บังเอิญหรือเปล่า

โดย สาวตา เมื่อ 9 ตุลาคม 2009 เวลา 0:24 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 994

ระหว่างนั่งคุยกับใครบางคนอยู่ในที่ทำงาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น”สวัสดีค่ะ โทรมาชวนค่ะ ไม่ได้เจอกันนาน”

“หายไปนานเลยน้อง ตอนนี้อยู่ที่ไหน” นั่นคือเสียงตอบจากคนรับสาย

“อยู่ที่กระบี่หละ วันนี้ที่บ้านทำบุญ จะมีหลายคนมาที่บ้าน ว่างหรือเปล่า”  เสียงตามสายคุยต่อ

เดาในใจก่อนมีเสียงคุยตอบ”จะชวนหมอไปกินข้าวด้วยหละซิ วันนี้เย็นหรือ ได้เลย”

“สักราวทุ่มครึ่งนะหมอ จะมารับที่บ้าน”

“เอาเป็นว่าไปหาที่บ้านเองแล้วกัน ถ้ากลับบ้านแล้วไม่มีรถจะโทรมาบอกให้ไปรับละกัน” คุยกันอีกสองสามประโยคเสียงโต้ตอบได้หยุดลง

ก่อนถึงเวลานัดหมาย  เจ้าลูกชายและลูกสาวก็มาคว้าตัวไปตลาดเย็น จับจ่ายซื้อมะเขือเทศเป็นต้นเหตุที่ทำให้ได้ไปตลาดด้วยกัน เลือกซื้อผลไม้เพื่อนำกลับไปกินที่บ้านและติดมือไปร่วมงานด้วยซะเลย

อาบน้ำแต่งตัวแล้วติดรถลูกชายไปที่บ้านใกล้กศน.ของผู้นัด ปรากฏว่าไปผิดบ้านซะนี่ (ที่แท้เข้าใจผิดไปเองว่าเป็นบ้านนี้) งานเลี้ยงจัดกันที่บ้านแม่ของเธอ จึงเดินทางต่อไปที่บ้านหลังดังกล่าว ไปถึงหน้าบ้านแล้วงงๆว่ามาถูกบ้านหรือเปล่า ด้วยไม่พบว่ามีใครอีกที่มาที่บ้านหลังนี้ มีแต่เด็กๆที่นั่งกินข้าวกันอยู่ ระหว่างลังเลอยู่เธอก็เดินออกมา ใช่แล้วๆบ้านหลังนี้เอง

พาตัวกลับไปบอกลูกชายที่รออยู่ในรถ “บ้านหลังนี้แหละไม่ผิดแล้วลูก ขากลับเขาจะไปส่งแม่เอง”

ส่งถุงผลไม้ที่ติดตัวมาด้วยใส่มือเธอ แล้วพาตัวลงนั่งเล่นและคุยกับเด็กๆ สักครู่เธอก็ยกสำรับกับข้าวมาให้ กินข้าวด้วยกันไปได้เป็นครู่ เธอก็ชวนให้ย้ายที่นั่งกิน กุลีกุจอจัดที่นั่งกินใหม่ แล้วบอกให้รู้ว่า มีคนมาแล้ว หลังจากนั้นเธอปลีกตัวไปจัดสำรับกับข้าว หายไปเป็นนาน ปล่อยให้นั่งกินคนเดียวอยู่ตรงนั้นเอง

กลุ่มคนที่มาใหม่เป็นชายล้วนๆกลุ่มใหญ่ ทะยอยเดินตามกันเข้ามามากกว่าห้าคน  มาแล้วเขาก็พาตัวลงนั่งคุยกัน  แป๊บเดียวก็พากันสวดมนต์ให้ฟัง ระหว่างการสวดมีการโยกตัวไปมาด้วย เสียงสวดนั้นไม่ไพเราะหรอกแต่ฟังแล้วรู้สึกสงบ สัมผัสกระแสของคุณความดีที่คนสวดมีอยู่ในตนและความรู้สึกสะทือนใจบางอย่างปนอยู่ด้วยกัน

สวดนานจริงๆ เสียดายไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร เดาๆไปว่าสวดแผ่กุศลคล้ายๆคนพุทธทำกันและชวนกันสวดขอบคุณองค์พระอาหล่าเจ้าคล้ายๆคนคริสต์ทำกันก่อนการกินข้าวเป็นธรรมเนียมมั๊ง (ก็ไม่เคยเห็น) สวดมนต์จบลงกันแล้ว สำรับกับข้าวก็ถูกทะยอยนำออกมาวาง มีหญิงตามเข้าบ้านมาอีกสองสามคน

ได้เห็นภาพแปลกที่ไม่เคยเห็น กลุ่มชายหญิงซึ่งเข้ามาใหม่ เขาแยกกันตั้งวงกินข้าว  แยกนั่งชายวง หญิงวง ไม่นั่งแทรกกันอีกแน่ะ ต่างคนต่างกินคนละวง ฉงนกับภาพที่เพิ่งเห็น มีอย่างนี้ด้วย วงที่ฉันนั่งกินอยู่เป็นวงที่สาม วงนี้มีเด็กๆมาห้อมล้อม กินด้วยกันไป สนุกไปกับเด็กๆไม่น้อย

วงหญิงกินไม่นานก็มีเสียงทักขึ้น “หมอใช่ไหม จำได้เคยรักษาลูกชายหนู จำหมอไม่ได้ ไม่เห็นกันนาน”  ทักทายกันแล้ว ต่างคนต่างกินกันต่อ วงชายกินไปคุยไป แปลกใจที่เห็น ลูกชายนั่งวงพ่อ ลูกหญิงนั่งวงแม่ อีกแหละ และไม่มีใครคิดจะไปแทรกวงอื่น (หมายถึงเด็ก)

กินอิ่มแล้ววงชายพากันสลายตัว แปลกอีกแหละ แยกย้ายกันไปไม่มีโอ้เอ้กัน เหลือเพียงหนึ่งเดียวรออยู่ จนเจ้าของบ้านเก็บสำรับกับข้าว จึงเอ่ยคำลาแม่เจ้าของบ้านและซาลามก่อนจากไป

วงหญิงนั่งคุยสัพเพเหระ แล้วแขกหญิงเธอก็หลุดเล่าเรื่องแม่กระทำรุนแรงกับลูกออกมา พร้อมกับหันหน้ามาปรึกษา “แม่เขาจะส่งเด็กไปที่บ้านเด็ก เหตุผลว่า เลี้ยงลูกไม่ไหวแล้ว”  ได้ยินแล้วรู้ว่าคนเล่ามีห่วง ใจอยากจะช่วยให้แม่สมหวัง พยายามที่จะหาข้อมูล เพื่อนำไปช่วยให้แม่สมใจ

เรื่องจึงพายาวไปถึงโรงเรียนพ่อแม่ลูก เล่าเรื่องราวให้เธอฟัง สะท้อนไปว่า แม่แก้ปัญหาไม่ตรงเหตุ การส่งเด็กไปบ้านเด็กอาจจะยิ่งเพิ่มปัญหา ตอนเล่าให้เธอฟังใจนั้นเชียร์อยู่ว่าเธฮสนใจเรื่องราวเดียวกันอยู่หรือเปล่า จากที่ได้รู้เธอทำงานเป็นครูที่ศูนย์เด็กเล็ก ไม่มีปัญหาการสนับสนุนภายใต้งบประมาณของอบต. แล้วก็สมใจที่ขาเชียร์ขึ้น เมื่อเธอพูดขึ้นว่าอยากให้มีหน่อยกิจกรรมที่สอนพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เป็น

จึงรับปากไปว่าจะช่วยเชื่อมต่อ ให้เกิดเวทีตามที่ตั้งใจ หากสนใจแล้วขอให้ติดต่อ ขอโครงการไปที่ชุมชนซึ่ง ซึ่งคราวก่อนนี้ได้จัดกิจกรรมไปแล้ว  เธอยิ่งสนใจลุ้นให้ช่วยจัด จึงบอกไปว่าอยากจัดเมื่อไร ให้ติดต่อมาจะไปทำให้ ทำเองไม่ได้จะขอเพื่อนมา ช่วยกันๆให้คนอบอุ่นจากครอบครัว

บันทึกวันนี้เขียนด้วยเหตุว่า รู้สึกเริ่มแปลกกับชะตาตอนนี้ที่มีีคนเริ่มตอบรับเข้ามา อยากจะให้มีเวทีอย่างนี้

อีกทั้งรู้สึกดีที่ทำตัวง่ายๆแล้วพบกับการได้มีประสบการณ์เปิดโลกใหม่ ที่ไม่ใคร่มีโอกาสได้สัมผัสง่ายๆ

ขอบคุณเจ้าภาพที่ให้โอกาสได้พบรู้จักกับชุมชนอิสลามอย่างใกล้ชิดขึ้นกว่าเดิม

ก่อนจากกันไป คุณครูบอกว่า ช่วงปลายเดือนหน้าเชิญหมอไปร่วม พิธีงานบุญที่สุเหร่าด้วยกัน

โอกาสดีๆใช่มีมาง่ายๆที่ไหน ไม่ให้ใจแล้วเขาไม่ชวนกัน นี่เป็นอีกก้าวที่จะได้ต่อสานสัมพันธ์ของใจไปสู่คนอีกกลุ่ม

ดีใจจริงๆขอบอกอีกครั้ง

8 ตุลาคม 2552

« « Prev : เงินนี้เลี้ยงหัวใจแม่

Next : จากน้องฟ้าถึงเมืองปาย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "บังเอิญหรือเปล่า"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.27238392829895 sec
Sidebar: 3.7368559837341 sec