ใช้สติดีดูแลสติแตก
อ่าน: 1765แวบแรกที่เดินขึ้นไปถึงที่ทำงานในเช้าวันนี้ ก็รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ยังไม่ทันเห็นว่าใครกำลังทำอะไรกันอยู่หรอกก็หลุดปากด้วยคำถามออกไปว่า “ทำอะไรกันอยู่”
เสียงแรกที่ตอบกลับมาทำให้อึ้ง “ญาเป็นลม” เมื่อเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานกลับยิ่งอึ้ง ภาพที่เห็นตรงช่องว่างระหว่างโต๊ะนั้นคือ ผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อกำลังนั่งอยู่บนผ้าที่ปูพื้นไว้กันเปื้อน แล้วกำลังสะอื้นไห้จนตัวโยนด้วยอารมณ์อะไรบางอย่าง ร้องไห้อย่างหนักก็ว่าได้เลยมั๊ง ดวงตาจึงแดงก่ำไปหมดอย่างที่เห็นอยู่
ภาพที่เห็นกับสิ่งที่บอกเรื่อง “เป็นลม” ดูเหมือนขัดกัน จึงถามไถ่ว่่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เสียงหนึ่งก็เติมข้อมูลมาว่า ” ตอนที่เห็นญาเดินขึ้นบันไดมาตอนนั้น มันเหมือนคนหมดแรงที่จะเดิน เมื่อมาถึงห้องทำงานและนั่งลง ก็เป็นลม มือเท้าจีบ หน้าเขียว ตัวแข็งเกร็งไปหมด แล้วเราก็รู้สึกตกใจกันไปหมด จึงมารุมกันดูแลญาอยู่ตรงนี้” ยิ่งทำให้เอะใจขึ้นไปอีก อะไรเป็นเหตุ
รับฟังเรื่องราวแล้วฉันก็อ๋อกับตัวเองว่า มันน่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นกับโลกภายในของเธอ อาการที่บอกเล่านั้นไม่ใช่เรื่องทางกายแต่เป็นเรื่องอะไรที่อยู่ในใจซะมากกว่า จึงไม่ได้ลงมือทำการตรวจอะไรในเรื่องของโรค แค่ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างและกอดเธอไว้นิ่งๆ ส่วนปากก็ถามไถ่คนอื่นต่อไปถึงเรื่องราวก่อนที่เธอจะมีอาการ
รับรู้ว่าระหว่างที่กอดเธอไว้ ในขณะที่มีเสียงคนอื่นกำลังเล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง ญามีอาการผ่อนคลายขึ้น เสียงสะอื้นเงียบลง น้ำตาเหือดแห้งลง อาการทางกายสงบลง
เรื่องราวที่ถูกเล่าออกมา ประมาณว่า เธอได้รับมอบจากคนๆหนึ่งในหน่วยงานของฉันให้ไปประสานงานล่วงหน้าเพื่อขอใช้สิ่งของประเภทหนึ่งจากฝ่ายบริหาร เธอก็ไปประสานงานตามระบบในขอบเขตที่เธอทำได้ การประสานงานสำเร็จลงเมื่อ 3 วันก่อนพร้อมกับความรับรู้จากงานในฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องว่ามีการขอใช้ของนั้นในวันใด หลังจากนั้นเธอก็นำเอกสารมาส่งคืนให้ผู้สั่งงานเพื่อรับทราบผล เหตุเกิดในเช้าวันนี้ประมาณว่า เมื่อถึงเวลาของเย็นวันวาน ผู้สั่งงานไม่ได้สิ่งของที่ให้เธอไปประสานงานไว้ให้ตามที่คาดหวัง เช้าวันนี้เมื่อมาเจอหน้ากัน เธอจึงโดนผู้สั่งงานผู้นั้นสอนสั่งด้วยการชี้หน้าด่าว่าด้วยเสียงอันดังท่ามกลางธารกำนัล ณ มุมกาแฟตรงส่วนหน้าของตึกแรกที่ทุกผู้คนเดินเข้ามา”
ฟังเรื่องราวที่เล่าออกมาจากปากคนอื่นจบลงแล้ว ฉันก็หวนกลับมาคุยกับญาต่อ เปิดโอกาสให้เธอได้คุยเล่าด้วยตัวเอง เล่าไปๆเธอก็เริ่มมีคำพูดปนสะอื้นไห้ออกมาอีกครา แต่เมื่อปล่อยให้เธอได้ปลดปล่อยอารมณ์ผ่านการบอกเล่าโดยตรงกับฉัน พร้อมไปด้วยกับการที่ฉันได้พูดคุยสะท้อนบอกกล่าวถึงการรับรู้ของฉันต่อเรื่องราวที่ได้รับฟังบ้าง แทรกด้วยการสะท้อนบอกเล่าว่าฉันรับรู้อารมณ์ของเธอทั้งเรื่องของความอายและความโกรธ ลงเอยด้วยการปล่อยให้เกิดความเงียบระหว่างเราสองอยู่เป็นครู่ โดยเธอยังอยู่ภายใต้อ้อมกอดของฉันอยู่ ฉันว่าก่อนที่จะปล่อยตัวเธอออกจากอ้อมกอด อารมณ์ของเธอได้สงบลงแล้ว
เรื่องไม่ธรรมดาของวันนี้ ถือเป็นโอกาสอีกครั้งที่บอกตัวเองว่า เป็นโอกาสทองของการเรียนรู้ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อแบ่งปันค่ะ
ฉันรู้สึกว่าในเช้านี้ ฉันไม่ต้องเริ่มการแก้ปัญหาด้วยการรับสมัคร “คุณสติ” เข้ามาทำงานด้วย แต่ว่า “คุณสติ” อาสาเข้ามาทำงานด้วยแบบจิตอาสาเองเลยแหละ คุณสติเข้ามาช่วยถ่วงให้การทำงานของคุณๆทั้งหลายในตัวของฉันให้ช้าลงๆในเรื่องของการสรุปผลเพื่อส่งรายงาน ส่งรายงานอะไรหรือ รายงานสรุปคำตัดสินไงเล่า
รู้สึกว่า “คุณสติ” เองก็ไม่มีเกณฑ์ของตัวเองหรอกในการสรุปผลงานของเช้าวันนี้ ฉันรับรู้ก็แต่ว่าเมื่อลงมือทำงาน “คุณสติ” เพียงแค่ชวนให้ทุกผู้คนในตัวฉันอยู่กับปัจจุบันด้วยกัน รู้สึกว่า “คุณคิด” ก็ชะลอตัวเองให้ช้าลงและอยู่ในปัจจุบันขณะไปพร้อมด้วยในขณะที่ “คุณสติ”ชวนให้ทุกคนรู้จักรับรู้เหตุการณ์ด้วยกันก่อนอยู่นั้น
แล้วทุกคนจึงก้าวข้ามไปสู่ขั้นของการเรียนรู้พร้อมๆกัน เรียนรู้แล้วจึงลงมือเก็บเกี่ยวความรู้พร้อมทั้งรวบรวมความรู้ที่เคยถูกใช้เป็นเกณฑ์มาไว้ในมือ คราวนี้มีความแตกต่างอยู่ตรงที่ทุกคนมีการตัดสิน แต่มียั้งการตัดสินเอาไว้เป็นเพียงแค่รวบรวมเกณฑ์ ดูเหมือนจะเกิดเกณฑ์ใหม่ๆขึ้น เป็นเกณฑ์ใหม่ๆที่ได้มาจากความรู้ที่เก็บเกี่ยวจากปัจจุบันขณะนี่แหละ รู้สึกว่าทุกคนมีการนำเกณฑ์ที่ได้มาชั่งรวมทั้งเกณฑ์ของ “คุณเชื่อ” ที่มีอยู่เดิมก็ถูกนำมาชั่งพร้อมๆกัน
รู้สึกว่า เวลาคุณสติชวนให้ทุกคนทำงานร่วมกันไปอย่างนี้ แล้วคุณๆทั้งหลายรวมทั้ง “คุณเชื่อ” ก้าวไปพร้อมกัน ทันๆกันวินาทีต่อวินาที รายงานผลที่ส่งมาให้รับรู้มันบอกว่าผลที่เกิดนั้นชิวๆ ทุกผู้คนผ่อนคลายกับคำตัดสินที่ตัวเองมีอยู่ในมือ ทุกผู้คนรู้สึกดีต่อกัน มีถ้อยทีถ้อยอาศัยแม้จะมีความพยายามเอาชนะกันแฝงอยู่บ้างก็ตาม
รู้สึกว่าเมื่อมี “คุณสติ” มาอยู่เคียงข้างแบบจิตอาสาในครั้งนี้ ยิ่งมีพลังของการดำเนินงานในด้านบวกเกิดขึ้นชัดเจนเลยนะ คราวนี้มีแปลกด้วยอีตรงที่เกณฑ์ของ “คุณเชื่อ” ไม่ได้เป็นเกณฑ์สุดท้ายที่ถูกนำมาใช้ตัดสินเหมือนอย่างแต่ก่อน ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเมื่อคำตัดสินไม่เกิดขึ้น ผลการดำเนินงานด้านบวกที่ดีกว่ากลับเกิดขึ้นได้ ผลงานด้านบวกที่ว่านั้นคือการที่ผู้คนที่เคยทำหน้าที่ร่วมตัดสินสบายใจกับการที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินเรื่องราวของวันนี้ ทุกผู้คนสบายใจกับการรอตัดสินผล และเริ่มหันมายอมรับฟังคำตัดสินของกันและกันก่อนโดยไม่เอาชนะกัน
การทำให้คนผู้หนึ่งที่อยู่ในความดูแลสบายใจขึ้นกับคำตัดสินของบุคคลอื่นที่อยู่รอบกาย สบายใจขึ้นต่อการไ้ด้บอกสิ่งที่คาดหวังอยู่ในใจ จนลดความรู้สึกที่เบียดเบียนใจให้เป็นทุกข์อยู่ลงไปได้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในวันนี้ของผู้คนในโลกภายในของฉันกล่าวถึงข้างต้น มันส่งผลที่ดีให้กับการดูแลคนอย่างน่าพอใจสำหรับฉันที่ทำให้เกิดความสุขใจกับการทำหน้าที่ของตนในวันนี้อีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราวของเช้าวันนี้้สอนให้ฉันรู้ว่า่ผลลัพธ์ในการดูแลผู้คนไม่ให้เกิดการเบียดเบียนใจของกันและกันด้วยอำนาจแห่งสตินั้นเป็นอย่างไร
ขอบคุณ “คุณสติ” สำหรับบทเรียนแรกของเช้าวันนี้ค่ะ
24 ก.ค.2552
« « Prev : อ่านใจแล้วก้มกราบคารวะครู
Next : บ่มเรียนสอนใจ…เรื่องเร็วแล้วยังไง » »
2 ความคิดเห็น
แอบชื่นใจที่ทราบรายละเอียดครับ
ค่ะพี่ ในส่วนตัวของน้องก็ดีใจที่ผลลัพธ์ไม่ทำให้ใจใครบาดเจ็บเพิ่มในวันนี้
แต่ก็มีมุมหนักใจที่เกิดขึ้นในฐานะหัวหน้าเหมือนกันค่ะพี่
กำลังหน่วงตัวเองให้ช้าไว้ เพื่อจะได้มองเห็นช่องที่จะจัดการปัญหาได้โดยไม่ทำร้ายใครอีกคนที่เป็นคู่กรณีให้บาดเจ็บค่ะพี่