เป็นยังไงรึเปล่า
อ่าน: 1078นับตั้งแต่ได้สานสัมพันธ์กับครูณา เจ้าของแบรนด์โรงเรียนพ่อแม่ลูก นครสวรรค์ แล้วเชื่อมโยงเชื่อมต่อให้ครูณาได้มีโอกาสดูแลผู้คนตามความตั้งใจแน่วแน่ของเธอ ดูเหมือนเธอจะมีใจต่อฉันในฐานะกัลยาณมิตรคนหนึ่ง ความมีใจต่อกันทำให้เธอเอ่ยปากชวนขึ้นเมื่อคราวที่นำพาบรรดาครูกศน.ไปสัมผัสเรียนรู้จากเธอ “ไปเวียดนามกันมั๊ย หมอ” ในตอนนั้นฉันไม่ได้ตอบรับอะไร แค่ “เงียบ” คิดในใจว่า “อืม ถ้าว่างก็จะลองตัดสินใจดูอีกที”
เมื่อกลับมาถึงบ้านไม่นาน ครูณาก็ส่งรายละเอียดของโปรแกรมเที่ยวเวียดนามผ่านมาทางอีเมล์ คนที่เธอติดต่ออยู่ด้วยได้ส่งโปรแกรมมาให้เช่นกัน หน้าตาของคนนำเที่ยวสวยเชียว สีสันของรูปภาพที่ส่งมาให้ก็ชวนให้สนใจ รับเรื่องราวมาแล้วก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปตามคำชวนหรือเปล่า
ในช่วงนั้นก็มีเรื่องให้เดินสาย ตามไปดูแลพี่สาวคนสวย หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล ที่ถึงเวลาเป็นสว. ก็ลองเสนอรายการให้พี่สาวดู อืม สนใจเหมือนกัน ก็รอๆกันไปกับเรื่องการตกลงใจ แล้วก็ชวนใครอีกหลายคนที่ร.พ.ว่าสนใจจะไปกันบ้างไหม (ตอนนั้น ราคาเครื่องบินไปกลับแค่ไม่เกินสองพันบาท)
นึกขึ้นมาได้ถึงคนข้างกาย เขาชอบนะกับการได้ไปต่างเมือง ลองชวนดูก่อนดีมั๊ย ถ้าหากว่าเขาไปก็ไปด้วยกัน ดีเหมือนกัน ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไกลๆอย่างนี้คู่กันนานมากแล้ว ใจนั้นอยากจะไปด้วยกันเป็นครอบครัว ถามลูกสาวเรื่องเวลาว่าง ไปด้วยกันได้ไหม “ไม่ได้เลยแม่ ช่วงนั้นมี lab ก่อนจบต้องทำ” ถามลูกชายไปเวียดนามกันไหม “ไม่ไปหรอก แม่ไปกับพ่อซิ”
คำปฏิเสธของลูก 2 คน เป็นข้อสรุป งั้นไปกันแค่สองคน งั้นชวนดูแล้วกัน ตัดสินใจแล้วก็ส่งโปรแกรมวางลงตรงหน้าคุณสามี “จะไปเที่ยวเวียดนาม ไปมั๊ยพ่อ” ชวนสั้นๆง่ายๆตามสไตล์ฉันอย่างนี้แหละ เรียกว่าตอนที่ชวนกลั้นหายใจมากเชียวนะกับการลงมือทำอย่างนี้ จำได้ว่าตั้งแต่แต่งงานกันมา ไม่เคยทำอย่างนี้เลยนะจะบอกไห่ มันกล้าๆกลัวๆอยู่เหมือนกัน กลัวได้ยินคำปฏิเสธ “ไม่ไปด้วยหรอก” นะซิ
เป็นอารมณ์ที่เรียนรู้ตัวเองว่า “อืม ไหงตื่นเต้นนะ กะอีแค่ชวนสามีไปเที่ยวด้วยนี่อ่ะนะ” แค่นี้ก็ถือว่า หวานแหววแล้วนะสำหรับฉัน ทำมั๊ย ทำไม เวลาทำอะไรหวานแหววแล้วตื่นเต้นด้วยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ
วางโปรแกรมไว้ให้ดูไม่ถึงครึ่งวัน คุณสามีก็ให้คำตอบ “ไปซิไป อยากไป” เสียงบอกมาเด็ดเดี่ยวให้มั่นใจได้ ไม่เบี้ยวกันแน่นอน เฮ้อ โล่งอก สรุปว่าไปแล้วนะ งั้นถึงตาเราตัดสินใจแล้วซิ ว่าแล้วก็ถามกลับไปที่ครูณา ขอรายละเอียดเพิ่มเรื่องอื่นๆ
และแล้วในที่สุดก็ถึงวันที่เดินทาง รายละเอียดต่างๆก็มอบคุณสามีให้เป็นคนประสานงานให้รวมทั้งมอบหน้าที่การเป็นกระเป๋าเงินให้ตลอดทริป
วันเดินทางก็ออกเดินทางจากบ้านก่อนเที่ยง ไปโต๋เต๋อยู่ที่สุวรรณภูมิกว่าครึ่งวัน แลกเงินเตรียมไปใช้จ่ายแบบไม่ใคร่รู้เรื่องอะไรเท่าไร ไปแลกเงินจึงรู้ว่าเงินเวียดนามไม่มีให้แลกที่เมืองไทยเลย จึงแลกเป็นเงินดอลล่าร์ติดตัวไป
คุณสามีแลกเป็นแบงค์ใหญ่ติดตัวไป (สมกับเคยทำงานแบงค์) ไปถึงเวียดนามใช้ยากเชียว คิดอัตราแลกเปลี่ยนเวียนหัวไปหมด ไปถึงที่เวียดนาม เงินดอลล่าร์ที่แลกไปถือว่าใหญ่ไปสำหรับชาวบ้าน ก็เสนอให้คุณพี่เขาแลกเงินเวียดนามไว้ใช้หน่อย คราวนี้ก็อีกแล้วนิสัยนาย(งาน)แบงค์ เงินดอลไปแลกเป็นเงินเวียดนามก็เลือกแลกมาแต่แบงค์ใหญ่ซะอีก ใช้ซื้อของแล้วแม่ค้าก็ไม่มีเงินทอน เฮ้อ เวียนหัว จนพาให้ไม่มีอารมณ์อยากใช้เงินไปเลย (จริงๆนะ)
คนนำทางจากเมืองไทยเป็นคู่สามีภรรยาที่ครูณาติดต่อให้ช่วยนำทาง คู่นี้เขาทำทัวร์อยู่ สามีเป็นคนไทยเต็มร้อย ภรรยาเป็นลูกครึ่งลาวเวียดที่พูดไทยได้ชัดเปรี๊ยะ เพราะว่าเกิดและโตเมืองไทย เรียนหนังสือไทย เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าเขาไปซื้อทัวร์ท้องถิ่นนำทางให้โดยตัวเขาก็ไปเที่ยวด้วยกัน สะดวกตรงที่ได้เขาช่วยเป็นล่ามแปลภาษาเวียดนามเป็นภาษาไทยให้ได้รู้เรื่องกัน
ไปเวียดนามคราวนี้ คุณสามีทิ้งให้ฉันผจญภัยคนเดียวด้วยนะ ในวันก่อนกลับหนึ่งวัน ทั้งกลุ่มไปเที่ยวกันที่สุสานโฮจิมินท์ ขากลับเดินออกมาแบบไหลตามฝูงชนที่แน่นเหมือนหนอน แล้วทางเดินมันก็วกวน คนมากมายทำให้กลุ่มแตกจากกันเป็นกลุ่มละคนสองคน
จุดสุดท้ายของการเที่ยวชม มีวัดจีนให้แวะคารวะเจ้าแม่กวนอิม ที่ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดเรื่องผจญภัยขึ้น ความสวยงามของวัด ทำให้ฉันแวะเข้าไปเดินชม ในขณะที่คนอื่นๆเขากำลังไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่เก๋งด้านนอก
เข้าไปชมวัดอยู่สักครู่ ฉันก็ออกจากวัดมา เหลียวหาก็มองไม่เห็นใครแล้ว เดินหาก็ไม่เห็นเงาใครๆ เข้าใจไปว่าทั้งกลุ่มเขาเดินไปชมพิพิธภัณฑ์โฮจิมินทร์ตรงหน้ากันหมด ก็เดินเข้าไปตามหาแบบเร็วๆ ที่ไหนได้ไม่มีแม้แต่เงา ทีนี้รู้แล้วว่าพลัดจากกลุ่มแล้วแน่นอน
เอาละซีทีนี้ทำไงละนี่ การพูดภาษาของคนเวียดเขาเหมือนนิสัยคนญี่ปุ่นเลยแหละนะ หาคนพูดภาษาอังกฤษด้วยเข้าใจ หายากซะจริงๆ (ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงไกด์ของกรุ๊ปอื่น) แล้วตอนที่เดินเข้าไปชมสุสานฯนั้น มีทหารเฝ้าประตูทางเข้าตลอดสาย ไม่ยอมให้พกอะไรติดตัวได้เลยนะ ยกเว้นหมวก หรือผ้าพันคอ กระเป๋าถือติดตัวไม่ได้ เงินให้ใส่่กระเป๋าเล็กใส่ไว้ในเสื้อหรือกางเกง
อย่างที่บอกไปแล้วว่าคราวนี้ให้คุณสามีเป็นกระเป๋าเงิน เงินในกระเป๋าก็เลยไม่มีติดตัวไว้เลย เงินไทยที่นี่เขาก็ไม่รับ ยกเว้นร้านค้าที่ย่านการค้าที่คนไทยไปบ่อยๆ ที่พักอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้เลยคืนนี้ พลัดหลงจริงๆจะทำไงละนี่ จะไปตามกันเจอได้ยังไง คิดไปโน่นก่อนเลย
แปลกใจตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตกใจในตอนที่รู้ว่าพลัดหลงจากกลุ่ม คิดวนอยู่แต่หาทางช่วยตัวเองต่อไป คิดวนไปวนมาไม่ได้คำตอบ ก็ตัดสินใจว่าไม่คิดดีกว่า อยู่ตรงนั้นก่อนก็แล้วกัน ใครจะทิ้งก็แล้วแต่ค่อยว่ากัน ว่าแล้วก็นั่งลงตรงน้ำพุที่อยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ ไม่คิดอะไรแล้ว นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ
นั่งดูไป คอยหากลุ่มไปได้สักครู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นตรงหน้า “เฮ้ ยู” ไกด์ท้องถิ่นคนหนึ่งที่มาช่วยนำกลุ่มนั่นเอง ทีแรกหน้าตาเขากังวลเชียว พอเจอหน้ากัน หน้าตาเขาก็บอกความโล่งใจ คงดีใจหาฉันเจอ เจอกันแล้วเขาก็ขอตัวว่า “คอยตรงนี้ก่อนนะ ผมขอไปห้องน้ำก่อน” เสร็จธุระแล้ว เขาก็พาตัวฉันเดินออกมาจากที่นั้น ถามไปถามมา ปรากฎว่า กลุ่มเขาไปรู้ว่า ตัวฉันหายไป เมื่อรถเคลื่อนออกไปไกลจากที่นั่นแล้ว
เขาจึงพาฉันขึ้นแท๊กซี่ตามกลุ่มไป ความกังวลว่ากลุ่มจะรอนานทำให้เขารีบร้อน เมื่อฉันขึ้นนั่งบนรถเขาจึงรีบปิดประตู ประตูรถเกือบหนีบเอาปลายเท้าฉันเข้าซะนี่ หวิดไปเชียว ปลายเท้านะรอด แต่ที่ไม่รอดก็คือรองเท้า ประตูบิดซะสายรองเท้าขาดไปหนึ่งเส้น ลงจากรถได้ก็ใส่รองเท้าเดินไม่ได้แล้ว ฉัันตัดสินใจหิ้วรองเท้าไว้ แล้วเดินเท้าเปล่าเข้าไปเจอกลุ่มที่ล่วงหน้ามาก่อน เขาย้ายมาชมพิพิธภัณฑ์สงครามกันอยู่
เป็นปรากฎการณ์ที่พิสูจน์อารมณ์ที่เยี่ยมยอดทีเดียว ถ้าหากใช้คำถามของการเรียนรู้ “รู้สึกอย่างไร เรียนรู้อะไร” ในตอนที่รู้ว่าสามีทิ้งเฉยเลย รู้สึกแย่แว๊บหนึ่ง เป็นอารมณ์โกรธเล็กๆที่สามีไม่สนใจนะ รับรู้ว่าแวบเดียวอารมณ์โกรธหายไปเอง ไม่ต้องใช้ความพยายามหยุดอารมณ์ รับรู้้ว่า้อารมณ์ตอนนั้นไม่ใคร่ทุกข์ โกรธเบาๆสั้นๆ รับรู้อารมณ์ได้เร็ว รู้แล้วก็อารมณ์นั้นก็หมดไปได้เร็วง่ายๆไม่ต้องใช้ความพยายามข่มอารมณ์ให้หยุดลงแต่อย่างไร เป็นบทเรียนที่บอกว่า เมื่อแยกความคิดออกจากความรู้สึกได้ ความสบายมันมาหาง่ายดีนะ ขอบอก
กลุ่มที่ไปด้วยกันทั้งหมด ต่างรุมกันแก้ตัวให้กับคุณสามีกันใหญ่ ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็เก้อไป (ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ถูกใจฉันมั๊งกับการที่เผลอทิ้งไว้ให้ผจญภัย) เพิ่งมานึกขึ้นได้เมื่อกลับมาถึงบ้านนี่เอง ว่าคุณสามีมีความพยายามแก้ตัวนะ แก้ตัวด้วยการยอมเดินตามไปช่วยหารองเท้าคู่ใหม่มาแทนรองเท้าคู่เก่าที่ขาดไป จะเดินไปกี่ร้าน กี่ถนนก็ไม่เอ่ยปากบ่นหรือปล่อยให้เดินคนเดียวเหมือนการเดินซื้อของที่เมืองไทย แล้วยังชวนไปเดินช๊อปปิ๊งทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยที่เคยทำมาก่อนด้วยนี่ซิ
ได้รองเท้าคู่ใหม่มาแล้ว รองเท้ามันกัดซะอีกแนะ ได้มาก็เลยกลายเป็นต้องเก็บใส่กระเป๋าหิ้วกลับเมืองไทยซะอีก
ดีหน่อยที่ไม่รู้อะไรดลใจให้ไม่ยอมทิ้งคู่เก่าไปซะก่อน หิ้วติดมือมาที่พักด้วย มาถึงที่พักได้ก็รื้อกระเป๋าดู ได้ชุดเย็บสำหรับคนเดินทางในกระเป๋าที่มีเข็มและด้ายพร้อม ก็เลยตัดเอาถุงพลาสติกกร๊อบแกร๊บมาใช้เป็นแกนยึดตรงสายรองเท้า เย็บปะรอยต่อที่ขาดให้ชนกันได้ที่แล้ว เย็บยึดจนแข็งแรงแล้ว ก็ได้รองเท้าเก่าๆคู่เดิมกลับมาใส่สบายเท้าแทนคู่ใหม่จนกลับมาเมืองไทย
เป็นบทเรียนอีกบทที่ได้จากการใช้ชีวิตชั่วคราวในต่างแดนว่า ไปไหนมาไหนอย่าลืมติดของใช้กระจุกกระจิกประจำบ้านอย่างเช่น เข็ม ด้าย เข็มกลัด กระดุม เศษผ้า พลาสเตอร์ยา ไว้ในกระเป๋าเชียวนะ
2 ความคิดเห็น
ดีจังเลย ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ต่างแดน สนับสนุนนะ หาทางไปปีละครั้งนะน้องหมอเจ๊
#1 ค่ะพี่ เป็นเรื่องดีๆที่ได้ทำ เสียดายอีตรงที่ลูกๆไม่ได้ไปด้วยกันค่ะ