บ่มเรียนสอนใจ…เรื่องเร็วแล้วยังไง

โดย สาวตา เมื่อ 25 กรกฏาคม 2009 เวลา 17:55 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1528

เรื่องของญาที่คุณสติได้ลงมือสอนแบบจิตอาสาเอาไว้นั้น ทำให้ฉันมีมุมเรียนรู้ขึ้นมาอีกมุมหนึ่งในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่หัวหน้า จึงเขียนบันทึกนี้ขึ้นมาชวนไปเรียนรู้ด้วยกันค่ะ

นับตั้งแต่ร.พ.ผ่านการประเมิินและรับรองคุณภาพ  ร.พ.ก็วางระบบไว้ให้้ใครทั้งในและนอกองค์กรมีส่วนร่วมในการประเมินผลการพัฒนาตนของคนในองค์กรได้

ระบบที่วางไว้เรียกกันว่า “ระบบบริหารความเสี่ยง”  ซึ่งมีกระบวนวิธีให้องค์กรได้รับรู้เรื่องราวเพื่อประเมินตนเองผ่านรายงานข่าวที่ผู้คนทั้งในและนอกองค์กรต้องการสื่อข้อมูลให้ได้รับรู้  ใบรายงานข่าวนี้เรียกกันในร.พ.ว่า “รายงานอุบัติการความเสี่ยง”  เพื่อเอื้อให้ผู้ทำงานทุกระดับสามารถเขียนรายงานนี้ส่งเข้าสู่ระบบได้ทั้งโดยเปิดเผยตัวและไม่เปิดเผยตัว

พฤติกรรมของผู้คนในด้านต่างๆ เป็นเรื่องหนึ่งที่ร.พ.ให้ความสำคัญ  ระบบจึงได้วางข้อกำหนดไว้ว่า หากมีเหตุการณ์ปะทะอารมณ์ระหว่างกันของผู้คนในองค์กรเกิดขึ้น ให้ถือเป็นความรุนแรงระดับสูงสุดที่ผู้บริหารระดับสูงพึงได้ทราบทันที

ถือเป็นความสำคัญที่ให้กับความสามารถของคนต่อการจัดการอารมณ์ส่วนบุคคลของตน ถือเป็นความสำคัญที่องค์กรตื่นตัวว่าจะไม่ยอมให้บุคคลเป็นเหยื่อของระบบอะไรที่เกิดขึ้นจากการบริหารองค์กร

เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับญาได้ชวนให้ฉันกลับไปเปิดลิ้นชักความจำคว้าผลงานชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งขึ้นมาทบทวนใหม่  การทบทวนนี้้ผุดพรายคำถามขึ้นมาถามตัวเองว่า  คู่กรณีของญาเธอเป็นเหยื่อรึเปล่า เหยื่อของระบบอะไรกันเล่า ชวนให้ค้นหา  ยังไม่รู้คำตอบในขณะที่เขียนบันทึกนี้หรอกนะขอบอก

นอกจากเรื่องของคู่กรณีของญาที่เอ่ยถึงคนนี้ ยังมีอีกคนที่มาร่วมแสดงโจทย์ให้ค้นหาคำตอบไปด้วย

โจทย์ที่สองเกิดขึ้นในตอนบ่าย ขณะที่จะพาตัวไปร่วมประชุมเรื่องมาตรการเสริมขวัญกำลังใจการทำงานที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่ให้กลุ่มพยาบาลเด็กๆ

สองสาวลูกจ้างในฝ่ายก็มาปะหน้าพร้อมท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ ได้ยินเสียงเกี่ยงกันว่า “ถามหมอดูซิ”  ดังอยู่ต่อหน้า เดารู้ว่าไม่กล้าถาม ฉันจึงบอกกลับไปว่า “มีอะไรจะถาม ก็ถามมาเถอะ”  จบคำก็มีเสียงบอกเล่า็พรั่งพรูออกจากปากแทนคำถาม “หนูได้ยินเรื่องราวมาว่า ร.พ.จะให้โอกาสฝ่ายต่างๆไปดูงาน ก็เลยเข้าไปถามไถ่คนเป็นแม่งานว่า คนในฝ่ายเราจะมีเอี่ยวได้ไปด้วยไหม  พี่เขาบอกกลับมาว่า ฝ่ายเธอฉันตัดทิ้งไป เพราะขี้เกียจมีปัญหากับนายของเธอ”

แล้วความคิดก็นำพาให้ระลึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งระหว่างกิจกรรม “เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา”  เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ฉันจัดมันด้วยความปรารถนาที่ตั้งไว้ว่า อยากช่วยให้คนพ้นความเป็นเหยื่อของความทุกข์  มีความสุขกับชีวิตของตัวเองมากขึ้นๆ

ไหนก็พูดถึงเรื่อง “เพิ่มทุนชีวิตฯ” แล้วก็เลยขอนำเรื่องราวของ “เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา” บางช่วงมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งละกัน

…………………………………………

“………คนที่โดนป่วนก็มีกันทั้งหมด 30 ชีวิต มาจากหลายๆส่วนของร.พ. ไม่มีแพทย์อยู่ในกลุ่มนี้”

“เริ่มต้นกิจกรรมกันด้วยแนะนำกระบวนกรและความเป็นมา ซึ่งสาวตาไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่า วันนี้เป็นเรื่องของการนำพาเพื่อเรียนรู้ตำราชีวิตส่วนบุคคลของแต่ละคน แล้วโยนไมค์ให้น้องสาวทั้งสามว่ากันเองเรื่องแนะนำตัว อยากบอกอะไรกับพวกเขาก็บอกเอาเอง…”

“ในช่วงต้นของเช้านี้ น้องสร้อยเริ่มด้วยให้ฝึกนั่งท่ากางขาแบบคนคลอดลูก น้องอึ่งมากระซิบบอกว่า ไม้เด็ดนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมเริ่มหลุดเปลือกออกไปบ้างแล้ว แล้วน้องอิ่มก็ต่อด้วยกิจกรรมวาดภาพตัวเองแล้วให้ควานหาและสร้างสัมพันธ์ ไผอยู่ที่ไหน ไผเป็นใคร ชอบอะไร รู้สึกถึงฐานกายของตัวเองว่าเหมือนดารายอดนิยมคนไหน นำพาคนเข้าร่วมทุกๆคนรวมทั้งกระบวนกรค่อยๆก้าวเดินเข้าสัมผัสความเป็นเจ้า ตัวน้อย”

“แล้วก็ถึงกิจกรรมย้อนรำลึกถึงวิถีที่ผ่านมาของตัวตนนำพาความใคร่ครวญ เข้ามา ใกล้ชิด ฉีกกระดาษไปเรื่อยๆระหว่างนึกย้อนไป แล้วให้จับคู่เล่าสู่กันฟังทีละคน”

“มีบางคนที่อาจจะเคยได้ผ่านกิจกรรมของสุนทรียสนทนามาครั้งหนึ่งแล้วหรือเคยได้ยินเรื่องราว กล่าวให้ได้ยินว่า หนูจะไม่มีวันเศร้าเด็ดขาด  ประโยคนี้ทำให้มีเอ๊ะในใจ  บรรยากาศแห่งความปลอดภัยเกิดขึ้นในระหว่างคู่ ทำให้มีหลายคนช้าลงจนสามารถนำพาตัวเองไปแตะสัมผัสตัวตนข้างในได้”

เดิมที่คิดกันไว้ว่าจะนำกิจกรรมกระจกมาใช้หลังจากนี้ แต่เอาเข้าจริงอิ่มตัดสินใจไม่ต่อกิจกรรมด้วยกิจกรรมกระจก แต่นำพาเขาต่อไปด้วยการให้เขาได้รู้จักกับผู้นำสี่ทิศ ผสมผสานกิจกรรมระหว่างการวาดภาพไปกับการเล่าสู่กันฟังในรูปของวงสนทนา 2 รอบ นำพาให้ผู้เข้าร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนให้เหตุผลกับความชอบไม่ชอบที่จะเป็นตัวตนแต่ละชนิดของตนเอง แล้วก็พักกินกลางวันกัน”

“บ่ายของวันนี้ อุ้ยเริ่มต้นนำพาด้วยโยคะเพื่อนำพาให้ผู้เข้าร่วมรวบรวมพลังชีวิตเพื่อหล่อเลี้ยงตัวตน แล้วอิ่มก็ต่อด้วย voice dialogue เพื่อนำสู่บทเรียนทิ้งไพ่ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเข้าร่วมสามารถเข้าถึงตัวตนได้ลึกขึ้นกว่าเดิม สองสาววางแผนให้สาวตาเป็นตัวกวนในการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้มีเพิ่มขึ้น ผู้มาร่วมหลายคนหลั่งน้ำตาและมาโอบกอดสาวตา  บางคนกล่าวขอโทษเบาๆพร้อมเสียงสะอื้นไห้”

“การได้สัมผัสกับบรรยากาศผ่อนคลายและรับรู้เสียงแรกในใจต่อความปลอดภัยที่เขามี ทำให้เขาสงบนิ่งยิ่งขึ้นเมื่ออุ้ยนำพาต่อด้วยบทนำพาให้อยู่กับตัวเองรำลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ตัวกวนที่อุ้ยใช้นำพาคือ “ความรู้สึกที่มีต่อแม่” หลังจากนั้นก็นำพาให้ใครบางคนที่ยังขัดเขินกับการแสดงออกซึ่งความซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง ได้มีโอกาสหน่วงและสัมผัสตัวตนของตัว การโอบกอดซึ่งกันและกันจึงเกิดตามมา แม้จะไม่จากทั้งหมดก็ตาม”

“มีใครบางคนที่ยังกลัวอยู่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งที่ตนเองปรารถนา เมื่อสาวตาวิ่งตามไปขอกอด เขาก็สะอื้นไห้รับรู้ว่าใจเขาเปิดออกแล้วอย่างผ่อนคลาย”

“การค้นหาความหมายของชีวิตที่ตัวตนซึ่งเขาให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ว่ากับใครก็ตามได้เริ่มขึ้นแล้ว”

“น้องอิ่มต่อด้วยกิจกรรมเขียนสาส์นถึงเจ้าตัวใหญ่ นำพาให้แสดงความขอบคุณเจ้าตัวใหญ่ ขอนำพาเจ้าตัวเล็กมาอยู่ร่วมด้วย หลังจากนั้นก็ตบท้ายด้วยการนำพาให้อยู่กับตัวเองด้วยการเดินไปเดินมาอย่างที่ใจต้องการ แล้วนำพาให้เกิดการแลกกอดซึ่งกันและกัน แต่ก็ยังมีคนที่ยังกลัวต่อการแสดงออกซึ่งความรู้สึกตรงของตนออกมาให้คนอื่นรับรู้ ทั้งๆที่รับรู้และซื่อตรงกับตัวเองแล้วว่ามีความรู้สึกอย่างไร”

“แม้ว่าหลายคนจะผ่อนคลายและใจเปิดแล้ว แต่ก็มีใครอีกหลายคนที่ยังคงอยู่ปิดใจอยู่ จนไม่สามารถนำพาตัวเข้าไปสัมผัสโลกภายในของตัวเองได้ ใครๆหลายคนเหล่านี้ได้รับการดูแลจากอุ๊ยและครูใหญ่เป็นการเฉพาะตัวอยู่หลายคน…..”

“ผลงานวันต่อมา เป็นเรื่่องราวที่ผู้คนที่เข้าร่วมได้เรียนรู้โลกภายในเพิ่ม โดยครูใหญ่และน้องอิ่มคอยชี้ชวนให้้เชื่อมโยงไปถึงเรื่องวันวานที่ผ่านพ้นมาแล้ว”

“เมื่อกิจกรรมใกล้จะจบสิ้นลง ทุกผู้คนที่เข้าร่วมได้มีโอกาสกล่าวความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้โลกภายในแห่งตนออกมาให้ร่วมรับรู้ ซึ่งก็มีหลายคนที่หลั่งน้ำตา และก็มีหลายคนที่ยังมีความกลัวและไม่กล้าเอ่ยความในใจออกมาแต่ก็ต้องเอ่ย………ทุกคนกล่าวว่ารู้สึกดีกับการที่ได้เข้าร่วม”

…………………………….

เหตุที่ย้อนไปเปิดลิ้นชักความจำและคว้าเรื่องนี้ออกมาใหม่ ก็ด้วยเอะใจกับอะไรบางอย่าง ด้วยเหตุว่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้คนที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม “เพิ่มทุนชีวิตด้วยสุนทรียสนทนา”  กันมาแล้วทุกคน โดยหนึ่งสาวที่ทำให้ญาน้ำตาตกและหนึ่งสาวที่ทำให้ลูกน้องสองสาวมาบอกเล่าเพื่อหาคำตอบเรื่องการดูงานจากฉันคือผู้ที่อุ๊ยและครูใหญ่ลงทุนนั่งคุยประกบตัวแบบตัวต่อตัวในระหว่างกิจกรรม “เพิ่มทุนชีวิตฯ”

เรื่องราวของ “ร่องอารมณ์” ที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันมีอะไรที่ตอบคำถามเรื่องการเป็นหยื่อของระบบรึเปล่า รึว่าเป็นแค่เพียงการตกอยู่ในร่องอารมณ์เพราะคนไม่ฝึกตน รึว่าอะไรกันแน่

ขอชวนเชิญผู้เข้ามาอ่านร่วมถอดบทเรียน และชี้ชวนมุมเรียนรู้ที่จะมีประโยชน์ให้กับทีมกระบวนกรด้วยกันค่ะ

24ก.ค.2552

« « Prev : ใช้สติดีดูแลสติแตก

Next : หน้าที่กับความสุข » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "บ่มเรียนสอนใจ…เรื่องเร็วแล้วยังไง"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.044772148132324 sec
Sidebar: 0.11671304702759 sec