อ่านแล้วอารมณ์ดี

โดย สาวตา เมื่อ 27 กันยายน 2009 เวลา 19:39 ในหมวดหมู่ สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1475

วันนี้เพิ่งกลับมาจากแอ่วเืมืองเหนือ ตะลอนๆไปซะหลายวัน กลับมาถึงบ้าน หวานใจไปรอรับที่สนามบินตั้งกะหัววัน….ทำเอา..ยิ้มๆๆๆๆ….เต็มอิ่มใจเข้าไปอีก….คงคิดถึงที่หายไปซะหลายวัน…อิอิ

ไปเหนือมาคราวนี้ ได้อิ่มใจกับการได้เห็นผู้สูงวัยกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นตัวอย่าง  ทำให้ย้อนรำลึกได้ถึงเรื่องราวที่มีกัลยาณมิตรส่งมาให้ทางอีแมว ซึ่งเป็นเรื่องดีๆที่ทำให้อารมณ์ดีเช่นกัน  จึงนำมาฝากพี่น้อง ปรับอารมณ์เพิ่มสุนทรีย์กันด้วยการตามอ่านกันเน้อ เป็นเรื่องราวตามชื่อเรื่องนี้ค่ะ ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ

หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว

เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา

การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่

ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี รอซักพัก

พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน

การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า “นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน” แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว

ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า “ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ” ( ใช้คำไฮโซมาก) มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า “นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์ ” ( เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)

การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง “นิ โมนน!!” (แง้ทำไมต้องตะคอกด้วย)

การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่

ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า

ถ้าแก่พรรษามากก็เรียกหลวงตา

หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ

อย่างเช่นปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า “นิมนต์ค่ะ หลวงลุง ” ทำเอาเสีย self จนอยากสึกออกไปทำ baby face

โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่ากวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์

หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ

อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ

การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน

การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป

เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอ้เราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า “โยมขออะไรเราน้า ?”

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า

จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืน สูงกว่าท่าน เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า

แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้า ซึ่งมีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น

บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -” ( สูงกว่าเดิมอีก)

บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)

เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนหนึ่งยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า

พระ : “โยม อาตมาว่าโยมควร ถอดรองเท้าใส่บาตร นะ”

โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า : เอ่อ จะดีหรือค่ะ

พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม

โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยค่ะ

บ้า!! ซิ หมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร

อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้ารูปหนึ่งเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล ( เรื่องขำขันขณะฉันเพล)

พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร

อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร

สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า

บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป

พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ ก็ฝากด้วยนะ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ

นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า

เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี

ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป

เคยมีโยมใส่บาตรด้วย “กล้วย ๓ หวี”

กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า แต่นี่ใส่ “กล้วยหอม” ( อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ) คิดดู “กล้วยหอม ๓ หวี” อยู่ในบาตร หนักมากกกกกกกกก จนอยากบอกโยมว่า “โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง”

การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม

โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก(วางดีๆก็ได้ 55555)

5. รับพร

หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม

เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก)

ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม

ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ ด้วยการใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้

ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะนะ พี่น้อง

27 กันยายน 2552

« « Prev : รู้และไม่ทำซะบ้างดีนะ

Next : เตือนใจ “หน่วงไว้” » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 กันยายน 2009 เวลา 14:04

    อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงตอนบวช
    บ้านเราเวลาวันนี้จะไม่ใส่บาตร จะบอกพระว่า “มนต์โปรด” หมายถึงนิมนต์ไปโปรดที่อื่นก่อน
    พระบวชใหม่ไม่เข้าใจก็เข้าใจว่านิมนต์ให้โปรดที่นี่ ยืนรอตั้งแต่ตีห้าครึ่งจนหกโมงเช้าก็ไม่มีใครออกมาใส่บาตร จะไปก็ไม่ได้กลัวอาบัติ ฮา…

    “คริส”เด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนมาอยู่ที่บ้าน ผมอธิบายให้ฟังเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าสามารถนำไปใช้ในการเรียน การใช้ชีวิต การทำธุรกิจ จนเขาเกิดความสนใจ ต่อมาเขาขอบวชเณร ก็เลยได้บวช หน้าตาเป็นฝรั่งแต่พูดภาษาไทยคล่องเพราะเขาสนใจเห็นป้ายอะไรก็อ่านออกเสียงและถามว่าถูกไหม จนเขาไปโรงเรียนเพื่อนสอนให้พูดภาษาใต้ วลาเรียกคุณแอ๊ด เขาจะพูดว่า “คุ่นแหมขรับ ผ้มขอไปกั๊บเพื่อนขรับ”   วันแรกที่ผมไปรับผมให้กินทุเรียนปรากฏว่าเขาชอบมาก  จนตอนเขาบวชและไปบิณฑบาตร ชาวบ้านเห็นเป็นฝรั่งบวชเณร ตอนไปบิณฑบาตรมองทุเรียนเขาถามว่า ฉันเป็นหม้าย..เณรตอบว่า ฉอบ…เขาก็เลยเอาทุเรียนใส่ย่ามให้ กลับมาถึงวัดเณรน้ำตาเล็ดเพราะทุเรียนอยู่ในย่ามต้องคล้องแขน พอเอาแขนแนบลำตัวทุเรียนจะอยู่ตรงขาอ่อนเณรพอดี เดินไปย่ามใส่ทุเรียนแกว่งกระทบหน้าขา พรุน….ฮา…

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 ตุลาคม 2009 เวลา 9:09

    สาธุ…สงสารเณร..อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.57359790802002 sec
Sidebar: 0.32765221595764 sec