จากน้องฟ้าถึงเมืองปาย

โดย สาวตา เมื่อ 9 ตุลาคม 2009 เวลา 22:02 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1255

วันหนึ่งตอนไปที่สวนป่า ในคราที่อาจารย์แป๋วนำลูกศิษย์ไปฝึกฝน ได้พบน้องน้อยที่เป็นหมอรุ่นหลัง 2 คน รวมทั้งน้องดา วิศวกรผู้ผันมาสนใจ soft side แรกเริ่มเดิมทีนั้นไถล ไม่ได้คุยไม่ได้ทักอะไรกันกับน้องเขาหรอก ตอนแรกที่พบกัน เข้าใจว่าสองสาวน้อยที่ได้เห็นเป็นชาวปูนที่มาติดต่อสวนป่าเรื่องขายข้าวรึอะไรไปนั่น จนได้ยินเสียงเรียกหมอจึงรู้ อ้อ! นี่คนในอาชีพเดียวกัน คราวนั้นไปสวนป่าแบบหน้าแตกไม่ได้เย็บ ปากเจ่อหนาแถมด้วยรอยถลอกคาดที่หน้าอยู่ น้องๆเขาเห็นหน้าแล้วคงจะกลัวด้วยจึงได้คุยกันน้อยๆๆๆๆ(คำสารภาพออกจากปากน้องเมื่อพบกันภายหลัง)

เชื่อมสัมพันธ์เรียกหารู้ว่าเป็นพี่น้องในสายอาชีพเดียวกันแล้ว จึงได้รู้ว่าน้องทั้งสองไปหาพ่อครูเพื่อนำศิษย์แพทย์ไปฝึกตนเรียนรู้ การอยู่ในโลกให้มีความสุขในอาชีพ

เมื่่อวานนี้นึกถึงน้องคนหนึ่งที่เพิ่งเจอหน้าคราไปเมืองเหนือ เป็นน้องหมอที่เจอะเจอผ่านบันทึกของกันและกัน แล้วมีโอกาสได้เกื้อหนุนกันผ่านบรรดาทีมงานที่เธอส่งมาดูงานที่ร.พ.ฉัน ต่อมาได้เจอกันตัวเป็นๆในช่วงต้นปี ที่งาน HA Forum ดีใจที่ได้พบ ได้แลกเปลี่ยนความเห็น ในเวลาเพียงช่วงสั้นๆ สัมผัสว่าเธอมีทุกข์กับงาน เป็นความทุกข์ที่เกิดจากอะไรนั้น ไม่ชัดเจนอะไรเท่าไร

เวลาผ่านไปเร็วจริงๆนะ ย้อนเวลาไปในยามได้เยือนเมืองเหนือครั้งล่า แม้ผ่านเวลามาครบสัปดาห์แล้วก็ไม่รู้เบื่อ ยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานนี้เองที่ได้พบบรรดาชาวเหนือ  ความไม่รู้เบื่อนี้เป็นสัญญาณบอกความสุขหรือเปล่า น่าเอ๊ะกับใจเหมือนกัน

การได้พบกับน้องคนนี้ ชวนชี้ให้ฉันนึกไปถึงเมื่อคราที่ได้พบกับศิษย์ของน้อง(ว่าที่)หมอคนหนึ่งที่สวนป่า เธอคนนั้นเป็นสาวสวยที่คล่องแคล่วเก่งงาน พูดจาฉะฉาน ไม่เกรงใครทั้งสิ้น เธอออกปากว่า เธอเลือกเรียนหมอด้วยความเห็นของตัวเธอเอง และเมื่อได้เรียน เธอลงมือร่วมทำกิจกรรมทุกอย่าง จนกระทั่งคนได้เห็นว่าเธอคือผู้หญิงแถวหน้าคนหนึ่ง หากแต่ดูเหมือน เธอไม่ใคร่สุขใจเท่าไร ดูเหมือนมีอะไรที่สะกิดใจเธออยู่ร่ำไป

ครั้งแรกที่เจอกัน พ่อครูกับฉันนั่งดูทีวีกันอยู่ เธอเดินเข้ามาชวนคุยแลกเปลี่ยนเลยนะ ตอนนั้นทีวีมีรายการเสื้อเหลือง เสื้อแดงอยู่ ความเป็นคนแถวหน้า เธอได้บอกออกมาว่า หนูไม่เห็นจำเป็นเลยที่หมอจะต้องไปเกี่ยวข้องและรับรู้เรื่องราวข่าวอย่างเช่นที่กำลังเห็นขณะนั้น หนูไม่มั่นใจในตัวเองที่ไปร่วมทำกิจกรรมมากมายแล้วมีเพื่อนก่นวิจารณ์ว่าทำเว่อร์ พ่อครูได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไรออกมา แต่ฉันนั้นตอบว่า มีเรื่องเกี่ยวข้องกับภารกิจหมออยู่ ไม่ใช่เรื่องการเมือง หากแต่เป็นเรื่องการดูแลคน ที่พึงดูแลความพร้อม ที่อาจมีคนต้องการพึ่งพา

ในระหว่างกิจกรรมที่ดำเนินไปที่สวนป่า ฉันสังเกตว่า เธอจะวางตัวเป็นผู้รู้ไปหมด มีอะไรที่พึงทำ เธอจะลงมือทำก่อน บอกคนอื่นให้รู้ว่าต้องทำ คอยแจ้งเพื่อนๆ สังเกตดูแล้วไม่มีสักครั้งที่เธอจะลงมือทำหลังคนอื่นลงมือ ด้วยภาพที่เห็น ฉันทำนายว่า อะไรในใจของเธอ มีเรื่องความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างแฝงอยู่ คนลักษณะนี้เมื่อมาทำงานเป็นหมอเต็มตัวแล้วไปทำงานชนบท จะพบทุกข์กับการเป็นคนเก่งอยู่คนเดียวที่คาดหวังคนอื่นให้เขายอมรับความเก่งของตัว แต่คนอื่นนั้นเขาเฉยๆกับมัน ก่อนจะจากกันคราวนั้น ฉันออกปากกับน้องหมออาจารย์ให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ เหตุผลที่ฝากไม่มีอะไรมากไปกว่า ฉันรู้สึกว่า เธอยังไม่รู้จักพรหมวิหาร 4

การไปเมืองเหนือทำให้ได้พบคนที่มีลักษณะคล้ายเธอ เป็นน้องหมออีกคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน รู้ก็แต่ว่าเป็นกระบวนกรแถวหน้าคนหนึ่งที่รู้สึกจี๊ดต่อตัวฉันมากๆ  จี๊ดกับคำแนะนำที่ฉันบอกน้องหมอสุพัฒน์ผ่านอีเมล์ไปว่า “เมื่อคนเป็นกระบวนกร ไม่เคยใช้วิชากระบวนกรกับตนเอง กระบวนกรคนนั้น ก็ล้มเหลวแล้วละ” ที่เขาได้รับรู้คำแนะนำนี้ก็ด้วยน้องหมอสุพัฒน์เธอ forward mail ไปให้อ่าน หลังจากตัวน้องหมอสุพัฒน์เองยอมรับว่า ใช่เลย

ได้พบตัวเขาแล้ว คุยกันเป็นครู่ รู้สึกได้ว่า น้องเขาไม่ผ่อนคลายเลยแฮะ ทั้งเนื้อทั้งตัว มีแต่ความคาดหวังเต็มไปหมด แบกโลกเอาไว้เต็มตัวเต็มใจ มีสิ่งหนึ่งที่อุ่นใจเมื่อได้มองเห็น ก็คือ แววตาใสๆที่บอกถึงพลังภายในที่มี ที่ยังทำให้ยืนหยัด ทำอะไรต่อไปได้

สิ่งที่คุยกันไม่ใช่เรื่องที่เขาจี๊ดหรอก คุยกันเรื่องการพัฒนาคุณภาพร.พ.จากเรื่องราวในเอกสารที่ทีมงานเขาประเมินตนเองเอาไว้ หลังคุยกันแล้ว ฉันว่าใจเขาเปลี่ยนไป ใจเขาเปิดขึ้นกับการยอมรับคนที่เขาจี๊ด ซึ่งฉันคิดว่าเขาควรขอบคุณน้องหมอสุพัฒน์ให้มากไว้ เธอเป็นกัลยาณมิตรที่แท้ที่ยินดีจะก้าวเดินเรียนรู้โลกภายในไปพร้อมกับเขาและช่วยกันและกัน เมืองปายคือสถานที่ ที่ทำให้ได้พบกับน้องหมอคนนี้ น้องหมอสุพัฒน์คือคนที่ดึงดูดให้ฉันอยากไปเมืองปาย

เมื่อไปถึงเมืองปายแล้ว ก็พบว่ามันคือสถานที่ที่ทำให้เกิดคำถามกับการพัฒนาชนบทไทย สิ่งที่ทำให้อึ้งและรู้สึกเป็นห่วงคือ กระแสเงินตรา กระแสโลกสมัยใหม่ กระแสท่องเที่ยวที่โปรโมทย์ว่าเพื่อรายได้ประเทศ เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า ชีวิตคนที่นั่นดูเหมือน 100% เปลี่ยนไปแล้ว ความคิดพึ่งพิงตัวเองก็เป็นไปได้ว่าสูญหายไปโดยสิ้นเชิงแล้วมั๊ง พึ่งพิงตัวเองไม่ได้เลย คนในสังคมก็หายนะ ไปแล้วไปลับกู่ไม่กลับนะเออหายนะอย่างนี้

« « Prev : บังเอิญหรือเปล่า

Next : ชวนคนนอน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ตุลาคม 2009 เวลา 9:01

    กรณีเมืองปายเป็นไปอย่างน้องหมอตากล่าว พี่ก็ตกใจที่เห็นรถติดยาวเหยียดเพราะทุกคนต้องการมาเสพความเป็นธรรมชาติที่งดงาม แม้ตัวพี่เองก็อยากไป เคยไปสมัยที่ยังปิดอยู่ ที่พักคืนละ 20 บาท

    ความเป็นท้องถิ่นกำลังถูกกลืนหายไปกับระบบธุรกิจที่เอาความเป็นสังคมเมืองเข้าไปอย่างไม่มีใคร หน่วยงานไหนกลั่นกรองได้ เพราะทุกคนต้องการเงิน มองลู่ทางจะเอาเงินออกจากกระเป๋านักท่องเที่ยวทั้งเทศทั้งไทย

    พี่เคยเสนอความคิดเห็น(ที่คิดว่าคงทำไม่ได้)ไว้คือการจำกัดจำนวนคนที่เข้าไป สภาพพื้นที่เอื้อให้แล้วว่าสามารถทำได้ เพราะไม่มีใครสามารถเอารถทัวร์ขนาดใหญ่เข้าไปได้ เพราะเส้นทาง มีแต่รถตู้รถเก๋ง ปิคอัพและมอเตอร์ไซด์ เข้าไปได้ สาม-สี่ เส้นทาง คือ แม่แตง-ปาย, แม่ฮ่องสอน-ปาย, สะเมิง-ปาย, และทางเครื่องบิน  แต่เส้นทางหลักคือ แม่แตง-ปาย, และแม่ฮ่องสอน-ปาย, ส่วนทางสะเมิงและทางเครื่องบินนั้นจำนวนน้อย

    ที่นิวซีแลนด์เขาจะขึ้นป้ายตรงปากทางขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเต็มจำนวนที่กำหนดแล้ว ขึ้นป้ายใหญ่ๆตรงปากทาง ใครขับรถจะไปก็ต้องไม่ไป หรือไปแล้วก๋ได้ แต่ต้องกลับภายในวันนั้นเลยโดยมีด่านตรวจ

    มีหน่วยงานที่รับผิดชอบการรวบรวมจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาพักและไปกลับ แล้วทำหน้าที่ประกาศให้ทราบถึงจำนวนที่รับได้ หรือเกินไปแล้ว..
    หากจะทำก็ทำได้ แต่สังคมไทยยากที่จะทำ เพราะ “เรามีระบบธุรกิจแบบเสรี”

    แล้วเราก็มาบอบช้ำตามล้างตามเช็ดกับความป่นปี้ของพื้นที่ปาย พี่จำได้วันที่ไปถึง ขนาดติดต่อกับน้องเอกปายช่วยแนะนำที่พักให้ ก็พบว่าเมื่อเข้าที่พักที่เอกแนะนำให้แล้ว  อิอิ ไม่มีน้ำอาบ….มีบ้างแต่ขุ่น… เพราะ over tourist คืนนั้นต้องขอย้ายที่พักทันที คืนต่แมาต้องหนีขึ้นไปยอยบนดอยอาข่า ทางขึ้นไปดูน้ำตกนั่น…

    ธุรกิจแบบในเมืองเชียงใหม่ หาได้ทุกอย่างที่นั่น.. แล้วความเป็นท้องถิ่นก็ถูกจำกัดพื้นที่ลง เลยมองไปก็เหมือน มาซื้อเสื้อฮ่อมเชียงใหม่ที่ปาย อะไรทำนองนั้น หรือมาซื้อเสื้อคอกลมที่พ่นอักษรว่า “ไปปายมา”

    เห็นว่าน้องหมอสุพัฒน์ น้องเอกก็คิดอ่านเรื่องนี้กันมาก แต่กำลังไม่พอ เฉพาะเอกนั้น เขียนบันทึกขุดเอามุมท้องถิ่นมาแนะนำมากมาย ยิ่งกระตุ้นให้เพื่อนพ้องน้องพี่ชาว blog อยากไปสักครั้ง

    แต่ก็ยังจัดการได้อยู่นะครับ หากคนท้องถิ่นเข้มแข็งและลุกขึ้นมาเป็นตัวหลักในการจัดการเรื่องนี้ โดยรัฐเป็นฝ่ายสนับสนุน “ความพอดี” ที่ยังคงรักษษ ความเป็นท้องถิ่นไว้ได้…

    อ้าวเราคุยเรื่องปายกันแล้วนะเนี่ยะน้องหมอตา

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ตุลาคม 2009 เวลา 20:15

    สัมผัสปายแล้วเห็นภาพอนาคต  ปัญหาปายวันนี้เหมือนการเติบโตของภูเก็ต+กระบี่เมื่อสิบปีที่แล้วเลยค่ะ แต่อัตราการเกิดปัญหาน่าจะเร็วกว่าภูเก็ต กระบี่มากๆ
    ปัญหาที่นี่แก้ยากกว่า มองเห็นว่าทั้งในแง่ของพลังของภูมิปัญญาพื้นที่ และพลังของคนพื้นถิ่นล้วนอ่อนแอกว่าจังหวัดที่น้องกล่าวถึงค่ะ สำหรับพลังของรัฐนั้นก็น่าจะอ่อนแอด้วยนะค่ะ แต่ก็มีวิธีแก้ หากมีการถอดบทเรียนจาก 2 จังหวัดที่น้องเอ่ยถึง อยากได้อะไร ทำอย่างไร ไม่อยากได้อะไร ป้องกันอย่างไร ทั้ง 2 จังหวัดให้ความรู้เหล่านี้ได้ สำคัญก็เพียงแต่ ใครจะเป็นคนนำให้หันมามองหาความพอดีได้เท่านั้นเอง


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.069322109222412 sec
Sidebar: 0.66797780990601 sec