

การไปเที่ยวคราวนี้ ฉันได้เรียนรู้โลกในอีกหลากหลายมุมเกี่ยวกับการครองคู่ของผู้คน ทั้งคู่ชายจริงหญิงแท้ คู่ชายแท้ใจหญิงและชายแท้ใจ(ชอบ)ชาย  คู่ชายหญิงที่ดูอะโนเน่ะแบบเด็กๆ มีอะไรๆก็อะโนเน่ะอยู่เรื่อยๆกับการแต่งกาย การได้เห็นความหลากหลายอย่างนี้ ท่ามกลางความเข้าใจที่พวกเขามีต่อกันและกันเป็นความสุขอีกแบบเชียวละค่ะที่ได้รับการเผื่อแผ่มาถึง  ความสุขที่เกิดขึ้นมาจากบรรยากาศที่มีความผ่อนคลายที่เกิดจากไม่มีใครถือสาใคร มีแต่ให้กันอย่างลงตัวนะฉันว่า

การได้ร่วมทริปกับคนที่เด็กกว่า ทำให้คุณสามีกลับกลายเป็นเด็กขึ้นอีกเยอะเชียว ฮาเฮแบบหลุดโลก สนใจอะไรก็ดุ่มๆไปแบบลืมตัว ไม่สนใจใครคล้ายพ่อครูบาในบางบุคลิก คล้ายพี่ตึ๋งในบางอารมณ์ ปล่อยมุขแซวคนเล่นแบบกัดนิดๆแขวะหน่อยให้ขำขันกันไปบ้าง เป็นอะไรที่หลุดโลกแบบไม่ใคร่ได้เห็นสักเท่าไร ถือว่าเป็นรางวัลชีวิตสำหรับเขาในการเรียนรู้เช่นกัน

กลับมาบ้านลูกชายถาม พ่อแตกแถวบ้างหรือเปล่า แบบรู้นิสัยกัน ได้ตอบลูกชายไปว่า ก็มีบ้างแต่ไปไม่ไกล พ่อคงกลัวการสื่อสารที่แทบจะไม่รู้เรื่องกันหากไม่ใช้ล่าม

สำหรับฉันก็มีความสุขกับการได้ฟังคนอื่นเขาคุยเล่นกัน แซวกัน แล้วก็แหะ..แหะ…ตามมุขเขาไม่ทันเช่นเคย  ไม่ต้องบอกก็คงรู้กัน..55555….เอ๋อ..เหรอ..เป็นประจำ….คือ..ฉันเอง

ภาพของกลุ่มจึงมีหลายบรรยากาศ มีทั้งบทบู๊ของหนุ่มอารมณ์หญิงให้เห็น ไม่ถึงกับแต๋วแตกหรอกนะคะ เป็นอะไรแค่เบาะๆให้พอรู้ว่า อ้อ มีแต๋วมาด้วย

มีอารมณ์เด็กที่งอนพ่อแม่เมื่อเหนื่อยล้า หิว  เขินผู้ใหญ่เนื่องจากแปลกหน้าต่อกันทำให้ไม่เคยคุ้น ไม่กล้าพูดจาด้วยตรงๆแต่มีภาษากายมาตอบโต้ให้รู้ว่ายอมรับความสัมพันธ์ที่มีต่อ  ถือว่าทริปนี้ได้เรียน dialogue จากเด็กๆและหนุ่มสาวก็ว่าได้เชียวนะ

วันแรกที่ไปถึงเวียดนามเป็นยามดึกแล้ว ห้าทุ่มกว่าๆถึงเมืองฮานอยและกินข้าวเย็น เป็นเฝอไก่หรือเนื้อแล้วแต่จะเลือก  มีถั่วงอกและผักชีเวียดนามวางไว้เป็นเครื่องเคียง เครื่องปรุงที่วางไว้ให้มีเต้าเจี้ยวหวาน เกลือปนน้ำตาลพร้อมมะนาวหนึ่งซีกและพริกสดหั่นฝอย และมีซีอิ้วขาวแต่เป็นสีแดงใส่พริกมาให้ด้วย กลิ่นน้ำแกงเฝอผสมพริกฟุ้งติดเสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์เลยเชียว ชิมแล้วนึกถึงก๋วยเตี๋ยวญวณของป้าจุ๋มมากมาย

ถึงโรงแรมก็ได้พบกับเจ้าของทัวร์ท้องถิ่นที่ส่งไกด์มาดูแล เป็นคนหนุ่มอายุ 28 ปีเท่านั้นเอง เขาแวะมาหาพร้อมกับบอกว่า วันนี้เขามีลูกค้าทัวร์ทั้งหมด 9 กลุ่มไม่รวมกลุ่มฉัน เขาแวะมาขอโทษที่ส่งไกด์ผิดรุ่นมาให้

ลืมเล่าไปว่าไกด์ที่พบคนแรก อายุอ่อนกว่าพี่ตึ๋งอยู่ปีเดียวเอง เอาไกด์แก่(กว่า) มานำทางให้คนหนุ่มสาวเที่ยวนี่หนา นึกภาพไม่ออกเลยว่าใครจะไปก่อนใครเรื่องกำลังและความสนุก

ได้ที่พักคืนแรกที่โรงแรมอยู่ใกล้ทะเลสาปใจกลางเมืองฮานอย ค้างคืนกันที่นี่หนึ่งคืน แล้วเดินทางต่อไปเที่ยวหมู่บ้านชาวเขาที่อีกเมืองหนึ่ง

สิ่งที่ประทับใจและคิดว่าคนไทยจะสู้ชาวเวียดนามไม่ได้ก็อีตรงเรื่องของ การบริหารความไร้ระเบียบ และ การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนะคะ ข้อตัดสินที่นำมาสรุปเรื่องนี้ก็คือ ความสามารถในการจัดการจราจรที่ไร้ระเบียบอย่างแรงให้เป็นเรื่องที่เป็นระเบียบส่วนตัวได้อย่างลงตัวทุกผู้คนอย่างน่าทึ่งเชียว  ถ้าเป็นเราขับขี่บนถนนอย่างนั้น เรียบร้อยโรงเรียนการพยาบาลไปแล้วแน่นอนเชียว

ตอนนั่งรถเข้ามาเมืองฮานอยนั้นมืดจึงเห็นสภาพการจราจรไม่ชัดเท่าไร รู้แต่ว่าตลอดสายที่ขับรถผ่านไปมีแต่เสียงแตรลั่นไปหมด ไม่เคยเงียบเสียงเลย แล้วเจอรถติดยิ่งกว่ากรุงเทพฯด้วยนะ

ตอนเช้าตื่นมาแล้วแปลกใจ การสัญจรบนท้องถนนที่เห็นตรงหน้าเหมือนดั่งกองทัพมดหลายๆขบวนที่กำลังแตกรัง ต่างคนต่างวิ่งวนหาทิศทางไปของตนกันดูวุ่นวาย บางทิศก็ประดังกันเข้าไปสู่จุดเดียวกันก่อนจะมีการจัดการสับหลีกหันเหออกจากกันจนไปได้โดยไม่มีใครมีอารมณ์ใส่ใครหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น น่าแปลกกับสภาวะอารมณ์ของคนเชียวแหละ ดูนานๆแล้วสนุกและเป็นเสน่ห์อีกแบบค่ะ

กองทัพมดที่เห็นเป็นกองทัพมอร์เตอร์ไซด์ ฟังว่าในเมืองใหญ่มีอัตราส่วน รถจักรยานยนตร์ต่อคน 1:2  ส่วนนอกๆเมืองออกไปเป็น 1:3 จักรยานและคนเดินมีปนอยู่บนท้องถนนด้วย เป็นพวกค้าขายสินค้าต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นของกิน ดอกไม้  ผลไม้และผักสด  ร้านรวงที่ขายของคล้ายๆร้านรวงในชนบทไทย คือ เป็นคูหาต่ำๆเล็กๆแคบ เป็นตรอกก็มี บ้านเรือนเป็นตึกทรงกระบอกสูงมีหน้าต่างน้อยๆ มีเหล็กดัดติดให้เห็น บ่งบอกถึงการต้องระวังเรื่องทรัพย์สินในบ้านไม่ต่างจากเมืองไทยเรา

เด็กสองคนที่ไปด้วยกัน ทำให้ได้เห็นความมีพลังที่ไม่ยอมหมดของเด็กน้อยที่น่าฉงนเชียวแหละ เรียกว่าพอพลังหมดเหมือนแบตหมดยังไงยังงั้น พลังหมดเด็กก็เริ่มหลับ เหมือนปิดสวิตช์ตัวเองเริ่มชาร์ตแบตใหม่ หรือไม่ก็ชาร์ตเติมได้ด้วยลูกอมหรือไอติมเหมือนใครบางคนซะอีกแนะ

ไปถึงวันแรกฮานอยอากาศร้อนเชียว อากาศเหมือนอยู่ที่พิษณุโลกในเดือนเมษายนเชียวแหละ แต่พอผ่านไป 3 วันกลับมาอีกครั้ง คราวนี้อากาศเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เย็นขนาดยอดดอยอินทนนท์ในหน้าร้อนอะไรอย่างนั้นแหละ อากาศแบบนี้กระมังที่ทำให้คนเวียดนามอดทนกว่าคนไทยเรา

« « Prev : เป็นยังไงรึเปล่า

Next : เดี้ยงด้วยโดนทดสอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2009 เวลา 23:58

    การเดินทางแบบกลุ่มนี้น่ะ “เห็นคนในคน” อย่างน้องหมอเจ๊กล่าวจริงๆ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2009 เวลา 20:32

    #1 พี่บู๊ดค่ะ ทริปนี้ได้เรียนและได้เห็นความต่างๆกันไปของความเป็นครอบครัวด้วยค่ะพี่  สังคมเวียดนามในชนบทยังมีลักษณะของความเป็นครอบครัวอยู่มากมาย เดินไปทางไหนๆก็ยังเห็นเด็กๆมากมาย เทียบกับบ้านเราน้องว่ามันต่างกันมากมายอยู่เหมือนกัน


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.60892820358276 sec
Sidebar: 1.5311779975891 sec