ถังแตก
อ่าน: 1142ได้รับฟังเรื่องราวจากเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าที่ประเทืองปัญญาไม่น้อย จึงนำมาฝากกันค่ะ
ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
หลังจากเวลา 2 ปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
“ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน”
คนตักน้ำตอบว่า “เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง…..
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ…เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว…เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้”
รู้สึกอย่างไรบ้างนะเมื่ออ่านจบ เคยมีความรู้สึกอย่างเจ้าถังแตกหรือถังดีหรือเปล่า
อ่านแล้วถามตัวเองนะว่า ความรู้สึกที่เกิดมานั้น เป็นคำตัดสินจากใคร ที่มาเป็นอย่างไรหรือคำตัดสินนั้นๆ
ค้นหาเถิดความรู้สึกนั้นๆนะ แล้วจะพบกับคำตอบอะไรบางอย่างที่อยู่ในโลกภายในของตัวเรา
หากคำตอบที่พบแล้ว เป็นคำตอบที่ยังเป็นเรื่องของความเห็นจากคนอื่น ให้ถามตัวเองใหม่ซะนะ
เมื่อได้คำตอบจากตัวเราเองแล้วเท่านั้น ให้หยุดถาม
แล้วขอชวนให้เรียนรู้ที่มาของคำตอบนะเออ
ขอเตือนว่าเวลาที่เรียนรู้คำตอบอยู่นั้น หากพบเสียงซักค้านดังขึ้นมา ให้รับรู้แล้ววางไว้ก่อน ตามเรียนรู้จนเข้าใจคำตอบที่ได้ซะก่อน จึงกลับมาฟังเสียงซักค้านเนอะ
ตามไปๆอย่างว่าง่ายๆเหอะ แล้วจะพบอะไรบางอย่างที่มีค่ากับตัวเรา
4 ตุลาคม 2552
Next : อยู่ร่วมและเรียนรู้ » »
6 ความคิดเห็น
อันที่จริงนั้น คนเรามีความแตกต่างในเรื่องมุมมองเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แต่การสื่อความที่ชัดเจนอย่างตรงไปตรงไปตรงมา บางครั้งมันอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ และสายเกินไปค่ะ คนเราเกิดมาเพื่ออะไรน่าจะชัดเจน มีเวลาอยู่ในโลกใบนี้สั้นนัก อยากให้ทุกคนพยายามสื่อสารออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ แบบ คิด พูด ทำ เป็นเรื่องเดียวกันอย่่างมีศิลปะ คนในประเทศเราคงไม่บอบช้ำถึงขนาดนี้จ้า ขอให้หมอสาวตา(หวาน)รักษากายให้แข็งแรง เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นด้วย ค่ะคงต้องรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมาในฤดู ปลายฝนต้นหนาว เตรียมใจให้เข้มแข็ง เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจค่ะ ขอส่งกำลังใจมาให้ คนในอาชีพหมอซึ่งเป็นผู้ติดทองหลังพระเสียส่วนใหญ่ค่ะ
ตัวหนังสือสวยงามมากค่ะพี่สาวตา
#1 น้อมรับความห่วงใยที่ส่งมาให้ด้วยความยินดียิ่ง ขอเพียงมีคนเข้าใจและยังรับรู้ว่ามีตัวตนของคนปิดทองหลังพระอยู่ แค่นี้ก็ทำให้คนปิดทองหลังพระชื่นใจและมีกำลังใจที่แข็งแรงขึ้นแล้วค่ะแม่ยกขา
หมอเจ๊ว่ามุมมองที่แตกต่างของคนหลายคนเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือมุมมองที่แตกต่างของตัวเราเองมากกว่า หมอเจ๊ใช้เรื่องนี้มองตัวเองในเรื่องความต่างของมุมมองมากกว่า แล้วก็พบว่าได้อะไรๆที่มีค่าคืนมาให้ตัวเองค่ะแม่ยก
แม่ยกทำให้หวนนึกถึงครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ป้อนคำถามให้หาคำตอบค่ะ คำถามที่ท่านป้อนไว้เป็นคำถามนี้ค่ะ “คุณเกิดมาทำไม?”
จำได้ว่าเมื่อครั้งแรกที่ถูกถาม อึ้ง…..อึ้ง…..และอึ้ง….อึ้ง……..งง…..งง……งง…….ตอบไม่ได้ ด้วยไม่เคยคิดว่าจะมีคนป้อนคำถามอย่างนี้มาให้ตอบ
ขอบคุณอีกครั้งในความปรารถนาดีค่ะ
#2 อุ้ยอ่านเรื่องนี้แล้วได้มุมมองเรื่อง “คนเป็นนาย” บ้างหรือเปล่า
ได้ไหม…กลับมาคิดกับคำถามพี่สาวตาเหมือนกันค่ะ
เรื่องนี้ที่จริงอ่านหลายรอบเพราะได้รับ FW mail มาก็หลายครั้ง แต่ก็ได้แง่คิดแตกต่างกันทุกครั้งที่อ่านค่ะ ประสบการณ์การเรียนรู้กับจังหวะเวลาของการอ่านมีผลกับการเข้าใจเรื่องที่อ่านนะคะ…